ได้ข่าวว่าค่าย Warner Bros ได้ไฟเขียวโครงการหนัง Akira ใหม่อีกรอบหลังจากสั่งพักโครงการ (ภาษาสุภาพของคำว่าล้มโครงการ) ไปพักนึง
http://www.totalfilm.com/news/warner-bros-revives-akira-remake
ใครจะว่าไงผมไม่รู้นะครับ แต่ปีนี้ ปีหน้า และปีที่อากิระจะลงโรง ทำให้ผมมองว่าค่ายวอร์เนอร์มีวิสัยทรรศ์ในการสร้างภาพยนต์เหนือว่าค่ายอื่น ๆ ในตลาดเวลานี้เลยครับ และขอถอนคำพูดที่เคยว่าผู้บริหารวอร์เนอร์เฮงซวยที่ไม่อนุมัติ JLA และ DCMU ซะที ผมคิดว่าเพราะวอร์เนอร์จับงานที่ต้องบอกว่าบ้าบิ่นเอามาก ๆ ในยุคสมัยเศรษฐกิจโลกซบเซาแบบนี้ ได้แก่ การอนุมัติเิงิน 150 ล้าน กับหนังอย่าง Pacific Rim ที่คนดูทุกคนบอกว่าเจ๋งหมด ยกเว้นคนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ดันคิดว่าหนังภาคต่อของอดัม แซนเลอร์น่าดูกว่า สรุปสั้น ๆ นะครับ คำชมเยอะมาก แต่หนังคงไม่ได้กำไรหรอกครับ จะเอาแค่ให้ได้เท่าทุนนี่อย่างน้อยก็ต้องระดับ 450 ล้าน จากตลาดทั่วโลก (ถ้าคิดว่าตลาดทั่วโลกต้องแบ่งกำไรคนละครึ่งกับค่ายหนัง)
เท่านั้นยังไม่พอ ปีหน้าค่ายนี้ก็เตรียมเอาโปรเจคที่ทำให้ผู้กำกับ ID4 อย่างโรแลนด์ เอเมอริช เสียผู้เสียคนไปพักนึงเลยอย่าง Godzilla มาฉายอีก ซึ่งขอบอกแบบไม่เกรงว่าโอกาสเจ๊งสูงมากกว่าไอ้เรื่องย่อหน้าที่แล้วอีก ยิ่งมีพล๊อตสัตว์ประหลาดมาสู้กันด้วยนี่ผมยิ่งนึกภาพหนังไม่ออกเลยว่ามันจะมาอารมณ์ไหน จะหนังเด็ก หรือหนังผู้ใหญ่ หรือจะกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ เอาเป็นว่าขอเชื่อตามที่ค่ายโปรโมทว่าจะจริงจังและมืดมนกว่าภาคหลัง ๆ ที่ฉายในญี่ปุ่น
ประเด็นคือ ปีนี้ผมคิดว่าฮอลิวูดคงกระอักจากเศรษฐกิจพอสมควรล่ะครับ เมื่อดูจากหนังภาคต่อที่ออกมาชนิดอาทิตย์เว้นอาทิตย์ คงวิเคราะห์อย่างอื่นไม่ได้มากกว่า พิษเศรษฐกิจทำให้ค่ายหนังไม่กล้าเสี่ยงลงทุนกับหนังหัวใหม่ ๆ ที่ต้องใช้ทุนเยอะ ๆ แต่วอร์เนอร์กลับกล้าลงทุนสูง ๆ กับหนังที่มีความเสี่ยงว่าจะเจ๊งอย่างต่อเนื่อง ผมมองว่าบางทีวอร์เนอร์อาจไม่ได้มองแค่ผลกำไร แต่วอร์เนอร์อาจจะอยากขยายตัวเองให้เป็นค่ายหนังที่ทำหนังเอาใจคนได้ทุกกลุ่มมากกว่า ซึ่งอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมหนังในอนาคต แต่ในปัจจุบันก็ต้องยอมรับผลร้ายก่อน นั่นคือพอทำหนังที่เป็นอเมริกันน้อยไปหน่อย อย่างหนังหุ่นยนต์ยักษ์ หรือหนังสัตว์ประหลาดถล่มเมือง แม้จะใส่ประเด็นอวยอเมริกาขนาดไหน คนดูในบ้านก็อาจยังรู้สึกยอมรับไม่ได้ ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ถ้าค่ายหนังอยากรักษากำไรเอาไว้ เราคงเจอพาเหรดซุปเปอร์ฮีโร่ดีซี ที่พอจะขายได้มากกว่าหนังแบบสองเรื่องนี้ไปแล้ว
ผมจึงขอปรบมือให้ความกล้าของวอร์เนอร์ครับ และขอให้ยังคงความกล้าท้าทายแบบนี้ต่อไปนะครับ (อย่างน้อยก็จนกว่าค่ายอื่น ๆ มันจะเลิกเข็นหนังภาคต่อออกมาซะที) และขอให้ก๊อตซิลล่า กับ อากิระ ได้กำไรจนคนสร้างอยากทำหนังท้าทายแบบนี้ต่อไป
ปล. แต่ผมว่ายังไง ๆ ถ้าทุนสร้างอากิระคือ 90 ล้านจริง โอกาสเจ๊งก็เยอะอยู่ดีนั่นแหละครับ
[กระทู้ชาบู] ขอขอบคุณ WB ที่ให้โอกาสหนังใหม่ ๆ ได้เกิดบ้าง
ใครจะว่าไงผมไม่รู้นะครับ แต่ปีนี้ ปีหน้า และปีที่อากิระจะลงโรง ทำให้ผมมองว่าค่ายวอร์เนอร์มีวิสัยทรรศ์ในการสร้างภาพยนต์เหนือว่าค่ายอื่น ๆ ในตลาดเวลานี้เลยครับ และขอถอนคำพูดที่เคยว่าผู้บริหารวอร์เนอร์เฮงซวยที่ไม่อนุมัติ JLA และ DCMU ซะที ผมคิดว่าเพราะวอร์เนอร์จับงานที่ต้องบอกว่าบ้าบิ่นเอามาก ๆ ในยุคสมัยเศรษฐกิจโลกซบเซาแบบนี้ ได้แก่ การอนุมัติเิงิน 150 ล้าน กับหนังอย่าง Pacific Rim ที่คนดูทุกคนบอกว่าเจ๋งหมด ยกเว้นคนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ดันคิดว่าหนังภาคต่อของอดัม แซนเลอร์น่าดูกว่า สรุปสั้น ๆ นะครับ คำชมเยอะมาก แต่หนังคงไม่ได้กำไรหรอกครับ จะเอาแค่ให้ได้เท่าทุนนี่อย่างน้อยก็ต้องระดับ 450 ล้าน จากตลาดทั่วโลก (ถ้าคิดว่าตลาดทั่วโลกต้องแบ่งกำไรคนละครึ่งกับค่ายหนัง)
เท่านั้นยังไม่พอ ปีหน้าค่ายนี้ก็เตรียมเอาโปรเจคที่ทำให้ผู้กำกับ ID4 อย่างโรแลนด์ เอเมอริช เสียผู้เสียคนไปพักนึงเลยอย่าง Godzilla มาฉายอีก ซึ่งขอบอกแบบไม่เกรงว่าโอกาสเจ๊งสูงมากกว่าไอ้เรื่องย่อหน้าที่แล้วอีก ยิ่งมีพล๊อตสัตว์ประหลาดมาสู้กันด้วยนี่ผมยิ่งนึกภาพหนังไม่ออกเลยว่ามันจะมาอารมณ์ไหน จะหนังเด็ก หรือหนังผู้ใหญ่ หรือจะกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ เอาเป็นว่าขอเชื่อตามที่ค่ายโปรโมทว่าจะจริงจังและมืดมนกว่าภาคหลัง ๆ ที่ฉายในญี่ปุ่น
ประเด็นคือ ปีนี้ผมคิดว่าฮอลิวูดคงกระอักจากเศรษฐกิจพอสมควรล่ะครับ เมื่อดูจากหนังภาคต่อที่ออกมาชนิดอาทิตย์เว้นอาทิตย์ คงวิเคราะห์อย่างอื่นไม่ได้มากกว่า พิษเศรษฐกิจทำให้ค่ายหนังไม่กล้าเสี่ยงลงทุนกับหนังหัวใหม่ ๆ ที่ต้องใช้ทุนเยอะ ๆ แต่วอร์เนอร์กลับกล้าลงทุนสูง ๆ กับหนังที่มีความเสี่ยงว่าจะเจ๊งอย่างต่อเนื่อง ผมมองว่าบางทีวอร์เนอร์อาจไม่ได้มองแค่ผลกำไร แต่วอร์เนอร์อาจจะอยากขยายตัวเองให้เป็นค่ายหนังที่ทำหนังเอาใจคนได้ทุกกลุ่มมากกว่า ซึ่งอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมหนังในอนาคต แต่ในปัจจุบันก็ต้องยอมรับผลร้ายก่อน นั่นคือพอทำหนังที่เป็นอเมริกันน้อยไปหน่อย อย่างหนังหุ่นยนต์ยักษ์ หรือหนังสัตว์ประหลาดถล่มเมือง แม้จะใส่ประเด็นอวยอเมริกาขนาดไหน คนดูในบ้านก็อาจยังรู้สึกยอมรับไม่ได้ ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ถ้าค่ายหนังอยากรักษากำไรเอาไว้ เราคงเจอพาเหรดซุปเปอร์ฮีโร่ดีซี ที่พอจะขายได้มากกว่าหนังแบบสองเรื่องนี้ไปแล้ว
ผมจึงขอปรบมือให้ความกล้าของวอร์เนอร์ครับ และขอให้ยังคงความกล้าท้าทายแบบนี้ต่อไปนะครับ (อย่างน้อยก็จนกว่าค่ายอื่น ๆ มันจะเลิกเข็นหนังภาคต่อออกมาซะที) และขอให้ก๊อตซิลล่า กับ อากิระ ได้กำไรจนคนสร้างอยากทำหนังท้าทายแบบนี้ต่อไป
ปล. แต่ผมว่ายังไง ๆ ถ้าทุนสร้างอากิระคือ 90 ล้านจริง โอกาสเจ๊งก็เยอะอยู่ดีนั่นแหละครับ