เรามักได้ยินวาทกรรมการเมืองจากปากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีที่พยายามหลบหนีการประชุมสภาอยู่เป็นนิจในทำนองว่า
ดิฉันสนับสนุนหลักการประชาธิปไตย ดิฉันยึดมั่นในหลักเสรีประชาธิปไตย
และดิฉันมาตามหลักประชาธิปไตย ฯลฯ รวมถึงข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตย
อีกหลากหลายตามแต่เธอสรรหามาอ้าง แต่ทว่าคำอ้างกับความจริงมัน
แตกต่างกันสิ้นเชิง
ล่าสุดรัฐบาลของเธอประกาศใช้พระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายใน
พ.ศ. 2551 ในเขตพื้นที่ 3 แห่งของกรุงเทพมหานคร คือ พระนคร ป้อมปรามศัตรูพ่าย
และดุสิต โดยมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 และยังออกคำสั่งให้
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับผิดชอบการป้องกัน
ปราบปราม และยับยั้งเหตุที่อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง
ซึ่งวิญญูชนวิพากษ์ว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ในครั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ
ทำไมนายกรัฐมนตรีผู้ชอบแอบอ้างอยู่เสมอ ๆ ว่าตนเองเคารพ
หลักการประชาธิปไตยจึงต้องเกรงกลัวการชุมนุนประท้วงทางการเมืองของ
ประชาชน หรือว่าหลักการประชาธิปไตยของยิ่งลักษณ์คือการห้ามประชาชนประท้วง
แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ก็มิใช่ เพราะเธอไม่เคยห้ามคนของตัวเองประท้วงคัดค้าน
ฝ่ายอื่นแม้แต่ครั้งเดียว เพียงแต่เธอไม่ต้องการให้ประชาชนประท้วงรัฐบาลของเธอ
รวมถึงไม่ต้องการให้ประท้วงตัวเธอเท่านั้น
แต่ถึงแม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
เพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางการแสดงออกโดยเสรีของประชาชน
แต่ประชาชนก็มิได้หวั่นเกรงกับพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
เพราะประชาชนตระหนักดีว่ามีสิทธิ์ประท้วงโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ขอยืนยันว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นี้ผ่านการรับรู้
และรับรองโดยยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน ไม่ว่าเธอจะอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
หรือไม่ก็ตาม เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะเธอคือนายกรัฐมนตรี
ของประเทศนี้
รัฐบาลประเมินแล้วเห็นว่าจะมีประชาชนจำนวนมากไปรวมตัวประท้วงคัดค้าน
การพิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และการประท้วงมีแนวโน้ม
จะยืดเยื้อบานปลาย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของรัฐบาลเองจึงได้ประกาศใช้
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
น่าสมเพชนายกรัฐมนตรีเสียเหลือเกินที่ช่างไม่เคยคิดบ้างเลยว่ามูลเหตุของการ
ประท้วงในครั้งนี้เกิดมาจากร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยคนของพรรคเพื่อไทย
พรรคการเมืองของทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีควรจะฉุกคิดบ้างว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมคือต้นเหตุของการรวมตัวประท้วง
ดังนั้นหากจะไม่ให้เกิดการประท้วงก็ควรถอนร่างพ.ร.บ.นี้ นี่ขนาดร่างพ.ร.บ.ยังไม่เข้าสภา
บ้านเมืองก็มีแนวโน้มจะลุกเป็นไฟ แล้วถ้าหากร่างพ.ร.บ.นี้ถูกอำนาจนักการเมือง
ฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณลากถูไปจนผ่าน 3 วาระ บ้านเมืองจะไม่พินาศหรือ
หากคิดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งแล้ว ยิ่งลักษณ์ก็ควรจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป นอกเสียจาก
ต้องการเห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟ และเลือดท่วมท้องช้าง
http://www.naewna.com/politic/columnist/7945
รัฐบาลที่ต้องการให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ที่ผ่านมา ก็เห็นแต่รัฐบาลปชป.เท่านั้น
เพราะมีการนำกระสุนจริง มาใช้ในการสลายการชุมนุม จนเกิดการเผาบ้านเผาเมือง
ปชช.เสียชีวิตไป 99 ศพ ...ยังเป็นคดีความกันอยู่
แล้ววันนี้ ก็มาถามว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องการให้บ้านเมือง ลุกเป็นไฟ อีกหรือ ?
การเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าเคารพกับระบบรัฐสภา ให้สภาพิจารณา บ้านเมือง
จะลุกเป็นไฟไหม ?
บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ ยิ่งลักษณ์ต้องการเช่นนั้นหรือ ..... เฉลิมชัย ยอดมาลัย ... แนวหน้าออนไลน์
นายกรัฐมนตรีที่พยายามหลบหนีการประชุมสภาอยู่เป็นนิจในทำนองว่า
ดิฉันสนับสนุนหลักการประชาธิปไตย ดิฉันยึดมั่นในหลักเสรีประชาธิปไตย
และดิฉันมาตามหลักประชาธิปไตย ฯลฯ รวมถึงข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตย
อีกหลากหลายตามแต่เธอสรรหามาอ้าง แต่ทว่าคำอ้างกับความจริงมัน
แตกต่างกันสิ้นเชิง
ล่าสุดรัฐบาลของเธอประกาศใช้พระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายใน
พ.ศ. 2551 ในเขตพื้นที่ 3 แห่งของกรุงเทพมหานคร คือ พระนคร ป้อมปรามศัตรูพ่าย
และดุสิต โดยมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 และยังออกคำสั่งให้
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับผิดชอบการป้องกัน
ปราบปราม และยับยั้งเหตุที่อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง
ซึ่งวิญญูชนวิพากษ์ว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ในครั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ
ทำไมนายกรัฐมนตรีผู้ชอบแอบอ้างอยู่เสมอ ๆ ว่าตนเองเคารพ
หลักการประชาธิปไตยจึงต้องเกรงกลัวการชุมนุนประท้วงทางการเมืองของ
ประชาชน หรือว่าหลักการประชาธิปไตยของยิ่งลักษณ์คือการห้ามประชาชนประท้วง
แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ก็มิใช่ เพราะเธอไม่เคยห้ามคนของตัวเองประท้วงคัดค้าน
ฝ่ายอื่นแม้แต่ครั้งเดียว เพียงแต่เธอไม่ต้องการให้ประชาชนประท้วงรัฐบาลของเธอ
รวมถึงไม่ต้องการให้ประท้วงตัวเธอเท่านั้น
แต่ถึงแม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
เพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางการแสดงออกโดยเสรีของประชาชน
แต่ประชาชนก็มิได้หวั่นเกรงกับพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
เพราะประชาชนตระหนักดีว่ามีสิทธิ์ประท้วงโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ขอยืนยันว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นี้ผ่านการรับรู้
และรับรองโดยยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน ไม่ว่าเธอจะอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
หรือไม่ก็ตาม เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะเธอคือนายกรัฐมนตรี
ของประเทศนี้
รัฐบาลประเมินแล้วเห็นว่าจะมีประชาชนจำนวนมากไปรวมตัวประท้วงคัดค้าน
การพิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และการประท้วงมีแนวโน้ม
จะยืดเยื้อบานปลาย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของรัฐบาลเองจึงได้ประกาศใช้
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
น่าสมเพชนายกรัฐมนตรีเสียเหลือเกินที่ช่างไม่เคยคิดบ้างเลยว่ามูลเหตุของการ
ประท้วงในครั้งนี้เกิดมาจากร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยคนของพรรคเพื่อไทย
พรรคการเมืองของทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีควรจะฉุกคิดบ้างว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมคือต้นเหตุของการรวมตัวประท้วง
ดังนั้นหากจะไม่ให้เกิดการประท้วงก็ควรถอนร่างพ.ร.บ.นี้ นี่ขนาดร่างพ.ร.บ.ยังไม่เข้าสภา
บ้านเมืองก็มีแนวโน้มจะลุกเป็นไฟ แล้วถ้าหากร่างพ.ร.บ.นี้ถูกอำนาจนักการเมือง
ฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณลากถูไปจนผ่าน 3 วาระ บ้านเมืองจะไม่พินาศหรือ
หากคิดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งแล้ว ยิ่งลักษณ์ก็ควรจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป นอกเสียจาก
ต้องการเห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟ และเลือดท่วมท้องช้าง
http://www.naewna.com/politic/columnist/7945
รัฐบาลที่ต้องการให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ที่ผ่านมา ก็เห็นแต่รัฐบาลปชป.เท่านั้น
เพราะมีการนำกระสุนจริง มาใช้ในการสลายการชุมนุม จนเกิดการเผาบ้านเผาเมือง
ปชช.เสียชีวิตไป 99 ศพ ...ยังเป็นคดีความกันอยู่
แล้ววันนี้ ก็มาถามว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องการให้บ้านเมือง ลุกเป็นไฟ อีกหรือ ?
การเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าเคารพกับระบบรัฐสภา ให้สภาพิจารณา บ้านเมือง
จะลุกเป็นไฟไหม ?