เขียนเรื่องการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคหรือ “เทคนิคอล” ติดต่อกันมาสามตอน น่าจะได้เวลาเฉลยเสียทีว่า ตกลงแล้วผู้เขียนคิดว่าสำนักนี้ใช้ได้แค่ไหน
เราจะมีวิธีแยกแยะระหว่าง “กูรู” กับ “กูรู้” เทคนิคอลทั้งหลายหรือไม่
จากงานวิจัยทั้งหมดในโลกวิชาการที่พยายามนำกฎเทคนิคอลชุดแล้วชุดเล่าไปทดสอบย้อนหลัง (back-testing) กับราคาหุ้นในตลาดจริง ผู้ที่ทำการทดสอบอย่างครอบคลุมที่สุดคนหนึ่งคือนักเศรษฐศาสตร์การเงินนาม เดวิด อารอนสัน (David Aronson) ในปี 2006
ภายหลังจากที่เขานำกฏเทคนิคอลจำนวนกว่า 6,400 ชุดไปทดสอบย้อนหลังกับดัชนีหุ้น S&P 500 ในอดีต ผลปรากฏว่า ไม่มีกฏชุดใดเลยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
แม้กระทั่งทฤษฎีดาว (Dow Theory) ทฤษฎีเทคนิคอลที่เก่าแก่ที่สุดและได้รับการยอมรับนับถือเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเทคนิคอล เมื่อมองผ่านแว่นการวิเคราะห์อย่างละเอียดของ วิลเลียม เกิทซ์แมน (William Goetzmann) และ สตีเฟน บราวน์ (Stephen Brown) แล้วปรากฏว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด นักวิจัยทั้งสองก็ยังสรุปว่า “ผลการวิจัยนี้จะแปลว่าทฤษฎีดาวถูกต้อง หรือแฮมิลตันเพียงแต่เป็นนักพยากรณ์หุ้นที่โชคดี ยังเป็นคำถามอยู่”
จากข้อมูลหลักฐานเหล่านี้ ผู้เขียนจึงฟันธงเองว่า กฎเทคนิคอลส่วนใหญ่น่าจะ “ปาหี่” มากกว่ามี “หลักวิชา” แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะมันอาจช่วยจับ “อารมณ์” ของตลาด ช่วยกะจังหวะในการซื้อหรือขายหุ้นได้บ้าง โดยเฉพาะถ้าคนใช้กฎเทคนิคอลชุดเดียวกันเป็นจำนวนมาก มอง “แนวรับ” “แนวต้าน” ฯลฯ ไปในทิศทางเดียวกันเป๊ะ
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่แล้ว และเป็นนักเศรษฐศาสตร์น้อยคนที่เล่นหุ้นเก่งจนร่ำรวย เคยแสดงทัศนะอย่างลือลั่นเอาไว้ว่า ความ “มีเหตุมีผล” ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่การเลือกซื้อขายหุ้นบนพื้นฐานของการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เลือกซื้อขายบนพื้นฐานของมูลค่าที่เขาคิดว่า “คนอื่น” ประเมิน
เคนส์เปรียบเปรยว่า ตลาดหุ้นคล้ายกับการประกวดนางงามที่มอบรางวัลให้กับคนที่เลือกนางงามที่เป็น “ขวัญใจมหาชน” กลยุทธ์ที่เราควรใช้ไม่ใช่การเลือกนางงามที่เราคิดว่าสวยที่สุด หากแต่ควรเลือกนางงามที่เราคิดว่า คนอื่นๆ โดยเฉลี่ยน่าจะมองว่าสวยที่สุด
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุคนี้เป็นรถไฟเหาะตีลังกา เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงร้อยแปดพันเก้านอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว ตั้งแต่แนวโน้มการชุมนุมทางการเมือง สภาวะเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ ทัศนคติของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ฯลฯ
ยิ่งตลาดหุ้นเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงนอกตลาดเพียงไร กฎเทคนิคอลยิ่งมีแนวโน้มจะใช้การไม่ได้เพียงนั้น เพราะอดีตยิ่งพยากรณ์อนาคตไม่ได้
แต่นักลงทุนไทยจำนวนมากยังชอบใช้เทคนิคอล บริษัทหลักทรัพย์จำนวนมากจ้าง “ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคอล” ผลิตบทวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง และที่จริงผู้เขียนเองเชื่อว่ารู้ไว้ก็ไม่เสียหาย ตราบใดที่ 1) ไม่ยึดกฎเทคนิคอลเป็นสรณะเพียงหนึ่งเดียวในการลงทุน และ 2) ไม่เสียเงินหลายหมื่นหรือหลักแสนเข้าฟังสัมมนาเทคนิคอล หรือหมดเงินกับหนังสือเทคนิคอลเล่มแล้วเล่มเล่า ก่อนที่จะย่างเท้าเข้าไปในตลาดด้วยซ้ำไป
ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยยังเป็นแบบนี้ เราควรจะรู้วิธี “ทดสอบ” กฏเทคนิคอลบ้าง เพราะถ้ากฏชุดใดก็ตามที่เราอยากใช้มี “หลักวิชา” จริง มันก็ต้องมีความชัดเจนพอให้เราเอาไปจำลอง ทดสอบย้อนหลังกับราคาหุ้นในอดีตได้ เพื่อดูว่ามันให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหรือต่ำกว่า
ปัจจุบันเว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์หลายบริษัทในต่างประเทศให้ลูกค้าทดสอบ “กลยุทธ์” การซื้อขายย้อนหลังแล้ว สามารถนำกฏเทคนิคอลไปทดสอบได้ เว็บหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าครอบคลุมและใช้ง่ายคือเว็บไซต์ของบริษัท ฟิเดลิตี้ (Fidelity) ลองเล่นจำลองกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นสหรัฐได้ที่
https://eresearch.fidelity.com/backtesting/teststrategies (ถ้าไม่มีบัญชีลูกค้า จะจำลองได้แต่กลยุทธ์ที่บริษัทเซ็ตไว้ให้แล้ว 4 ชุด)
ถึงแม้จะไม่มีเครื่องมือหรือโปรแกรมสำเร็จรูป ใครๆ ก็ลองเอากฎเทคนิคอลไปทดสอบย้อนหลังได้อย่างไม่ยากเย็นนักในโปรแกรมสเปรดชีทอย่าง MS Excel เพราะสามารถดึงราคาหุ้นย้อนหลังได้จากเว็บไซต์ของ ตลท. และเว็บอื่น แต่ถ้าทำเอง ต้องระวัง “กับดัก” สามข้อใหญ่ อันได้แก่ 1) ความเหมาะสมเฉพาะช่วงเวลา (curve fitting) 2) ระดับสภาพคล่อง และ 3) ต้นทุนธุรกรรม
“ความเหมาะสมเฉพาะช่วงเวลา” หมายความว่า เกณฑ์การลงทุนที่อาจเหมาะสม (คือสามารถ “อธิบาย” ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น) กับอดีตนั้น อาจไม่สามารถผลิตผลลัพธ์(สูงๆ)เช่นเดิมในอนาคตได้อีก เพราะสภาพตลาดเปลี่ยนแปลงไป กับดักข้อนี้รวมถึงแนวโน้มที่เราจะอยากขยับ “ช่วงเวลา” ในการจำลองผล และ “เงื่อนไข” ที่ใช้ในกลยุทธ์เทคนิคอล ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้ผลลัพธ์ตรงตามที่เราหรือจิตใต้สำนึกของเราอยากเห็น นั่นคือ แสดงผลตอบแทนสูงกว่าตลาดมาก ทั้งที่กลยุทธ์นี้ไม่อาจทำผลตอบแทนสูงขนาดนั้นในตลาดจริงได้อีก
หลายคนเสนอว่าวิธีหนีกับดักข้อนี้คือ อย่าไปทดสอบกฏเทคนิคอลกับช่วงเวลาเดียว แต่ให้ทดสอบกับหลายๆ ช่วงเวลาในอดีต แล้วเปรียบเทียบว่าผลเป็นอย่างไร
“ระดับสภาพคล่อง” ของหุ้นที่เรานำกฏเทคนิคอลไปทดสอบก็สำคัญเช่นกัน ถ้าในอดีตหุ้นตัวนี้มีสภาพคล่องแตกต่างจากปัจจุบัน (เช่น คนเคยฮิตเล่นกันมากแต่วันนี้เหลือไม่กี่คน) ผลการทดสอบย้อนหลังของเราก็อาจคลาดเคลื่อนได้ ถ้าไม่ปรับตามระดับสภาพคล่องของหุ้นก่อน
“ต้นทุนธุรกรรม” เป็นกับดักที่เข้าใจและจำลองง่ายที่สุด ข้อนี้ย้ำเตือนเราว่า อย่าลืมว่าการซื้อขายหุ้นทุกตัวมีต้นทุน คือค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้นเราต้องรวมค่าใช้จ่ายก้อนนี้เข้าไปในการทดสอบย้อนหลังด้วย โดยเฉพาะกฎเทคนิคอลที่ให้เราซื้อๆ ขายๆ หลายครั้ง
ในไทย ต้นทุนธุรกรรมควรต้องรวมต้นทุนค่าหนังสือ สัมมนา อบรม ฯลฯ ที่เราจ่ายเป็นค่า “ซื้อวิชา” ด้วย
ผู้เขียนคิดว่าบริษัทหลักทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบริษัทที่จ้างนักลงทุนเทคนิคอลรุ่นใหม่ที่กำลังดัง ไปเป็นพรีเซนเตอร์ พิธีกร หรือนักวิเคราะห์ขององค์กร น่าจะจัดทำเว็บไซต์ที่ให้นักลงทุนนำกฏเทคนิคอลที่บริษัทโปรโมท ไปทดสอบย้อนหลังสำหรับตลาดหุ้นไทยบ้าง เพื่อแสดงความจริงใจว่าบริษัทไม่ได้มั่ว หรืออยากหลอกขายสัมมนากับบทวิเคราะห์อันไร้ซึ่งหลักวิชาใดๆ รองรับ
แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะทำการทดสอบย้อนหลังอย่างละเอียดรัดกุมเพียงใด อย่าลืมว่าไม่มีใครหรืออะไรเลยที่จะรับประกันเราได้ว่า อนาคตจะเป็นเหมือนเช่นอดีต และถ้าเราเลือกเฟ้นกรอบเวลาดีๆ ก็แน่นอนว่าจะเจออดีตช่วงที่ดูสวยงามชวนฝันเสมอ
ขออวยพรอย่างในภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส ว่า “ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน” และขออวยชัยให้แยกแยะได้ระหว่าง “นักปั่นหุ้น” กับ “นักปั้นหุ้น” ในตลาดทุนไทย
Tags : สฤณี อาชวานันทกุล
การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค (จบ): วิธีทดสอบย้อนหลัง โดย : สฤณี อาชวานันทกุล
เราจะมีวิธีแยกแยะระหว่าง “กูรู” กับ “กูรู้” เทคนิคอลทั้งหลายหรือไม่
จากงานวิจัยทั้งหมดในโลกวิชาการที่พยายามนำกฎเทคนิคอลชุดแล้วชุดเล่าไปทดสอบย้อนหลัง (back-testing) กับราคาหุ้นในตลาดจริง ผู้ที่ทำการทดสอบอย่างครอบคลุมที่สุดคนหนึ่งคือนักเศรษฐศาสตร์การเงินนาม เดวิด อารอนสัน (David Aronson) ในปี 2006
ภายหลังจากที่เขานำกฏเทคนิคอลจำนวนกว่า 6,400 ชุดไปทดสอบย้อนหลังกับดัชนีหุ้น S&P 500 ในอดีต ผลปรากฏว่า ไม่มีกฏชุดใดเลยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
แม้กระทั่งทฤษฎีดาว (Dow Theory) ทฤษฎีเทคนิคอลที่เก่าแก่ที่สุดและได้รับการยอมรับนับถือเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเทคนิคอล เมื่อมองผ่านแว่นการวิเคราะห์อย่างละเอียดของ วิลเลียม เกิทซ์แมน (William Goetzmann) และ สตีเฟน บราวน์ (Stephen Brown) แล้วปรากฏว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด นักวิจัยทั้งสองก็ยังสรุปว่า “ผลการวิจัยนี้จะแปลว่าทฤษฎีดาวถูกต้อง หรือแฮมิลตันเพียงแต่เป็นนักพยากรณ์หุ้นที่โชคดี ยังเป็นคำถามอยู่”
จากข้อมูลหลักฐานเหล่านี้ ผู้เขียนจึงฟันธงเองว่า กฎเทคนิคอลส่วนใหญ่น่าจะ “ปาหี่” มากกว่ามี “หลักวิชา” แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะมันอาจช่วยจับ “อารมณ์” ของตลาด ช่วยกะจังหวะในการซื้อหรือขายหุ้นได้บ้าง โดยเฉพาะถ้าคนใช้กฎเทคนิคอลชุดเดียวกันเป็นจำนวนมาก มอง “แนวรับ” “แนวต้าน” ฯลฯ ไปในทิศทางเดียวกันเป๊ะ
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่แล้ว และเป็นนักเศรษฐศาสตร์น้อยคนที่เล่นหุ้นเก่งจนร่ำรวย เคยแสดงทัศนะอย่างลือลั่นเอาไว้ว่า ความ “มีเหตุมีผล” ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่การเลือกซื้อขายหุ้นบนพื้นฐานของการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เลือกซื้อขายบนพื้นฐานของมูลค่าที่เขาคิดว่า “คนอื่น” ประเมิน
เคนส์เปรียบเปรยว่า ตลาดหุ้นคล้ายกับการประกวดนางงามที่มอบรางวัลให้กับคนที่เลือกนางงามที่เป็น “ขวัญใจมหาชน” กลยุทธ์ที่เราควรใช้ไม่ใช่การเลือกนางงามที่เราคิดว่าสวยที่สุด หากแต่ควรเลือกนางงามที่เราคิดว่า คนอื่นๆ โดยเฉลี่ยน่าจะมองว่าสวยที่สุด
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุคนี้เป็นรถไฟเหาะตีลังกา เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงร้อยแปดพันเก้านอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว ตั้งแต่แนวโน้มการชุมนุมทางการเมือง สภาวะเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ ทัศนคติของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ฯลฯ
ยิ่งตลาดหุ้นเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงนอกตลาดเพียงไร กฎเทคนิคอลยิ่งมีแนวโน้มจะใช้การไม่ได้เพียงนั้น เพราะอดีตยิ่งพยากรณ์อนาคตไม่ได้
แต่นักลงทุนไทยจำนวนมากยังชอบใช้เทคนิคอล บริษัทหลักทรัพย์จำนวนมากจ้าง “ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคอล” ผลิตบทวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง และที่จริงผู้เขียนเองเชื่อว่ารู้ไว้ก็ไม่เสียหาย ตราบใดที่ 1) ไม่ยึดกฎเทคนิคอลเป็นสรณะเพียงหนึ่งเดียวในการลงทุน และ 2) ไม่เสียเงินหลายหมื่นหรือหลักแสนเข้าฟังสัมมนาเทคนิคอล หรือหมดเงินกับหนังสือเทคนิคอลเล่มแล้วเล่มเล่า ก่อนที่จะย่างเท้าเข้าไปในตลาดด้วยซ้ำไป
ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยยังเป็นแบบนี้ เราควรจะรู้วิธี “ทดสอบ” กฏเทคนิคอลบ้าง เพราะถ้ากฏชุดใดก็ตามที่เราอยากใช้มี “หลักวิชา” จริง มันก็ต้องมีความชัดเจนพอให้เราเอาไปจำลอง ทดสอบย้อนหลังกับราคาหุ้นในอดีตได้ เพื่อดูว่ามันให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหรือต่ำกว่า
ปัจจุบันเว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์หลายบริษัทในต่างประเทศให้ลูกค้าทดสอบ “กลยุทธ์” การซื้อขายย้อนหลังแล้ว สามารถนำกฏเทคนิคอลไปทดสอบได้ เว็บหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าครอบคลุมและใช้ง่ายคือเว็บไซต์ของบริษัท ฟิเดลิตี้ (Fidelity) ลองเล่นจำลองกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นสหรัฐได้ที่ https://eresearch.fidelity.com/backtesting/teststrategies (ถ้าไม่มีบัญชีลูกค้า จะจำลองได้แต่กลยุทธ์ที่บริษัทเซ็ตไว้ให้แล้ว 4 ชุด)
ถึงแม้จะไม่มีเครื่องมือหรือโปรแกรมสำเร็จรูป ใครๆ ก็ลองเอากฎเทคนิคอลไปทดสอบย้อนหลังได้อย่างไม่ยากเย็นนักในโปรแกรมสเปรดชีทอย่าง MS Excel เพราะสามารถดึงราคาหุ้นย้อนหลังได้จากเว็บไซต์ของ ตลท. และเว็บอื่น แต่ถ้าทำเอง ต้องระวัง “กับดัก” สามข้อใหญ่ อันได้แก่ 1) ความเหมาะสมเฉพาะช่วงเวลา (curve fitting) 2) ระดับสภาพคล่อง และ 3) ต้นทุนธุรกรรม
“ความเหมาะสมเฉพาะช่วงเวลา” หมายความว่า เกณฑ์การลงทุนที่อาจเหมาะสม (คือสามารถ “อธิบาย” ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น) กับอดีตนั้น อาจไม่สามารถผลิตผลลัพธ์(สูงๆ)เช่นเดิมในอนาคตได้อีก เพราะสภาพตลาดเปลี่ยนแปลงไป กับดักข้อนี้รวมถึงแนวโน้มที่เราจะอยากขยับ “ช่วงเวลา” ในการจำลองผล และ “เงื่อนไข” ที่ใช้ในกลยุทธ์เทคนิคอล ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้ผลลัพธ์ตรงตามที่เราหรือจิตใต้สำนึกของเราอยากเห็น นั่นคือ แสดงผลตอบแทนสูงกว่าตลาดมาก ทั้งที่กลยุทธ์นี้ไม่อาจทำผลตอบแทนสูงขนาดนั้นในตลาดจริงได้อีก
หลายคนเสนอว่าวิธีหนีกับดักข้อนี้คือ อย่าไปทดสอบกฏเทคนิคอลกับช่วงเวลาเดียว แต่ให้ทดสอบกับหลายๆ ช่วงเวลาในอดีต แล้วเปรียบเทียบว่าผลเป็นอย่างไร
“ระดับสภาพคล่อง” ของหุ้นที่เรานำกฏเทคนิคอลไปทดสอบก็สำคัญเช่นกัน ถ้าในอดีตหุ้นตัวนี้มีสภาพคล่องแตกต่างจากปัจจุบัน (เช่น คนเคยฮิตเล่นกันมากแต่วันนี้เหลือไม่กี่คน) ผลการทดสอบย้อนหลังของเราก็อาจคลาดเคลื่อนได้ ถ้าไม่ปรับตามระดับสภาพคล่องของหุ้นก่อน
“ต้นทุนธุรกรรม” เป็นกับดักที่เข้าใจและจำลองง่ายที่สุด ข้อนี้ย้ำเตือนเราว่า อย่าลืมว่าการซื้อขายหุ้นทุกตัวมีต้นทุน คือค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้นเราต้องรวมค่าใช้จ่ายก้อนนี้เข้าไปในการทดสอบย้อนหลังด้วย โดยเฉพาะกฎเทคนิคอลที่ให้เราซื้อๆ ขายๆ หลายครั้ง
ในไทย ต้นทุนธุรกรรมควรต้องรวมต้นทุนค่าหนังสือ สัมมนา อบรม ฯลฯ ที่เราจ่ายเป็นค่า “ซื้อวิชา” ด้วย
ผู้เขียนคิดว่าบริษัทหลักทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบริษัทที่จ้างนักลงทุนเทคนิคอลรุ่นใหม่ที่กำลังดัง ไปเป็นพรีเซนเตอร์ พิธีกร หรือนักวิเคราะห์ขององค์กร น่าจะจัดทำเว็บไซต์ที่ให้นักลงทุนนำกฏเทคนิคอลที่บริษัทโปรโมท ไปทดสอบย้อนหลังสำหรับตลาดหุ้นไทยบ้าง เพื่อแสดงความจริงใจว่าบริษัทไม่ได้มั่ว หรืออยากหลอกขายสัมมนากับบทวิเคราะห์อันไร้ซึ่งหลักวิชาใดๆ รองรับ
แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะทำการทดสอบย้อนหลังอย่างละเอียดรัดกุมเพียงใด อย่าลืมว่าไม่มีใครหรืออะไรเลยที่จะรับประกันเราได้ว่า อนาคตจะเป็นเหมือนเช่นอดีต และถ้าเราเลือกเฟ้นกรอบเวลาดีๆ ก็แน่นอนว่าจะเจออดีตช่วงที่ดูสวยงามชวนฝันเสมอ
ขออวยพรอย่างในภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส ว่า “ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน” และขออวยชัยให้แยกแยะได้ระหว่าง “นักปั่นหุ้น” กับ “นักปั้นหุ้น” ในตลาดทุนไทย
Tags : สฤณี อาชวานันทกุล