เห็นความพยายามของพวกเม็ดมะขาม ในฐานะที่เป็น ชาวพุทธชายขอบ ที่หลงตัวเอง คิดเพ้อไปว่า
ตนและพวก วิเศษเหนือคนอื่น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเพียงแค่ ปุถุชน มิจฉาทิฐิ ผู้บริโภคกาม เท่านั้นเอง
ดูท่าว่า อัพยากฤตปัญหา น่าจะเป็น "ยาขม" สำหรับ คนพวกนี้จริงๆ นะครับ
เนื่องจาก อธิบายเท่าไรๆ ก็ยังคง เข้าหูซ้าย ทะลุออกหูขวา อยู่ร่ำไป ........ ฯลฯ
ประเด็นที่พึงทำความเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ ตามความจาก โปฏฐปาทสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"คำถาม" ประเภท สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก หรือไม่เกิดอีก ฯลฯ
มันเป็น อัพยากฤตปัญหา พระพุทธเจ้า จึงไม่ตรัสพยากรณ์ !
ซึ่งที่จริง พระพุทธเจ้าก็ตรัสอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นเพราะ "ข้อความ"
หรือ "คำถาม" เหล่านั้น เป็นการ เพ่งเล็ง หรือ กะเก็ง ความจริงเพียงแง่ใดแง่หนึ่ง
ทั้งๆ ที่ ข้อความ หรือ คำถาม เหล่านั้น มีความเป็นไปได้ของคำตอบอยู่หลายแง่
แต่ธรรมที่พระพุทธเจ้าจักบัญญัตินั้น ย่อมเป็นธรรมที่มีแง่เดียว คือ อริยสัจ ๔ ฯลฯ
เหตุผลที่ตรัสเอาไว้ ก็คือ เพราะธรรมเหล่านี้ประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม ฯลฯ
หมายความว่า มีความหมายที่ถูกต้องตรงตามสภาวธรรมอย่างแท้จริง ชนิดที่ใครก็คัดค้านไม่ได้ !
ตัวอย่างเช่น อัญเดียรถีย์ หรือ ชาวพุทธชายขอบ อย่างคันโตนาซี อาจกล่าว อัพยากฤตปัญหา
เช่นว่า สัตว์ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก หรือ สัตว์ตายแล้ว ไม่เกิดอีก หรือ สัตว์ตายแล้วไปเกิดในนรกสวรรค์ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จะพบว่า ข้อความเหล่านั้น ไม่ประกอบด้วยอรรถ ไม่ประกอบด้วยธรรม
เพราะมีความหมายที่ไม่ถูกต้อง สามารถคัดค้านได้ เช่นที่ นายคันโตนาซี กล่าวว่า สัตว์ตายแล้วไปเกิดในนรกสวรรค์
นี้สามารถถูกคัดค้านได้ว่า (๑) สัตว์นั้นอาจตายแล้วไม่เกิด ก็ได้ (๒) สัตว์นั้นอาจตายแล้วไปเกิดในภพภูมิอื่น เช่น ดิรัจฉาน เป็นต้น ก็ได้
แต่เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัส ใครๆ ก็ย่อมไม่สามารถคัดค้านได้ เช่นดังที่ตรัสว่า ........
"เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ไม่มีอุปาทาน"
ท่านทั้งหลายจะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อกล่าวถึงการเกิดของสัตว์
พระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างถูกต้องครบถ้วน โดยประกอบด้วยเงื่อนไขสำคัญ ความว่า
(๑) สัตว์ย่อมเกิดขึ้น โดยมีเงื่อนไขคือ สำหรับผู้ยังมี "อุปาทาน"
(๒) สัตว์ย่อมไม่เกิดอีก โดยมีเงื่อนไขคือ หากไม่มี "อุปาทาน"
มีใครกล้าคัดค้านความข้อนี้ของพระพุทธเจ้า หรือไม่ครับ ?
****************************************************************************
****************************************************************************
ทีนี้ ไอ้พวกเม็ดมะขามเก้อยาก เขาพยายามจะโต้แย้ง อย่างโง่ๆ ว่า แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ตรัสพยากรณ์ อัพยกฤตปัญหา
ก็ด้วยเหตุว่า คำถามเหล่านั้น เป็นของพวกปริพาชกนอกศาสนา ที่เห็นว่ามี อัตตา อยู่ภายในตน(= อัตตา?) ........... คริคริ
โดยชาวพุทธชายขอบพวกนี้ อุตส่าห์ยก โมคคัลลานสูตร ขึ้นมาอ้าง แต่สุดท้ายแล้ว
ก็ยังเป็นการอ้างแบบ "บิดเบือน" และ "กล่าวตู่" อยู่นั่นเอง ดังนั้น จึงขออนุญาต อธิบายความ
โมคคัลลานสูตร อานันทสูตร และ กุตุหลสาลาสูตร เพื่อให้เกิด "ความเข้าใจ" อย่างถ่องแท้ ดังต่อไปนี้
๑) โมคคัลลานสูตร
เมื่อพิจารณาเนื้อหาจาก โมคคัลลานสูตร แล้วย่อมทราบ ข้อเท็จจริง ได้ว่า ใจความหลักของเรื่อง ก็คือ
เมื่อมีผู้ใดก็ตาม ตั้งคำถามที่เป็น อัพยากฤตปัญหา ขึ้นมา ความเป็นไปได้ย่อมมีอยู่ ๒ กรณี คือ
(๑) ปริพาชก ผู้มีความเห็นผิดว่า ขันธ์ ๕ เป็น อัตตาตัวตน ฯลฯ ย่อมตอบคำถามนั้น ซึ่งคำตอบที่ได้ ย่อมไม่พ้นไปจาก ทิฐิ(สุดโต่ง) ๖๒ ประการ
(๒) พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่น พระพุทธเจ้า ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านพระกัจจายนะ ฯลฯ ผู้ละความเห็นผิดเสียได้ ย่อมไม่ตอบคำถามเหล่านั้น
ประเด็นที่ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ ที่สุดแล้ว พระบาลีจาก โมคคัลลานสูตร
ก็ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จะไม่ตอบ อัพยากฤตปัญหา อย่างเด็ดขาด
โดยผู้ที่ยังคิดจะตอบ อัพยากฤตปัญหา ย่อมมีแต่พวกหมู่ชนผู้มีการศึกษา แต่ยังมีความเห็นผิด(มิจฉาทิฐิ)อยู่
ความแตกต่างในคำอธิบายเรื่อง อัพยากฤตปัญหา ระหว่าง โปฏฐปาทสูตร กับ โมคคัลลานสูตร ก็คือ
ในโปฏฐปาทสูตร อธิบายถึง ตัวคำถาม หรือ ข้อความ(ที่พูด) ว่ากรณีใดเป็น อัพยากฤตปัญหา หรือกรณีใดไม่ใช่
แต่ใน โมคคัลลานสูตร อธิบายถึง ตัวผู้ตอบคำถาม(ที่เป็นอัพยากฤตปัญหา) ว่า พระอรหันต์ จะไม่ตอบคำถามเหล่านี้
ส่วนผู้ที่ยังตอบคำถามเหล่านี้ ย่อมเป็น อัญเดียรถีย์ ที่ยังยึดติดถือมั่นในอัตตาตัวตน ในลักษณะหนึ่งลักษณะใดอยู่
ชัดเจนแล้ว นะครับ !
๒) อานันทสูตร
กรณีของข้อความจาก อานันทสูตร ก็เป็น คุณวัจฉะ คนเดิมนั่นแหละ ที่เที่ยวไปสอบถาม อัพยากฤตปัญหา กับทุกๆ คนในชมพูทวีป (คริคริ)
คราวนี้ เขาก็มาทูลถามพระพุทธเจ้าในเรื่องที่เป็น อัพยากฤตปัญหา อีก แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงนิ่งเสีย ไม่ตรัสตอบคำถามของเขาเลยสักคำ
เมื่อ วัจฉะ กลับไปแล้ว ท่านพระอานนท์จึงกราบทูลถามว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่ตรัสตอบคำถามของ วัจฉะ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสอธิบายว่า
ความแตกต่างระหว่าง อานันทสูตร กับ โมคคัลลานสูตร ก็คือ โมคคัลลานสูตร อธิบายในมุมของ "ผู้ตอบ"
ว่าใครบ้างที่จะตอบ อัพยากฤตปัญหา และใครบ้างที่จะไม่ตอบ อัพยากฤตปัญหา แต่กรณีของ อานันทสูตร
เป็นการอธิบายในมุมของ "ผู้ถาม" ความว่า คนชนิดใดบ้างที่ชอบ คิด พูด หรือ ถาม ในเรื่องที่เป็น อัพยากฤตปัญหา
ซึ่งย่อมมีความสอดคล้องอย่างยิ่งกับ พุทธพจน์ จาก อจินตสูตร และ อจินติตสูตร ที่ตรัสว่า ไม่พึงคิดเรื่องเหล่านี้
เพราะถ้าคิด จะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน !
ดังนั้น จึงสามารถกล่าวสรุปความในเบื้องต้นนี้ได้ว่า .......
๑) พระบาลีจาก โปฏฐปาทสูตร เป็นการอธิบายในส่วนของ "ข้อความ" หรือ "คำถาม"
เพื่อให้สามารถพิจารณาได้ว่า ข้อความในรูปแบบใดบ้าง ที่จัดว่าเป็น อัพยากฤตปัญหา(หรือไม่เป็น)
๒) พระบาลีจาก โมคคัลลานสูตร เป็นการอธิบายในส่วนของ "ผู้ตอบ" กล่าวคือ
มีคนแบบใดบ้างที่มักตอบ คำถามที่เป็น อัพยากฤตปัญหา โดยพระบาลีระบุอย่างชัดเจนว่า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมไม่ตอบ อัพยากฤตปัญหา อย่างเด็ดขาด !
๓) ) พระบาลีจาก อานันทสูตร เป็นการอธิบายในส่วนของ "ผู้ถาม" กล่าวคือ มีแต่บุคคลที่ชอบคิด
ชอบตรึก หรือ "หมกมุ่น" อยู่แต่เรื่อง อจินไตย เท่านั้น ที่ชอบถามเรื่องที่เป็น อัพยากฤตปัญหา
ซึ่งชาวพุทธนับแต่ในชั้น กัลยาณปุถุชน ผู้ได้สดับพระธรรมคำสอนของพระอริยะมาเป็นอย่างดีแล้ว
ก็ย่อมที่จะไม่คิด ไม่ตั้งคำถาม(อัพยากฤตปัญหา) เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนเอาไว้แล้วว่า
ถ้าคิด ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน !
หรือมิใช่ ?
๓) กุตุหลสาลาสูตร
อัญเดียรถีย์ชื่อ วัจฉะ ผู้นี้ เขาก็เหมือนกับพวกเม็ดมะขาม นั่นแหละ กล่าวคือ เขาเป็นพวกฟุ้งซ่าน ช่างสงสัย
คราวนี้ เขาก็มาถามข้อสงสัยแบบเดียวกับที่พวกเม็ดมะขามสงสัยเหมือนกัน กล่าวคือ ในขณะที่เขาเพียรถาม
ในเรื่อง อัพยากฤตปัญหา เช่น สัตว์ตายแล้วเกิด หรือไม่ ? เป็นต้นนี้ พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย
กล่าวว่าคำถามเหล่านั้นเป็น อัพยากฤตปัญหา ไม่พยากรณ์ ซึ่งปัญหาของวัจฉะ ก็คือ แล้วเหตุใด พระพุทธเจ้า
จึงตรัสพยากรณ์ คติ ที่ไปของพระสาวก เหมือนกันกับที่ เจ้าลัทธิทั้งหลายเขาก้พยากรณ์คติที่ไปของบรรดาสาวกของเขา เช่นกัน !
ความคิด ความสงสัย และ คำถามแบบนี้ ท่านทั้งหลาย รู้สึกว่า "คุ้นหูคุ้นตา" กันบ้างหรือไม่ครับ ?
เมื่อ วัจฉะ ทูลถามอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ก็สวมควรแล้วที่ วัจฉะ จะเกิดความสงสัยอย่างนั้น
แล้วจึงตรัส "หลักการ" ที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความว่า ..........
"เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่"
****************************************************************************
****************************************************************************
อัพยากฤตปัญหา คือ ยาขม สำหรับเม็ดมะขาม
ตนและพวก วิเศษเหนือคนอื่น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเพียงแค่ ปุถุชน มิจฉาทิฐิ ผู้บริโภคกาม เท่านั้นเอง
ดูท่าว่า อัพยากฤตปัญหา น่าจะเป็น "ยาขม" สำหรับ คนพวกนี้จริงๆ นะครับ
เนื่องจาก อธิบายเท่าไรๆ ก็ยังคง เข้าหูซ้าย ทะลุออกหูขวา อยู่ร่ำไป ........ ฯลฯ
ประเด็นที่พึงทำความเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ ตามความจาก โปฏฐปาทสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"คำถาม" ประเภท สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก หรือไม่เกิดอีก ฯลฯ
มันเป็น อัพยากฤตปัญหา พระพุทธเจ้า จึงไม่ตรัสพยากรณ์ !
ซึ่งที่จริง พระพุทธเจ้าก็ตรัสอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นเพราะ "ข้อความ"
หรือ "คำถาม" เหล่านั้น เป็นการ เพ่งเล็ง หรือ กะเก็ง ความจริงเพียงแง่ใดแง่หนึ่ง
ทั้งๆ ที่ ข้อความ หรือ คำถาม เหล่านั้น มีความเป็นไปได้ของคำตอบอยู่หลายแง่
แต่ธรรมที่พระพุทธเจ้าจักบัญญัตินั้น ย่อมเป็นธรรมที่มีแง่เดียว คือ อริยสัจ ๔ ฯลฯ
เหตุผลที่ตรัสเอาไว้ ก็คือ เพราะธรรมเหล่านี้ประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม ฯลฯ
หมายความว่า มีความหมายที่ถูกต้องตรงตามสภาวธรรมอย่างแท้จริง ชนิดที่ใครก็คัดค้านไม่ได้ !
ตัวอย่างเช่น อัญเดียรถีย์ หรือ ชาวพุทธชายขอบ อย่างคันโตนาซี อาจกล่าว อัพยากฤตปัญหา
เช่นว่า สัตว์ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก หรือ สัตว์ตายแล้ว ไม่เกิดอีก หรือ สัตว์ตายแล้วไปเกิดในนรกสวรรค์ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จะพบว่า ข้อความเหล่านั้น ไม่ประกอบด้วยอรรถ ไม่ประกอบด้วยธรรม
เพราะมีความหมายที่ไม่ถูกต้อง สามารถคัดค้านได้ เช่นที่ นายคันโตนาซี กล่าวว่า สัตว์ตายแล้วไปเกิดในนรกสวรรค์
นี้สามารถถูกคัดค้านได้ว่า (๑) สัตว์นั้นอาจตายแล้วไม่เกิด ก็ได้ (๒) สัตว์นั้นอาจตายแล้วไปเกิดในภพภูมิอื่น เช่น ดิรัจฉาน เป็นต้น ก็ได้
แต่เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัส ใครๆ ก็ย่อมไม่สามารถคัดค้านได้ เช่นดังที่ตรัสว่า ........
"เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ไม่มีอุปาทาน"
ท่านทั้งหลายจะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อกล่าวถึงการเกิดของสัตว์
พระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างถูกต้องครบถ้วน โดยประกอบด้วยเงื่อนไขสำคัญ ความว่า
(๑) สัตว์ย่อมเกิดขึ้น โดยมีเงื่อนไขคือ สำหรับผู้ยังมี "อุปาทาน"
(๒) สัตว์ย่อมไม่เกิดอีก โดยมีเงื่อนไขคือ หากไม่มี "อุปาทาน"
มีใครกล้าคัดค้านความข้อนี้ของพระพุทธเจ้า หรือไม่ครับ ?
****************************************************************************
****************************************************************************
ทีนี้ ไอ้พวกเม็ดมะขามเก้อยาก เขาพยายามจะโต้แย้ง อย่างโง่ๆ ว่า แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ตรัสพยากรณ์ อัพยกฤตปัญหา
ก็ด้วยเหตุว่า คำถามเหล่านั้น เป็นของพวกปริพาชกนอกศาสนา ที่เห็นว่ามี อัตตา อยู่ภายในตน(= อัตตา?) ........... คริคริ
โดยชาวพุทธชายขอบพวกนี้ อุตส่าห์ยก โมคคัลลานสูตร ขึ้นมาอ้าง แต่สุดท้ายแล้ว
ก็ยังเป็นการอ้างแบบ "บิดเบือน" และ "กล่าวตู่" อยู่นั่นเอง ดังนั้น จึงขออนุญาต อธิบายความ
โมคคัลลานสูตร อานันทสูตร และ กุตุหลสาลาสูตร เพื่อให้เกิด "ความเข้าใจ" อย่างถ่องแท้ ดังต่อไปนี้
๑) โมคคัลลานสูตร
เมื่อพิจารณาเนื้อหาจาก โมคคัลลานสูตร แล้วย่อมทราบ ข้อเท็จจริง ได้ว่า ใจความหลักของเรื่อง ก็คือ
เมื่อมีผู้ใดก็ตาม ตั้งคำถามที่เป็น อัพยากฤตปัญหา ขึ้นมา ความเป็นไปได้ย่อมมีอยู่ ๒ กรณี คือ
(๑) ปริพาชก ผู้มีความเห็นผิดว่า ขันธ์ ๕ เป็น อัตตาตัวตน ฯลฯ ย่อมตอบคำถามนั้น ซึ่งคำตอบที่ได้ ย่อมไม่พ้นไปจาก ทิฐิ(สุดโต่ง) ๖๒ ประการ
(๒) พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่น พระพุทธเจ้า ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านพระกัจจายนะ ฯลฯ ผู้ละความเห็นผิดเสียได้ ย่อมไม่ตอบคำถามเหล่านั้น
ประเด็นที่ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ ที่สุดแล้ว พระบาลีจาก โมคคัลลานสูตร
ก็ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จะไม่ตอบ อัพยากฤตปัญหา อย่างเด็ดขาด
โดยผู้ที่ยังคิดจะตอบ อัพยากฤตปัญหา ย่อมมีแต่พวกหมู่ชนผู้มีการศึกษา แต่ยังมีความเห็นผิด(มิจฉาทิฐิ)อยู่
ความแตกต่างในคำอธิบายเรื่อง อัพยากฤตปัญหา ระหว่าง โปฏฐปาทสูตร กับ โมคคัลลานสูตร ก็คือ
ในโปฏฐปาทสูตร อธิบายถึง ตัวคำถาม หรือ ข้อความ(ที่พูด) ว่ากรณีใดเป็น อัพยากฤตปัญหา หรือกรณีใดไม่ใช่
แต่ใน โมคคัลลานสูตร อธิบายถึง ตัวผู้ตอบคำถาม(ที่เป็นอัพยากฤตปัญหา) ว่า พระอรหันต์ จะไม่ตอบคำถามเหล่านี้
ส่วนผู้ที่ยังตอบคำถามเหล่านี้ ย่อมเป็น อัญเดียรถีย์ ที่ยังยึดติดถือมั่นในอัตตาตัวตน ในลักษณะหนึ่งลักษณะใดอยู่
ชัดเจนแล้ว นะครับ !
๒) อานันทสูตร
กรณีของข้อความจาก อานันทสูตร ก็เป็น คุณวัจฉะ คนเดิมนั่นแหละ ที่เที่ยวไปสอบถาม อัพยากฤตปัญหา กับทุกๆ คนในชมพูทวีป (คริคริ)
คราวนี้ เขาก็มาทูลถามพระพุทธเจ้าในเรื่องที่เป็น อัพยากฤตปัญหา อีก แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงนิ่งเสีย ไม่ตรัสตอบคำถามของเขาเลยสักคำ
เมื่อ วัจฉะ กลับไปแล้ว ท่านพระอานนท์จึงกราบทูลถามว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่ตรัสตอบคำถามของ วัจฉะ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสอธิบายว่า
ความแตกต่างระหว่าง อานันทสูตร กับ โมคคัลลานสูตร ก็คือ โมคคัลลานสูตร อธิบายในมุมของ "ผู้ตอบ"
ว่าใครบ้างที่จะตอบ อัพยากฤตปัญหา และใครบ้างที่จะไม่ตอบ อัพยากฤตปัญหา แต่กรณีของ อานันทสูตร
เป็นการอธิบายในมุมของ "ผู้ถาม" ความว่า คนชนิดใดบ้างที่ชอบ คิด พูด หรือ ถาม ในเรื่องที่เป็น อัพยากฤตปัญหา
ซึ่งย่อมมีความสอดคล้องอย่างยิ่งกับ พุทธพจน์ จาก อจินตสูตร และ อจินติตสูตร ที่ตรัสว่า ไม่พึงคิดเรื่องเหล่านี้
เพราะถ้าคิด จะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน !
ดังนั้น จึงสามารถกล่าวสรุปความในเบื้องต้นนี้ได้ว่า .......
๑) พระบาลีจาก โปฏฐปาทสูตร เป็นการอธิบายในส่วนของ "ข้อความ" หรือ "คำถาม"
เพื่อให้สามารถพิจารณาได้ว่า ข้อความในรูปแบบใดบ้าง ที่จัดว่าเป็น อัพยากฤตปัญหา(หรือไม่เป็น)
๒) พระบาลีจาก โมคคัลลานสูตร เป็นการอธิบายในส่วนของ "ผู้ตอบ" กล่าวคือ
มีคนแบบใดบ้างที่มักตอบ คำถามที่เป็น อัพยากฤตปัญหา โดยพระบาลีระบุอย่างชัดเจนว่า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมไม่ตอบ อัพยากฤตปัญหา อย่างเด็ดขาด !
๓) ) พระบาลีจาก อานันทสูตร เป็นการอธิบายในส่วนของ "ผู้ถาม" กล่าวคือ มีแต่บุคคลที่ชอบคิด
ชอบตรึก หรือ "หมกมุ่น" อยู่แต่เรื่อง อจินไตย เท่านั้น ที่ชอบถามเรื่องที่เป็น อัพยากฤตปัญหา
ซึ่งชาวพุทธนับแต่ในชั้น กัลยาณปุถุชน ผู้ได้สดับพระธรรมคำสอนของพระอริยะมาเป็นอย่างดีแล้ว
ก็ย่อมที่จะไม่คิด ไม่ตั้งคำถาม(อัพยากฤตปัญหา) เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนเอาไว้แล้วว่า
ถ้าคิด ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน !
หรือมิใช่ ?
๓) กุตุหลสาลาสูตร
อัญเดียรถีย์ชื่อ วัจฉะ ผู้นี้ เขาก็เหมือนกับพวกเม็ดมะขาม นั่นแหละ กล่าวคือ เขาเป็นพวกฟุ้งซ่าน ช่างสงสัย
คราวนี้ เขาก็มาถามข้อสงสัยแบบเดียวกับที่พวกเม็ดมะขามสงสัยเหมือนกัน กล่าวคือ ในขณะที่เขาเพียรถาม
ในเรื่อง อัพยากฤตปัญหา เช่น สัตว์ตายแล้วเกิด หรือไม่ ? เป็นต้นนี้ พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย
กล่าวว่าคำถามเหล่านั้นเป็น อัพยากฤตปัญหา ไม่พยากรณ์ ซึ่งปัญหาของวัจฉะ ก็คือ แล้วเหตุใด พระพุทธเจ้า
จึงตรัสพยากรณ์ คติ ที่ไปของพระสาวก เหมือนกันกับที่ เจ้าลัทธิทั้งหลายเขาก้พยากรณ์คติที่ไปของบรรดาสาวกของเขา เช่นกัน !
ความคิด ความสงสัย และ คำถามแบบนี้ ท่านทั้งหลาย รู้สึกว่า "คุ้นหูคุ้นตา" กันบ้างหรือไม่ครับ ?
เมื่อ วัจฉะ ทูลถามอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ก็สวมควรแล้วที่ วัจฉะ จะเกิดความสงสัยอย่างนั้น
แล้วจึงตรัส "หลักการ" ที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความว่า ..........
"เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่"
****************************************************************************
****************************************************************************