พ่อของดิฉันป่วยเป็นอัมพาตครึ่งซีก แต่เนื่องจากดิฉันต้องทำงาน จึงได้หาบริษัทที่รับดูแลผู้ป่วย ดิฉันจึงลองหาจากทางอินเตอร์เน็ต เห็นว่าน่าเชื่อถือได้เพราะมีที่อยู่ที่ชัดเจน และเป็นหจก. จดทะเบียนอย่างถูกต้อง วันที่เจ้าของธุรกิจมาส่งพนักงานที่บ้านของดิฉันได้ทำสัญญา เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างครบถ้วน
คือจ่ายให้เจ้าของไป 13,000 บาท เจ้าของธุรกิจจะได้เงินจากการส่งพนักงานมา 3,000 บาท 10,000 บาทเป็นค่าจ้างของพนักงาน ซึ่งดิฉันก็ได้จ่ายไปวันแรกทำงาน 13,000 บาท โดยถ้าพนักงานทำงานครบ 1 เดือนในเดือนนั้นดิฉันไม่ต้องจ่ายให้พนักงานอีกเพราะได้จ่ายถือเป็นมัดจำไปแล้ว แต่เนื่องจากรวมค่าดูแล ค่าโอที ค่าอาหารทั้งหมดแล้วเป็นรายจ่ายที่ค่อนข้างสูงมากเกือบ 20,000 บาท ทำให้ดิฉันไม่สามารถจ้างพนักงานดูแลผู้ป่วยต่อได้ และประกอบกับดิฉันให้พี่สาวลาออกจากงานมาดูแลพ่อแทน ดิฉันจึงบอกเลิกสัญญา ซึ่งตามสัญญาเราจะต้องบอกเลิกสัญญาก่อน 15 วันซึ่งเราบอกช้าไป ซึ่งเราก็ยอมรับผิด โดยเงินค่ามัดจำ 10,000 บาทนั้นเราจะยังไม่ได้คืนต้องรอ 15 วันหลังจากวันเลิกจ้างเจ้าของธุรกิจถึงจะคืนมาให้ โดยสิ้นเดือนดิฉันก็ต้องจ่าย 10,000 บาทให้กับพนักงานที่ดูแลผู้ป่วยไปก่อน
แต่หลังจากนั้นมา 15 วันก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าของธุรกิจเลย ว่าจะโอนเงินมาวันไหน อะไร อย่างไร ดิฉันได้โทรศัพท์ไปสอบถาม ทางเจ้าของธุรกิจก็ตอบกลับดิฉันมาว่า เขาโดนพนักงานโกงเงิน จึงยังไม่มีเงินมาคืน ดิฉันไม่เชื่อหรอกนะคะ แต่เราไม่ใช่คนใจร้าย เผื่อเรามองโลกในแง่ร้ายเกินไป มันอาจจะเป็นเรื่องจริง จึงยอมไปว่าอาทิตย์หน้าก็ได้ แต่หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ โทรศัพท์ไป ภรรยาของเจ้าของธุรกิจรับสายก็พูดจาไม่ดี วางสายใส่เราบ้าง บอกว่าจะติดต่อกลับ เป็นแบบนี้หลายครั้ง
ดิฉันไม่ได้เสียดายเงินเลยนะคะ ถือว่าชาติที่แล้วเราอาจจะไปเอาเงินของเขามา แต่ที่ดิฉันโมโหคือ วันที่เจ้าของธุรกิจมาส่งพนักงานที่บ้านดิฉัน เค้าคงเห็นว่าดิฉันเป็นผู้หญิง แม่ก็แก่มากแล้ว ไม่มีผู้ชายอยู่ที่บ้าน คงคิดว่าเราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะฟังจากการที่โทรศัพท์ไปแล้ว เขาไม่สนใจที่จะรับฟังเราเลย บางครั้งเราพูดยังไม่จบก็วางสาย โทรไปอีกก็ปิดมือถือ ดิฉันไม่ต้องการให้เขาเห็นว่าเราเป็นผู้หญิงแล้วจะมาทำร้ายกันแบบนี้ และไม่อยากให้เขาไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก เพราะบางคนก็อาจจะรำคาญแล้วก็นิ่งเฉยไป ดิฉันสามารถทำการใดๆ ได้บ้างคะ เกี่ยวกับทางกฎหมาย
เขาเห็นว่าดิฉันเป็นผู้หญิง เขาเลยโกง ช่วยด้วยค่ะ
คือจ่ายให้เจ้าของไป 13,000 บาท เจ้าของธุรกิจจะได้เงินจากการส่งพนักงานมา 3,000 บาท 10,000 บาทเป็นค่าจ้างของพนักงาน ซึ่งดิฉันก็ได้จ่ายไปวันแรกทำงาน 13,000 บาท โดยถ้าพนักงานทำงานครบ 1 เดือนในเดือนนั้นดิฉันไม่ต้องจ่ายให้พนักงานอีกเพราะได้จ่ายถือเป็นมัดจำไปแล้ว แต่เนื่องจากรวมค่าดูแล ค่าโอที ค่าอาหารทั้งหมดแล้วเป็นรายจ่ายที่ค่อนข้างสูงมากเกือบ 20,000 บาท ทำให้ดิฉันไม่สามารถจ้างพนักงานดูแลผู้ป่วยต่อได้ และประกอบกับดิฉันให้พี่สาวลาออกจากงานมาดูแลพ่อแทน ดิฉันจึงบอกเลิกสัญญา ซึ่งตามสัญญาเราจะต้องบอกเลิกสัญญาก่อน 15 วันซึ่งเราบอกช้าไป ซึ่งเราก็ยอมรับผิด โดยเงินค่ามัดจำ 10,000 บาทนั้นเราจะยังไม่ได้คืนต้องรอ 15 วันหลังจากวันเลิกจ้างเจ้าของธุรกิจถึงจะคืนมาให้ โดยสิ้นเดือนดิฉันก็ต้องจ่าย 10,000 บาทให้กับพนักงานที่ดูแลผู้ป่วยไปก่อน
แต่หลังจากนั้นมา 15 วันก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าของธุรกิจเลย ว่าจะโอนเงินมาวันไหน อะไร อย่างไร ดิฉันได้โทรศัพท์ไปสอบถาม ทางเจ้าของธุรกิจก็ตอบกลับดิฉันมาว่า เขาโดนพนักงานโกงเงิน จึงยังไม่มีเงินมาคืน ดิฉันไม่เชื่อหรอกนะคะ แต่เราไม่ใช่คนใจร้าย เผื่อเรามองโลกในแง่ร้ายเกินไป มันอาจจะเป็นเรื่องจริง จึงยอมไปว่าอาทิตย์หน้าก็ได้ แต่หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ โทรศัพท์ไป ภรรยาของเจ้าของธุรกิจรับสายก็พูดจาไม่ดี วางสายใส่เราบ้าง บอกว่าจะติดต่อกลับ เป็นแบบนี้หลายครั้ง
ดิฉันไม่ได้เสียดายเงินเลยนะคะ ถือว่าชาติที่แล้วเราอาจจะไปเอาเงินของเขามา แต่ที่ดิฉันโมโหคือ วันที่เจ้าของธุรกิจมาส่งพนักงานที่บ้านดิฉัน เค้าคงเห็นว่าดิฉันเป็นผู้หญิง แม่ก็แก่มากแล้ว ไม่มีผู้ชายอยู่ที่บ้าน คงคิดว่าเราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะฟังจากการที่โทรศัพท์ไปแล้ว เขาไม่สนใจที่จะรับฟังเราเลย บางครั้งเราพูดยังไม่จบก็วางสาย โทรไปอีกก็ปิดมือถือ ดิฉันไม่ต้องการให้เขาเห็นว่าเราเป็นผู้หญิงแล้วจะมาทำร้ายกันแบบนี้ และไม่อยากให้เขาไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก เพราะบางคนก็อาจจะรำคาญแล้วก็นิ่งเฉยไป ดิฉันสามารถทำการใดๆ ได้บ้างคะ เกี่ยวกับทางกฎหมาย