ได้มีโอกาสไปงานซอฟต์แวร์หลายๆ งาน เลยหยิบเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนิดๆ หน่อยๆ ครับ
+ + + + +
เดอะ โจ๊กเกอร์ ได้ไปงานของซอฟต์แวร์พาร์คและซิป้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะมาเล่าเรื่องราวบางประการที่รู้มา และส่งต่อไปถึงความจริงจังของรัฐบาลไทยที่มีต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ซะหน่อย
อันดับแรก ซอฟต์แวร์พาร์ค ต้องบอกว่าเป็นแหล่งรวมของนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และไอทีของไทยให้ไปแจ้งเกิดในเวทีระดับโลกให้ได้ ทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี แต่ต้องบอกว่ามีข้อจำกัดอยู่พอสมควรทั้งเรื่องงบประมาณและการได้รับแรงผลักดันที่จริงจังจากรัฐบาล กระนั้นซอฟต์แวร์พาร์คก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องมาตลอด
อันดับต่อมาคือ ซิป้า อยู่ใต้สังกัดกระทรวงไอซีที ที่ผ่านมาหลายปีถือว่าใส่เกียร์ว่าง ขาดหัวเรือใหญ่อย่างผู้อำนวยการมานาน จนในที่สุดมาได้ ไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว ปีที่ผ่านมาเลยมีผลงานดูดีขึ้น ประสานงานกับซอฟต์แวร์พาร์คและหน่ยงานอื่นๆ มากขึ้น แต่ต้องบอกว่า ด้วยความที่เป็นหน่วยงานที่การเมืองล้วงลูกอยู่พอสมควร ประกอบกับติดปัญหาเรื่องกระบวนการราชการ ทำให้หลายโครงการที่น่าจะสำเร็จไปตั้งแต่ต้นปี ยังไม่คลอดออกมา
เดอะ โจ๊กเกอร์ บอกได้เลยว่า 2 หน่วยงานนี้มีทิศทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วการจะผลักดันให้ชัดเจนและยิ่งใหญ่ ก็ต้องมีรัฐบาลเป็นตัวหลักสำคัญ การกำหนดนโยบายระดับชาติที่จะมุ่งไป เช่น มาเลเซียที่จะเป็นซิลิคอนวัลเลย์ของอาเซียน สิงคโปร์ที่จะเป็นแหล่งรวมบุคลากรไอทีหัวกะทิ เวียดนามที่จะพัฒนาคนไอที 1 แสนคน เกาหลีใต้ที่จะเป็นประเทศดิจิตอลอันดับ 1 สารพัดจะวางเป้าหมาย คำถามคือ ทำไมไทยไม่มีเป้าหมาย แผนงาน และแผนปฏิบัติการแบบนี้บ้าง
อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และไอที มากเพียงพอ หรืออย่างไร หรือว่าไม่เชื่อในฝีมือของคนไทย เดอะ โจ๊กเกอร์ บอกได้เลยว่า ซอฟต์แวร์ของไทย จำนวนไม่น้อยที่ดียิ่งกว่าของต่างประเทศซะอีก
แต่ปัญหาหลักที่นอกจากจะขาดการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่จากรัฐบาลแล้ว แค่เรื่องระบบระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังสกัดดาวรุ่งอีกต่างหาก รู้หรือไม่ว่า การจัดเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนของไทยไม่เอื้อและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่สิงคโปร์ไม่เก็บภาษีขาออก (สำหรับนักลงทุนด้านซอฟต์แวร์ไอที และอื่นๆ) อีกทั้งยังเพิ่มงบลงทุนให้ตามอัตราส่วนที่นักลงทุนใส่เงินเข้ามาอีกต่างหาก เพราะสิงคโปร์ รู้ว่า ถ้ามีนักลงทุน แสดงว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าประเทศ เทคโนโลยีใหม่ๆ จะเกิดขึ้น บริษัทในสิงคโปร์จะมีรายได้ สะท้อนมาเป็นภาษีรายได้นิติบุคคลอยู่แล้ว เกิดการพัฒนาบุคลากร เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการพัฒนาในภาพรวม ยกระดับการแข่งขัน
ประเทศไทยลดภาษีขาออกจากปีที่แล้วเก็บที่ 30% เหลือปัจจุบันที่ 20% ทำไมคิดได้แค่นี้ครับ
+ + + + +
ที่มา
http://www.itspacebar.com/2013/08/softwarethai/
สนใจก็คลิกไปอ่านกันได้ครับ
เมื่อไรรัฐบาลจะจริงจังกับการส่งเสริมซอฟต์แวร์ไทยเสียที
+ + + + +
เดอะ โจ๊กเกอร์ ได้ไปงานของซอฟต์แวร์พาร์คและซิป้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะมาเล่าเรื่องราวบางประการที่รู้มา และส่งต่อไปถึงความจริงจังของรัฐบาลไทยที่มีต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ซะหน่อย
อันดับแรก ซอฟต์แวร์พาร์ค ต้องบอกว่าเป็นแหล่งรวมของนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และไอทีของไทยให้ไปแจ้งเกิดในเวทีระดับโลกให้ได้ ทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี แต่ต้องบอกว่ามีข้อจำกัดอยู่พอสมควรทั้งเรื่องงบประมาณและการได้รับแรงผลักดันที่จริงจังจากรัฐบาล กระนั้นซอฟต์แวร์พาร์คก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องมาตลอด
อันดับต่อมาคือ ซิป้า อยู่ใต้สังกัดกระทรวงไอซีที ที่ผ่านมาหลายปีถือว่าใส่เกียร์ว่าง ขาดหัวเรือใหญ่อย่างผู้อำนวยการมานาน จนในที่สุดมาได้ ไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว ปีที่ผ่านมาเลยมีผลงานดูดีขึ้น ประสานงานกับซอฟต์แวร์พาร์คและหน่ยงานอื่นๆ มากขึ้น แต่ต้องบอกว่า ด้วยความที่เป็นหน่วยงานที่การเมืองล้วงลูกอยู่พอสมควร ประกอบกับติดปัญหาเรื่องกระบวนการราชการ ทำให้หลายโครงการที่น่าจะสำเร็จไปตั้งแต่ต้นปี ยังไม่คลอดออกมา
เดอะ โจ๊กเกอร์ บอกได้เลยว่า 2 หน่วยงานนี้มีทิศทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วการจะผลักดันให้ชัดเจนและยิ่งใหญ่ ก็ต้องมีรัฐบาลเป็นตัวหลักสำคัญ การกำหนดนโยบายระดับชาติที่จะมุ่งไป เช่น มาเลเซียที่จะเป็นซิลิคอนวัลเลย์ของอาเซียน สิงคโปร์ที่จะเป็นแหล่งรวมบุคลากรไอทีหัวกะทิ เวียดนามที่จะพัฒนาคนไอที 1 แสนคน เกาหลีใต้ที่จะเป็นประเทศดิจิตอลอันดับ 1 สารพัดจะวางเป้าหมาย คำถามคือ ทำไมไทยไม่มีเป้าหมาย แผนงาน และแผนปฏิบัติการแบบนี้บ้าง
อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และไอที มากเพียงพอ หรืออย่างไร หรือว่าไม่เชื่อในฝีมือของคนไทย เดอะ โจ๊กเกอร์ บอกได้เลยว่า ซอฟต์แวร์ของไทย จำนวนไม่น้อยที่ดียิ่งกว่าของต่างประเทศซะอีก
แต่ปัญหาหลักที่นอกจากจะขาดการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่จากรัฐบาลแล้ว แค่เรื่องระบบระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังสกัดดาวรุ่งอีกต่างหาก รู้หรือไม่ว่า การจัดเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนของไทยไม่เอื้อและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่สิงคโปร์ไม่เก็บภาษีขาออก (สำหรับนักลงทุนด้านซอฟต์แวร์ไอที และอื่นๆ) อีกทั้งยังเพิ่มงบลงทุนให้ตามอัตราส่วนที่นักลงทุนใส่เงินเข้ามาอีกต่างหาก เพราะสิงคโปร์ รู้ว่า ถ้ามีนักลงทุน แสดงว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าประเทศ เทคโนโลยีใหม่ๆ จะเกิดขึ้น บริษัทในสิงคโปร์จะมีรายได้ สะท้อนมาเป็นภาษีรายได้นิติบุคคลอยู่แล้ว เกิดการพัฒนาบุคลากร เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการพัฒนาในภาพรวม ยกระดับการแข่งขัน
ประเทศไทยลดภาษีขาออกจากปีที่แล้วเก็บที่ 30% เหลือปัจจุบันที่ 20% ทำไมคิดได้แค่นี้ครับ
+ + + + +
ที่มา http://www.itspacebar.com/2013/08/softwarethai/
สนใจก็คลิกไปอ่านกันได้ครับ