เศรษฐกิจ : ข่าวทั่วไป
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556
ทุ่มกำลังฟื้นเศรษฐกิจชายแดนใต้
ทุ่มกำลังฟื้นลงทุนชายแดนใต้ ความท้าทายดึงโอกาสทางเศรษฐกิจกลับคืน : กิตติยาณีย์ สมหมาย / มัทนา ลัดดาสิริพร ... รายงาน
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นความหวังต่อการกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างไม่มากก็น้อย เพราะเป็นแนวทางที่จะฟื้นฟูและสร้างบรรยากาศทางการลงทุนให้แก่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อันประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา (อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี อ.สะบ้าย้อย) โดยที่ประชุม ครม.รับทราบถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ด้วยการปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ลดมูลค่าเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนขั้นต่ำจาก 1 ล้านบาท ลดลงเหลือ 5 แสนบาท เพื่อให้กิจการขนาดเล็กสามารถขอรับการส่งเสริมได้, อนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท (ตามหลักเกณฑ์ปกติจะไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องจักรใช้แล้วในประเทศ) เพื่อที่ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด สามารถนำโครงการเก่ามาขอรับการส่งเสริมโดยลงทุนเพิ่มบางส่วน
กำหนดให้กิจการตั้งในพื้นที่คลัสเตอร์ ได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรเป็นพิเศษเช่นเดียวกับกรณีตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมจากรูปแบบนิคมและเขตอุตสาหกรรม, อนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งตามหลักเกณฑ์ปกติแล้วจะไม่อนุมัติให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ แม้จะเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายก็ตาม
ข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการพิจารณา โดยอ้างอิงคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มีนโยบายเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดยมีมติให้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายภาคแดนใต้ และแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (2555-2557) ที่ให้ความสำคัญกับการขยายพื้นที่ตามมาตรการจากเดิม 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ออกไปเป็น 4 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และ 4 อำเภอของสงขลา ได้แก่ จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา ขณะเดียวกันยังขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557
อุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวว่า แนวทางเหล่านี้เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากเดิมที่บีโอไอได้ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมาตรการเดิมจะใช้ควบคู่กับมาตรการใหม่ ประกอบด้วย ไม่จำกัดเวลายื่นคำขอรับการส่งเสริม เปิดกว้างให้กิจการทุกประเภทในบัญชีที่เปิดให้การส่งเสริมได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี โดยไม่จำกัดวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 ของอัตราปกติ 5 ปี นับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ส่วนมาตรการพิเศษผู้ประกอบการรายเดิม ไม่ว่าจะลงทุนในพื้นที่ใดของประเทศ หากยื่นขอรับส่งเสริมใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำหนดตามประกาศ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่ โดยโครงการเดิมจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ส่วนโครงการใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมการลงทุนนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และกิจการที่ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมดนี้กำหนดให้ผู้ประกอบการที่สนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557
"สำหรับสตูลแล้ว ผมมองว่า การผนวกให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจเป็นปัจจัยบวกที่จะสร้างบรรยากาศทางการลงทุนให้แก่พื้นที่ สตูลกำลังจะมีโครงการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่เกิดขึ้น เช่น การสร้างท่าเรือปากบารา ที่อยู่ในแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท การที่ประกาศเขตเศรษฐกิจรวมสตูลเข้าไปด้วย จึงเป็นโอกาสพัฒนาที่สำคัญ" วิทชัย อรุณอร่ามศักดิ์ ประธานหอการค้าจังหวัดสตูล ให้ความเห็น
ศิริชัย ปิติเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า การประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นผลดี เพราะเป็นการช่วยเหลือภาคธุรกิจให้สามารถอยู่รอดได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดผลมากกว่านี้ มาตรการสนับสนุนข้างต้นน่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษนานถึง 5 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนมากกว่าที่เป็นอยู่
เช่นเดียวกับ "สมพร สิริโปราณานนท์" ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา ที่สนับสนุนให้รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนการลงทุนพื้นที่พิเศษ ให้ขยายเวลาออกไป แทนที่จะไปสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2557
"การลงทุนในภาคใต้ตอนล่างเป็นสิ่งที่อ่อนไหวในสายตานักลงทุน ดังนั้น การที่จะไปเร่งรัดให้เป็นไปตามเงื่อนเวลาอาจจะไม่ใช่ผลดีนัก" สมพร กล่าว
นอกเหนือจากแนวทางข้างต้นที่เป็นความหวังสำคัญว่าจะเป็นกลไกต่อการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างแล้ว ความเคลื่อนไหวอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจและมีผลต่อมิติการพัฒนาภาคใต้คือ "โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมภายใต้โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย" (อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย) โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพราะความร่วมมือต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศจะมีผลต่ออาเซียน
ความท้าทายจากการจัดทำยุทธศาสตร์ นอกจากจะช่วยเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแล้ว โครงการนี้ยังนำไปสู่การสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เบื้องต้นของการศึกษาพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการพัฒนาร่วมมือ ได้แก่ อุตสาหกรรมยางพาราและผลิตภัณฑ์ ไม้ยางพารา อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมัน และอาหารทะเลแปรรูป โดยแนวทางความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น การจัดตั้งรับเบอร์ซิตี้ ด้วยการสร้างความร่วมมือระหว่างมาเลเซียกับไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำ การส่งเสริมนักลงทุนไทยไปร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมยางครบวงจรที่อินโดนีเซีย
ทั้งหมดนี้คือมิติของการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการดำเนินการในส่วนของมาตรการชักจูงให้เกิดการลงทุน และมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ อันมีผลต่อการทำให้พื้นที่ภาคใต้ยังมีบทบาทสำคัญ แม้ภัยความไม่สงบยังคงเป็นอุปสรรคที่คุกคามความเชื่อมั่นก็ตาม
------------------------
ลิงค์ข่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.komchadluek.net/detail/20130803/164853/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89.html#.Uf0KPKyaNIs
ทุ่มกำลังฟื้นลงทุนชายแดนใต้ ความท้าทายดึงโอกาสทางเศรษฐกิจกลับคืน
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556
ทุ่มกำลังฟื้นเศรษฐกิจชายแดนใต้
ทุ่มกำลังฟื้นลงทุนชายแดนใต้ ความท้าทายดึงโอกาสทางเศรษฐกิจกลับคืน : กิตติยาณีย์ สมหมาย / มัทนา ลัดดาสิริพร ... รายงาน
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นความหวังต่อการกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างไม่มากก็น้อย เพราะเป็นแนวทางที่จะฟื้นฟูและสร้างบรรยากาศทางการลงทุนให้แก่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อันประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา (อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี อ.สะบ้าย้อย) โดยที่ประชุม ครม.รับทราบถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ด้วยการปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ลดมูลค่าเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนขั้นต่ำจาก 1 ล้านบาท ลดลงเหลือ 5 แสนบาท เพื่อให้กิจการขนาดเล็กสามารถขอรับการส่งเสริมได้, อนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท (ตามหลักเกณฑ์ปกติจะไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องจักรใช้แล้วในประเทศ) เพื่อที่ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด สามารถนำโครงการเก่ามาขอรับการส่งเสริมโดยลงทุนเพิ่มบางส่วน
กำหนดให้กิจการตั้งในพื้นที่คลัสเตอร์ ได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรเป็นพิเศษเช่นเดียวกับกรณีตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมจากรูปแบบนิคมและเขตอุตสาหกรรม, อนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งตามหลักเกณฑ์ปกติแล้วจะไม่อนุมัติให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ แม้จะเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายก็ตาม
ข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการพิจารณา โดยอ้างอิงคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มีนโยบายเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดยมีมติให้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายภาคแดนใต้ และแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (2555-2557) ที่ให้ความสำคัญกับการขยายพื้นที่ตามมาตรการจากเดิม 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ออกไปเป็น 4 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และ 4 อำเภอของสงขลา ได้แก่ จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา ขณะเดียวกันยังขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557
อุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวว่า แนวทางเหล่านี้เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากเดิมที่บีโอไอได้ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมาตรการเดิมจะใช้ควบคู่กับมาตรการใหม่ ประกอบด้วย ไม่จำกัดเวลายื่นคำขอรับการส่งเสริม เปิดกว้างให้กิจการทุกประเภทในบัญชีที่เปิดให้การส่งเสริมได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี โดยไม่จำกัดวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 ของอัตราปกติ 5 ปี นับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ส่วนมาตรการพิเศษผู้ประกอบการรายเดิม ไม่ว่าจะลงทุนในพื้นที่ใดของประเทศ หากยื่นขอรับส่งเสริมใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำหนดตามประกาศ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่ โดยโครงการเดิมจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ส่วนโครงการใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมการลงทุนนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และกิจการที่ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมดนี้กำหนดให้ผู้ประกอบการที่สนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557
"สำหรับสตูลแล้ว ผมมองว่า การผนวกให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจเป็นปัจจัยบวกที่จะสร้างบรรยากาศทางการลงทุนให้แก่พื้นที่ สตูลกำลังจะมีโครงการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่เกิดขึ้น เช่น การสร้างท่าเรือปากบารา ที่อยู่ในแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท การที่ประกาศเขตเศรษฐกิจรวมสตูลเข้าไปด้วย จึงเป็นโอกาสพัฒนาที่สำคัญ" วิทชัย อรุณอร่ามศักดิ์ ประธานหอการค้าจังหวัดสตูล ให้ความเห็น
ศิริชัย ปิติเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า การประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นผลดี เพราะเป็นการช่วยเหลือภาคธุรกิจให้สามารถอยู่รอดได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดผลมากกว่านี้ มาตรการสนับสนุนข้างต้นน่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษนานถึง 5 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนมากกว่าที่เป็นอยู่
เช่นเดียวกับ "สมพร สิริโปราณานนท์" ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา ที่สนับสนุนให้รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนการลงทุนพื้นที่พิเศษ ให้ขยายเวลาออกไป แทนที่จะไปสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2557
"การลงทุนในภาคใต้ตอนล่างเป็นสิ่งที่อ่อนไหวในสายตานักลงทุน ดังนั้น การที่จะไปเร่งรัดให้เป็นไปตามเงื่อนเวลาอาจจะไม่ใช่ผลดีนัก" สมพร กล่าว
นอกเหนือจากแนวทางข้างต้นที่เป็นความหวังสำคัญว่าจะเป็นกลไกต่อการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างแล้ว ความเคลื่อนไหวอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจและมีผลต่อมิติการพัฒนาภาคใต้คือ "โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมภายใต้โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย" (อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย) โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพราะความร่วมมือต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศจะมีผลต่ออาเซียน
ความท้าทายจากการจัดทำยุทธศาสตร์ นอกจากจะช่วยเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแล้ว โครงการนี้ยังนำไปสู่การสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เบื้องต้นของการศึกษาพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการพัฒนาร่วมมือ ได้แก่ อุตสาหกรรมยางพาราและผลิตภัณฑ์ ไม้ยางพารา อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมัน และอาหารทะเลแปรรูป โดยแนวทางความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น การจัดตั้งรับเบอร์ซิตี้ ด้วยการสร้างความร่วมมือระหว่างมาเลเซียกับไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำ การส่งเสริมนักลงทุนไทยไปร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมยางครบวงจรที่อินโดนีเซีย
ทั้งหมดนี้คือมิติของการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการดำเนินการในส่วนของมาตรการชักจูงให้เกิดการลงทุน และมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ อันมีผลต่อการทำให้พื้นที่ภาคใต้ยังมีบทบาทสำคัญ แม้ภัยความไม่สงบยังคงเป็นอุปสรรคที่คุกคามความเชื่อมั่นก็ตาม
------------------------
ลิงค์ข่าว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้