มีการเทียบเคียงในเรื่องของสังโยชน์กันเอาไว้มาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว "สังโยชน์" นั้นเป็น "ตัววัดผล" ซึ่งใช้วัดระดับ
ความเป็นพระอริยเจ้า
แต่มีบางท่าน หรือหลายๆท่าน มักจะนำสังโยชน์ขึ้นมาเป็นตัวตั้ง แล้วพิจารณาตัดเป็นข้อๆ
ซึ่งในจุดนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป
การพิจารณาธรรมที่ถูกต้อง
-ประการแรกเริ่มต้นจากการที่มีศีลห้า(เป็นอย่างน้อย) ตั้งมั่นให้บริสุทธิ์ก่อน
-ประการต่อมาก็เจริญสมถภาวนาหรือเรียกง่ายๆว่า การเจริญสมาธิเพื่อให้จิตตั้งมั่น และจิตมีกำลัง ซึ่งกำลังของจิต
ควรมีกำลังไม่ต่ำกว่า "ปฐมฌาน" ( แต่ยังไงที่สุดแล้วก็ต้องใช้กำลังถึงฌานสี่ ) เมื่อจิตมีกำลังตั้งมั่นดีแล้ว
ลดกำลังจิตลงมาในระดับอุปจารสมาธิ คือ ในระดับที่นึกคิดได้ภายใต้นิวรณ์ที่สงัด
-ประการสุดท้ายก็เข้าสู่การพิจารณาธรรม คือไตรลักษณ์ อันได้แก่
1) การพิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง มีความเคลื่อน และมีการแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
2) การพิจารณาเห็นทุกข์ในสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปนั้น เพราะสิ่งใดที่ไม่คงที่ ไม่ทรงตัวสิ่งนั้นย่อมเกิด "ทุกข์"
3) การพิจารณาเห็นความไม่ใช่ตัวตน ทั้งตัวเราและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้ เมื่อสลายตัวไปตามหลัก
สัจจธรรมก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งสิ้น
*หมายเหตุ ; การพิจารณาไตรลักษณ์นี้ เมื่อพิจารณาเห็นข้อใดข้อหนึ่ง อีกสองข้อก็จะเห็นตามมา เพราะเกี่ยวเนื่อง
กัน
เมื่อนักปฎิบัติที่มีจิตสงบลง มีสมาธิตั้งมั่นดีแล้ว น้อมนำมาพิจารณาธรรมด้วยใจที่ละเอียดปราณีต ก็จะพบว่า
สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งร่างกายตัวเรา ร่างกายบุคคลอื่น หรือวัตถุอื่นๆ ตลอดจนความยึดติดในภพทั้งสามอันได้แก่
กามภพ รูปภพ และอรูปภพนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งชั่วคราว เมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องดับลงไป ตามกฎแห่งไตรลักษณ์
หรือลักษณะทั้งสามประการนี้ทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อจิตที่มีกำลังละเอียด และพิจารณาเห็นลักษณะทั้งสามดังกล่าว จิตของผู้นั้นก็จะปล่อยวางในความยึดมั่น
ในตัวตนแห่งตนอันเป็นรูป ที่เรียกว่า "สักกายทิฎฐิ" อันเป็นตัวติดยึดข้อแรกของ "สังโยชน์" ที่จะต้องละ
ต่อมาเมื่อพิจารณาธรรม ด้วยจิตที่มีกำลัง และความละเอียดปราณีตขึ้นไปกว่านั้น ก็จักสามารถปล่อยวาง
เครื่องติดยึด ในส่วนที่เป็นนามธรรมละเอียดลงได้ และในที่สุด จิตก็จะปล่อยวางความติดยึดทั้งปวง ทั้งใน "รูปธรรม"
และ "นามธรรม" จนหมดสิ้น ที่เราเรียกว่า "ทำลายอวิชชา" อันเป็นสังโยชน์ในข้อสุดท้าย
นี่คือวิธีการตัดจาก "ตัวเหตุ" จริงๆ และมิใช่นำ "ตัวผล" ขึ้นมาเป็นตัวตัดดังความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปบ้างของ
บางท่านนะครับ
สรุปโดยย่อๆก็คือ การพิจาณาตัดลงที่ "ร่างกาย" ตัวเดียวนี่เอง ดังตัวอย่างในพระสูตรตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
มีภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่งเข้าไปถามธรรมกับพระสารีบุตรเพื่อที่จะเข้าป่าไปปฎิบัติธรรมว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ต่อมาพระภิกษุบวชใหม่ก็ถามพระสารีบุตรต่อไปอีกว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามีได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ต่อมาพระภิกษุบวชใหม่ก็ถามพระสารีบุตรต่อไปอีกว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ต่อมาพระภิกษุบวชใหม่ก็ถามพระสารีบุตรต่อไปอีกว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ซึ่งสรุปรวมความได้ว่า
การพิจารณาธรรมทั้งหลายนั้น ตัดลงที่ขันธ์ห้าร่างกายเรานี่เอง เมื่อจิตละเอียดมากขึ้น
ก็มีปัญญาตัดได้มากขึ้น .... นี่คือวิธีปฎิบัติธรรมเพื่อจบกิจในพระพุทธศาสนา กิจอื่นไม่มีอีกแล้ว ภพใหม่ไม่เกิดอีก
แล้ว จบสิ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสังสารอันยาวนานตรงนี้แล้วครับ
/*บทแทรก; มีคนตั้งคำถามไว้ว่า "สติปัฏฐานเป็นทางเดียวที่จะบรรลุธรรมหรือไม่" กระผมขอตอบตามความเข้าใจ
ว่า ไม่มีพระอริยเจ้าองค์ไหนไม่ผ่าน "สติปัฏฐาน" เพราะสติปัฏฐานนั้นก็คือที่ตั้งของสติ พระอริยเจ้าทั้งหลายนั้น
ท่านเป็น ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความมีสติอันยิ่งแล้ว หรือที่เรียกว่ามี "มหาสติปัฏฐาน" อันได้แก่ การเห็นกายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม และหากจะถามต่อไปว่า สติปัฏฐานเกิดขึ้นอย่างไร? อันที่จริงแล้ว
ก็คือการเจริญสมถภาวนานี่เอง เพราะจะมีสมาธิได้ก็ต้องมีสติ และในขณะเดียวกันเมื่อมีสติก็ย่อมเกิดสมาธิ
จากประสบการณ์ เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่นละเอียดอ่อนดีแล้ว สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นเอง คือมีสติรู้โดยรอบ ทั้งสิ่งกระทบ
ทั้งปวงที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม การเคลื่อนไหวในทุกอริยาบทก็จะมีสติ ส่วนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความ
ปราณีตของจิตนั้นๆ ส่วนการมีสตินั้นจะต้องมีปัญญาคู่กันเสมอ ดังนั้นเมื่อพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต และธรรมในธรรม นั้นได้อย่างแจ่มแจ้ง อวิชชาก็ย่อมดับลงได้
ผนวกคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโธ ท่านเปรียบการเจริญสติ เหมือนกับการยกกาน้ำเทลงในภาชนะ แรกๆเมื่อยก
เทแต่น้อย น้ำก็หยดลงทีละหยดน้อยๆ ต่อเมื่อกระดกกาน้ำเทให้ให้สูงขั้น หยดน้ำก็หยดถี่ขึ้นๆ และในที่สุดเมื่อเร่ง
กาน้ำเทให้มากขึ้น น้ำที่ไหลออกมานั้นก็ไหลต่อเนื่องเป็นสายไม่ขาดตอน เปรียบได้เหมือนสติของผู้ที่ฝึกดีแล้วย่อม
ไม่ขาดสาย ดังนั้นสิ่งกระทบต่างๆที่เป็นรูปและนาม ก็ไม่ทำให้จิตหวั่นไหวได้อีกต่อไป
และหากจะกล่าวถึงการพิจารณาไตรลักษณ์ดังข้างต้น ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อพิจาณาเห็นไตรลักษณ์อย่างแจ่มแจ้งได้ จน
ปัญญาญาณ อันคือตัว วิปัสสนาญาณเกิด จิตก็ย่อมปล่อยวางจากรูปและนามเช่นเดียวกัน
การพิจารณาธรรมทั้งหลายนี้ ไม่จำเป็นว่า จะเริ่มจากสมถกรรมฐานกองไหนเฉพาะเท่านั้น ขอเพียงอย่างเดียวว่า
เจริญกรรมฐานกองใดก็ตาม ให้จิตสงบลงถึงอัปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ส่วนกำลังจิตที่จะส่งให้ถึงการละ
สังโยชน์เบื้องสูงได้นั้น กำลังจิตก็ต้องได้ถึงฌานสี่ในที่สุด*/
/*บทเสริม; องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คราเมื่อพระองค์ทรงบรรลุอภิเสกสัมมาสัมโพธิญาณนั้น พระองค์ทรง
เป็นผู้ได้สมาบัติแปดมาก่อน แต่พระองค์ทรงใช้กำลังแค่รูปฌานสี่ แล้วลดกำลังลงมา และใช้ทิพยจักขุญาณ จนเกิด
บุปเพนิวาสานุสติญาณ คือหวนระลึกถึงอดีตชาติย้อนหลังกลับไปได้ แลเห็นความเกิดและก็ตายของพระองค์เอง และ
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่อมาในยามที่สอง พระองค์ทรงเกิดจุตูปปาตญาณ คือญาณที่รู้ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ตายไปนั้น
ไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ซึ่งดูประหนึ่งว่าจักทำพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งครบใน ๓๑ ภูมิ เมื่อหยั่งลงในญาณจนชัดแจ้งดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงเบื่อหน่ายในการเวียนเกิด จนกระทั่งวิปัสสนาญาณของพระองค์ทรงบังเกิดชัดเป็น
"อาสวักคยาญาณ" ในยามสุดท้ายนี้เอง จึงตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด*/
**หมายเหตุ ; ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น หากมีจุดใดที่ไม่ตรงตามตำรา หรือตามพระไตรปิฎก ขอท่านผู้รู้กรุณา
กล่าวแย้งและเสริมเพื่อความถูกต้อง และสมบูรณ์ของข้อนี้ความด้วยนะครับ
ที่มา -
http://board.palungjit.org/f4/%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%94-%E0%B8%84%E0%B9%8A%E0%B8%B0-278-4.html
เอามาฝากเพื่อนสมาชิกค่ะ
ความเป็นพระอริยเจ้า แต่มีบางท่าน หรือหลายๆท่าน มักจะนำสังโยชน์ขึ้นมาเป็นตัวตั้ง แล้วพิจารณาตัดเป็นข้อๆ
ซึ่งในจุดนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป
การพิจารณาธรรมที่ถูกต้อง
-ประการแรกเริ่มต้นจากการที่มีศีลห้า(เป็นอย่างน้อย) ตั้งมั่นให้บริสุทธิ์ก่อน
-ประการต่อมาก็เจริญสมถภาวนาหรือเรียกง่ายๆว่า การเจริญสมาธิเพื่อให้จิตตั้งมั่น และจิตมีกำลัง ซึ่งกำลังของจิต
ควรมีกำลังไม่ต่ำกว่า "ปฐมฌาน" ( แต่ยังไงที่สุดแล้วก็ต้องใช้กำลังถึงฌานสี่ ) เมื่อจิตมีกำลังตั้งมั่นดีแล้ว
ลดกำลังจิตลงมาในระดับอุปจารสมาธิ คือ ในระดับที่นึกคิดได้ภายใต้นิวรณ์ที่สงัด
-ประการสุดท้ายก็เข้าสู่การพิจารณาธรรม คือไตรลักษณ์ อันได้แก่
1) การพิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง มีความเคลื่อน และมีการแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
2) การพิจารณาเห็นทุกข์ในสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปนั้น เพราะสิ่งใดที่ไม่คงที่ ไม่ทรงตัวสิ่งนั้นย่อมเกิด "ทุกข์"
3) การพิจารณาเห็นความไม่ใช่ตัวตน ทั้งตัวเราและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้ เมื่อสลายตัวไปตามหลัก
สัจจธรรมก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งสิ้น
*หมายเหตุ ; การพิจารณาไตรลักษณ์นี้ เมื่อพิจารณาเห็นข้อใดข้อหนึ่ง อีกสองข้อก็จะเห็นตามมา เพราะเกี่ยวเนื่อง
กัน
เมื่อนักปฎิบัติที่มีจิตสงบลง มีสมาธิตั้งมั่นดีแล้ว น้อมนำมาพิจารณาธรรมด้วยใจที่ละเอียดปราณีต ก็จะพบว่า
สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งร่างกายตัวเรา ร่างกายบุคคลอื่น หรือวัตถุอื่นๆ ตลอดจนความยึดติดในภพทั้งสามอันได้แก่
กามภพ รูปภพ และอรูปภพนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งชั่วคราว เมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องดับลงไป ตามกฎแห่งไตรลักษณ์
หรือลักษณะทั้งสามประการนี้ทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อจิตที่มีกำลังละเอียด และพิจารณาเห็นลักษณะทั้งสามดังกล่าว จิตของผู้นั้นก็จะปล่อยวางในความยึดมั่น
ในตัวตนแห่งตนอันเป็นรูป ที่เรียกว่า "สักกายทิฎฐิ" อันเป็นตัวติดยึดข้อแรกของ "สังโยชน์" ที่จะต้องละ
ต่อมาเมื่อพิจารณาธรรม ด้วยจิตที่มีกำลัง และความละเอียดปราณีตขึ้นไปกว่านั้น ก็จักสามารถปล่อยวาง
เครื่องติดยึด ในส่วนที่เป็นนามธรรมละเอียดลงได้ และในที่สุด จิตก็จะปล่อยวางความติดยึดทั้งปวง ทั้งใน "รูปธรรม"
และ "นามธรรม" จนหมดสิ้น ที่เราเรียกว่า "ทำลายอวิชชา" อันเป็นสังโยชน์ในข้อสุดท้าย
นี่คือวิธีการตัดจาก "ตัวเหตุ" จริงๆ และมิใช่นำ "ตัวผล" ขึ้นมาเป็นตัวตัดดังความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปบ้างของ
บางท่านนะครับ
สรุปโดยย่อๆก็คือ การพิจาณาตัดลงที่ "ร่างกาย" ตัวเดียวนี่เอง ดังตัวอย่างในพระสูตรตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
มีภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่งเข้าไปถามธรรมกับพระสารีบุตรเพื่อที่จะเข้าป่าไปปฎิบัติธรรมว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ต่อมาพระภิกษุบวชใหม่ก็ถามพระสารีบุตรต่อไปอีกว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามีได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ต่อมาพระภิกษุบวชใหม่ก็ถามพระสารีบุตรต่อไปอีกว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ต่อมาพระภิกษุบวชใหม่ก็ถามพระสารีบุตรต่อไปอีกว่า
"การที่พวกกระผมจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรขอรับ" พระสารีบุตรกล่าวตอบไปว่า
"ขอพวกเธอจงพิจารณาเห็นให้เห็นอย่างนี้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา"
ซึ่งสรุปรวมความได้ว่า การพิจารณาธรรมทั้งหลายนั้น ตัดลงที่ขันธ์ห้าร่างกายเรานี่เอง เมื่อจิตละเอียดมากขึ้น
ก็มีปัญญาตัดได้มากขึ้น .... นี่คือวิธีปฎิบัติธรรมเพื่อจบกิจในพระพุทธศาสนา กิจอื่นไม่มีอีกแล้ว ภพใหม่ไม่เกิดอีก
แล้ว จบสิ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสังสารอันยาวนานตรงนี้แล้วครับ
/*บทแทรก; มีคนตั้งคำถามไว้ว่า "สติปัฏฐานเป็นทางเดียวที่จะบรรลุธรรมหรือไม่" กระผมขอตอบตามความเข้าใจ
ว่า ไม่มีพระอริยเจ้าองค์ไหนไม่ผ่าน "สติปัฏฐาน" เพราะสติปัฏฐานนั้นก็คือที่ตั้งของสติ พระอริยเจ้าทั้งหลายนั้น
ท่านเป็น ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความมีสติอันยิ่งแล้ว หรือที่เรียกว่ามี "มหาสติปัฏฐาน" อันได้แก่ การเห็นกายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม และหากจะถามต่อไปว่า สติปัฏฐานเกิดขึ้นอย่างไร? อันที่จริงแล้ว
ก็คือการเจริญสมถภาวนานี่เอง เพราะจะมีสมาธิได้ก็ต้องมีสติ และในขณะเดียวกันเมื่อมีสติก็ย่อมเกิดสมาธิ
จากประสบการณ์ เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่นละเอียดอ่อนดีแล้ว สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นเอง คือมีสติรู้โดยรอบ ทั้งสิ่งกระทบ
ทั้งปวงที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม การเคลื่อนไหวในทุกอริยาบทก็จะมีสติ ส่วนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความ
ปราณีตของจิตนั้นๆ ส่วนการมีสตินั้นจะต้องมีปัญญาคู่กันเสมอ ดังนั้นเมื่อพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต และธรรมในธรรม นั้นได้อย่างแจ่มแจ้ง อวิชชาก็ย่อมดับลงได้
ผนวกคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโธ ท่านเปรียบการเจริญสติ เหมือนกับการยกกาน้ำเทลงในภาชนะ แรกๆเมื่อยก
เทแต่น้อย น้ำก็หยดลงทีละหยดน้อยๆ ต่อเมื่อกระดกกาน้ำเทให้ให้สูงขั้น หยดน้ำก็หยดถี่ขึ้นๆ และในที่สุดเมื่อเร่ง
กาน้ำเทให้มากขึ้น น้ำที่ไหลออกมานั้นก็ไหลต่อเนื่องเป็นสายไม่ขาดตอน เปรียบได้เหมือนสติของผู้ที่ฝึกดีแล้วย่อม
ไม่ขาดสาย ดังนั้นสิ่งกระทบต่างๆที่เป็นรูปและนาม ก็ไม่ทำให้จิตหวั่นไหวได้อีกต่อไป
และหากจะกล่าวถึงการพิจารณาไตรลักษณ์ดังข้างต้น ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อพิจาณาเห็นไตรลักษณ์อย่างแจ่มแจ้งได้ จน
ปัญญาญาณ อันคือตัว วิปัสสนาญาณเกิด จิตก็ย่อมปล่อยวางจากรูปและนามเช่นเดียวกัน
การพิจารณาธรรมทั้งหลายนี้ ไม่จำเป็นว่า จะเริ่มจากสมถกรรมฐานกองไหนเฉพาะเท่านั้น ขอเพียงอย่างเดียวว่า
เจริญกรรมฐานกองใดก็ตาม ให้จิตสงบลงถึงอัปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ส่วนกำลังจิตที่จะส่งให้ถึงการละ
สังโยชน์เบื้องสูงได้นั้น กำลังจิตก็ต้องได้ถึงฌานสี่ในที่สุด*/
/*บทเสริม; องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คราเมื่อพระองค์ทรงบรรลุอภิเสกสัมมาสัมโพธิญาณนั้น พระองค์ทรง
เป็นผู้ได้สมาบัติแปดมาก่อน แต่พระองค์ทรงใช้กำลังแค่รูปฌานสี่ แล้วลดกำลังลงมา และใช้ทิพยจักขุญาณ จนเกิด
บุปเพนิวาสานุสติญาณ คือหวนระลึกถึงอดีตชาติย้อนหลังกลับไปได้ แลเห็นความเกิดและก็ตายของพระองค์เอง และ
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่อมาในยามที่สอง พระองค์ทรงเกิดจุตูปปาตญาณ คือญาณที่รู้ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ตายไปนั้น
ไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ซึ่งดูประหนึ่งว่าจักทำพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งครบใน ๓๑ ภูมิ เมื่อหยั่งลงในญาณจนชัดแจ้งดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงเบื่อหน่ายในการเวียนเกิด จนกระทั่งวิปัสสนาญาณของพระองค์ทรงบังเกิดชัดเป็น
"อาสวักคยาญาณ" ในยามสุดท้ายนี้เอง จึงตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด*/
**หมายเหตุ ; ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น หากมีจุดใดที่ไม่ตรงตามตำรา หรือตามพระไตรปิฎก ขอท่านผู้รู้กรุณา
กล่าวแย้งและเสริมเพื่อความถูกต้อง และสมบูรณ์ของข้อนี้ความด้วยนะครับ
ที่มา - http://board.palungjit.org/f4/%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%94-%E0%B8%84%E0%B9%8A%E0%B8%B0-278-4.html