เกาะกระแส Prop Trade กันซักหน่อยครับ ช่วงนี้เห็นหลายกระทู้บ่นถึง ความไม่ยุติธรรม
(ซึ่งมันไม่เคยมีอยู่แล้วในตลาดหุ้น) และไม่ใช่แต่เมืองไทยที่มีปัญหาในเรื่องของ Prop Trade
ประเทศที่มีตลาดหุ้นมาเป็น 100 ปีแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาเองก็มีข้อถกเถียงในประเด็นเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน
เรากำลังสู้อยู่กับใคร?
ทุกเย็นของวันธรรมดา มักจะมีกระทู้พาดพิงถึงบรรดาศัตรูของเม่าไทย ไม่ว่าจะเป็น หรั่ง ปอบ (Pop Trade)
หรือว่าจะเป็นสถาบัน วันแห่งชัยขนะมักเป็นวันที่เม่าทั้งหลายพร้อมใจกันเทขายใส่มือพวกนี้ได้
พร้อมทั้งยกย่องเชิดชู่นักสู้(เม่า)ผู้ยิ่งใหญ่ หลายคนคงจะนึกว่า คู่ต่อสู้อีกฝั่งหนึ่ง ที่นั่งขาดทุนอยู่หลังหน้าจอ
คงจะแอบเจ็บใจ แต่แน่ใจแล้วหรือ?
"ว่าคู่ต่อสู้ของเรา เป็นมนุษย์"
High Frequency Trading (HFT) เครื่องจักรสังหารเม่า แห่งยุคดิจิตัล
คนละเรื่องกับหุ้นยาง HFT นะครับ ดักไว้ก่อน 555 ผมมักจะเห็นประโยคเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ในพันทิป ในประเด็น
"Prop Trade รู้ทุก Position ของลูกค้าในมือ สู้ไปก็เหมือนเล่นไพ่แข่งกับเจ้า ที่รู้หน้าไพ่ของทุกคน"
เรื่องนี้อาจไม่จริงเสมอไป เนื่องด้วยกฏระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ และที่สำคัญศัตรูตัวฉกาจ ที่น่ากลัวกว่านั้น
และยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่นักลงทุนไทย อาจกำลังมีบทบาทสำคัญอยู่ในทุกวันนี้
High Frequency Trading (HFT) บางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง โดยส่วนใหญ่มักเข้าในว่าเป็นระบบการซื้อขายหลักทรัพย์
ด้วยความเร็วสูง เป็นอีกขั้นหนึ่งของ Quant Trading โดยกลยุทธ์ที่ใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์เข้าซื้อ-ขาย
ด้วยความเร็วสูง โดยอาศัยโปรแกรมเทรด เช่น การจดจำรูปแบบราคา โมเมนตัมของหุ้น และอินดิเคเตอร์ เข้าซื้อ-ขาย
อาศัยการทำกำไรเพียงแค่ 1-2 ช่อง แต่เน้นเข้าซื้อ-ขายทำกำไร บ่อยๆ โดยใช้โวลุ่มเป็นจำนวนมาก ในระหว่างวัน
รวมๆ แล้วสามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้อย่างมหาศาล
ในปัจจุบัน HFT ได้มีบทบาทสำคัญในการซื้อ-ขาย หลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในช่วงปี 2005-2009
ได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว
คุณสั่งซื้อ-ขายได้เร็วแค่ไหน ?
แน่นอน หากหุ้นที่คุณกำลังเล็งไว้มีแนวโน้มที่จะขึ้นสูง การที่คุณสามารถสั่งซื้อขายแล้วออเดอร์ของคุณ อยู่ลำดับแรกๆ
ย่อมเป็นข้อได้เปรียบ ในการคีย์สั่งซื้อ-ขาย ในแต่ละครั้ง หลังจากคุณคลิกเมาส์ คีย์ออเดอร์ กว่า Server ของตลาดหลักทรัพย์
จะได้รับคำสั่ง จะมีการดีเลย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.4 วินาที แต่ความสามารถของ HFT สามารถวางคำสั่งซื้อ-ขาย
ได้เสร็จสิ้นภายในเวลาเพียง ไม่เกิน 0.005 วินาที ดังนั้น ใครที่ริอ่านเป็นเจ้า แต่ถ้าชักเข้า-ชักออก ได้เร็วสู้ HFT ไม่ได้
ก็มีเจ็บตัวกันบ้างเหมือนกันครับ
ทีมงานที่ทำการโปรแกรมระบบเทรด โดยส่วนใหญ่มักเป็นแชมป์ จากการแข่งขันเทรดเดอร์ระดับนานาชาติ
ส่วนเรื่องเงินเดือนไม่ต้องพูดถึง น้องๆนักบอลสโมสรชั้นนำระดับโลกกันเลยทีเดียว และนอกจากความสามารถ
ในการอ่านความเคลื่อนไหวของราคาได้โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงมาก ตามอัลกอริทึ่ม
ของโปรแกรมเทรดแล้ว ความสามารถในการวางบิดซื้อ-ขาย ก่อนชาวบ้านเค้าเป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบ
ที่ส่งผลต่อกำไรเป็นอย่างมาก
ปริมาณการซื้อ-ขาย ที่มากเกินจริง?
นอกจากความเร็วในการสั่งซื้อ-ขาย ที่ไวผิดมนุษย์มนา HFT ยังส่งผลให้เราตีความปริมาณการซื้อขาย
ในตลาดหลักทรัพย์ได้ยาก เนื่องจากระบบ HFT เน้นการทำกำไรครั้งละน้อยๆ สำหรับหุ้นบางตัวเพียงแค่ราคาขึ้น
เพียงแค่ 1-2 ช่องขายโดยทันทีเพื่อทำกำไร แต่ใช้การทุ่มเงินและความถี่ในการเทรดในแต่ละวันบ่อยๆ
เพื่อสร้างกำไรเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากเป็นรายย่อย ซื้อ-ขายด้วยจำนวนครั้งๆเท่าๆ กัน สงสัยจะโดนค่าคอมกินหมดพอดี
ด้วยความที่ใช้เงินทุนมาหมุนเวียน ซื้อ-ขาย ทำกำไรซ้ำๆ จำนวนหลายๆ รอบต่อวัน ส่งผลให้ ยอดซื้อขาย
มากเกินที่ควรจะเป็น เช่นบริษัท หลักทรัพย์ A ใช้วงเงินซื้อหุ้นต่อล็อต 6 ล้าน โดยเทรดจำนวน 200 รอบต่อวัน
คิดเป็นยอดเงินซื้ออยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ในส่วนของการขายก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน จะเห็นได้ว่า เงิน 6 ล้านบาท
จะแสดงเป็นยอดซื้อถึง 1,200 บาท อันเนื่องมาจากการหมุนเวียนซื้อ-ขาย หลายๆรอบ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ PropTrade ส่วนใหญ่ในเมืองไทย มักจะทำการขายทั้งหมด เมื่อสิ้นวันทำการ เพื่อให้รับรู้กำไรต่อวันได้ทันที
น้อยบริษัทหลักทรัพย์ที่จะมีนโยบายให้ถือหุ้นข้ามวัน
ความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์
หลายคน คงจำเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ อย่างเช่น 911 ที่ส่งผลให้หุ้นตกทั่วโลกได้
เหตุการณ์สำคัญต่างๆ อาจมีผลต่อราคาในตลาดหลักทรัพย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ HFT
ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น ราคามีโอกาสสวิงขึ้นลง ในระหว่างวันมากยิ่งขึ้น
ในเดือนเมษายน ปี 2010 เคยเกิดเหตุการณ์ ดัชนีดาวน์โจนส์รูด 10% ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที
ซึ่งหน่วยงาน SEC ที่คล้ายๆ กลต. ของบ้านเราได้ออกแถลงการณ์ตำหนิ บริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้ HFT
อันก่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อดัชนีรูดผิดปกติ จะส่งผลให้จุด Stop-loss ทำงาน
ตั้งแต่ สถาบัน Prop Trade ยันนักลงทุนรายย่อย ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงต่อเนื่องเพิ่มขึ้น (Snowball Effect)
สรุป
อย่าเพิ่งไปโทษ Prop Trade หรือ HFT ว่ามีแต่ผลเสียแต่เพียงอย่างเดียว อย่างน้อยระบบนี้ก็มีข้อดีในการเพิ่มสภาพคล่อง
โดยเฉพาะในวันที่ตลาดไม่มีโวลุ่ม ในบางประเทศอย่างแคนาดา มีนโยบาย เพิ่มภาษีและค่าธรรมเนียม
จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้ HFT ในการเทรด เพื่อป้องกันนักลงทุนรายย่อยจากการใช้ HFT ที่มากเกินความพอดี
ดังนั้น หากคุณเป็นคนที่เพิ่งจะเกษียณตัวเอง และคิดที่จะนำเงินบำเหน็จที่ได้จากการเกษียณ มาลงทุนในตลาด
หลักทรัพย์เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากธนาคาร ขอให้คิดให้ดีเสียก่อน เพราะในตลาดแห่งนี้ ทุกครั้งที่มีคนได้
ย่อมมีคนเสียเสมอ ตลาดแห่งนี้ ยังคงยินดีต้อนรับให้เม่าหน้าใหม่ เข้ามาเรื่อยๆ แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ที่จะกำเงินออกไปจากตลาดแห่งนี้ได้
จบแล้วครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามานั่งอ่าน หากบทความนี้ได้รับความสนใจ รอบหน้าว่าจะเล่าถึงเหตุการณ์โจมตี
ค่าเงินบาท ในปี 2540 ว่า George Soros และเหล่า Hedgefund เค้าทำกันยังไง
[PROP TRADE Series] มารู้จักสุดยอดอาวุธสังหารเม่า HIGH FREQUENCY TRADING
เกาะกระแส Prop Trade กันซักหน่อยครับ ช่วงนี้เห็นหลายกระทู้บ่นถึง ความไม่ยุติธรรม
(ซึ่งมันไม่เคยมีอยู่แล้วในตลาดหุ้น) และไม่ใช่แต่เมืองไทยที่มีปัญหาในเรื่องของ Prop Trade
ประเทศที่มีตลาดหุ้นมาเป็น 100 ปีแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาเองก็มีข้อถกเถียงในประเด็นเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน
เรากำลังสู้อยู่กับใคร?
ทุกเย็นของวันธรรมดา มักจะมีกระทู้พาดพิงถึงบรรดาศัตรูของเม่าไทย ไม่ว่าจะเป็น หรั่ง ปอบ (Pop Trade)
หรือว่าจะเป็นสถาบัน วันแห่งชัยขนะมักเป็นวันที่เม่าทั้งหลายพร้อมใจกันเทขายใส่มือพวกนี้ได้
พร้อมทั้งยกย่องเชิดชู่นักสู้(เม่า)ผู้ยิ่งใหญ่ หลายคนคงจะนึกว่า คู่ต่อสู้อีกฝั่งหนึ่ง ที่นั่งขาดทุนอยู่หลังหน้าจอ
คงจะแอบเจ็บใจ แต่แน่ใจแล้วหรือ?
"ว่าคู่ต่อสู้ของเรา เป็นมนุษย์"
High Frequency Trading (HFT) เครื่องจักรสังหารเม่า แห่งยุคดิจิตัล
คนละเรื่องกับหุ้นยาง HFT นะครับ ดักไว้ก่อน 555 ผมมักจะเห็นประโยคเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ในพันทิป ในประเด็น
"Prop Trade รู้ทุก Position ของลูกค้าในมือ สู้ไปก็เหมือนเล่นไพ่แข่งกับเจ้า ที่รู้หน้าไพ่ของทุกคน"
เรื่องนี้อาจไม่จริงเสมอไป เนื่องด้วยกฏระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ และที่สำคัญศัตรูตัวฉกาจ ที่น่ากลัวกว่านั้น
และยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่นักลงทุนไทย อาจกำลังมีบทบาทสำคัญอยู่ในทุกวันนี้
High Frequency Trading (HFT) บางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง โดยส่วนใหญ่มักเข้าในว่าเป็นระบบการซื้อขายหลักทรัพย์
ด้วยความเร็วสูง เป็นอีกขั้นหนึ่งของ Quant Trading โดยกลยุทธ์ที่ใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์เข้าซื้อ-ขาย
ด้วยความเร็วสูง โดยอาศัยโปรแกรมเทรด เช่น การจดจำรูปแบบราคา โมเมนตัมของหุ้น และอินดิเคเตอร์ เข้าซื้อ-ขาย
อาศัยการทำกำไรเพียงแค่ 1-2 ช่อง แต่เน้นเข้าซื้อ-ขายทำกำไร บ่อยๆ โดยใช้โวลุ่มเป็นจำนวนมาก ในระหว่างวัน
รวมๆ แล้วสามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้อย่างมหาศาล
ในปัจจุบัน HFT ได้มีบทบาทสำคัญในการซื้อ-ขาย หลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในช่วงปี 2005-2009
ได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว
คุณสั่งซื้อ-ขายได้เร็วแค่ไหน ?
แน่นอน หากหุ้นที่คุณกำลังเล็งไว้มีแนวโน้มที่จะขึ้นสูง การที่คุณสามารถสั่งซื้อขายแล้วออเดอร์ของคุณ อยู่ลำดับแรกๆ
ย่อมเป็นข้อได้เปรียบ ในการคีย์สั่งซื้อ-ขาย ในแต่ละครั้ง หลังจากคุณคลิกเมาส์ คีย์ออเดอร์ กว่า Server ของตลาดหลักทรัพย์
จะได้รับคำสั่ง จะมีการดีเลย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.4 วินาที แต่ความสามารถของ HFT สามารถวางคำสั่งซื้อ-ขาย
ได้เสร็จสิ้นภายในเวลาเพียง ไม่เกิน 0.005 วินาที ดังนั้น ใครที่ริอ่านเป็นเจ้า แต่ถ้าชักเข้า-ชักออก ได้เร็วสู้ HFT ไม่ได้
ก็มีเจ็บตัวกันบ้างเหมือนกันครับ
ทีมงานที่ทำการโปรแกรมระบบเทรด โดยส่วนใหญ่มักเป็นแชมป์ จากการแข่งขันเทรดเดอร์ระดับนานาชาติ
ส่วนเรื่องเงินเดือนไม่ต้องพูดถึง น้องๆนักบอลสโมสรชั้นนำระดับโลกกันเลยทีเดียว และนอกจากความสามารถ
ในการอ่านความเคลื่อนไหวของราคาได้โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงมาก ตามอัลกอริทึ่ม
ของโปรแกรมเทรดแล้ว ความสามารถในการวางบิดซื้อ-ขาย ก่อนชาวบ้านเค้าเป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบ
ที่ส่งผลต่อกำไรเป็นอย่างมาก
ปริมาณการซื้อ-ขาย ที่มากเกินจริง?
นอกจากความเร็วในการสั่งซื้อ-ขาย ที่ไวผิดมนุษย์มนา HFT ยังส่งผลให้เราตีความปริมาณการซื้อขาย
ในตลาดหลักทรัพย์ได้ยาก เนื่องจากระบบ HFT เน้นการทำกำไรครั้งละน้อยๆ สำหรับหุ้นบางตัวเพียงแค่ราคาขึ้น
เพียงแค่ 1-2 ช่องขายโดยทันทีเพื่อทำกำไร แต่ใช้การทุ่มเงินและความถี่ในการเทรดในแต่ละวันบ่อยๆ
เพื่อสร้างกำไรเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากเป็นรายย่อย ซื้อ-ขายด้วยจำนวนครั้งๆเท่าๆ กัน สงสัยจะโดนค่าคอมกินหมดพอดี
ด้วยความที่ใช้เงินทุนมาหมุนเวียน ซื้อ-ขาย ทำกำไรซ้ำๆ จำนวนหลายๆ รอบต่อวัน ส่งผลให้ ยอดซื้อขาย
มากเกินที่ควรจะเป็น เช่นบริษัท หลักทรัพย์ A ใช้วงเงินซื้อหุ้นต่อล็อต 6 ล้าน โดยเทรดจำนวน 200 รอบต่อวัน
คิดเป็นยอดเงินซื้ออยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ในส่วนของการขายก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน จะเห็นได้ว่า เงิน 6 ล้านบาท
จะแสดงเป็นยอดซื้อถึง 1,200 บาท อันเนื่องมาจากการหมุนเวียนซื้อ-ขาย หลายๆรอบ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ PropTrade ส่วนใหญ่ในเมืองไทย มักจะทำการขายทั้งหมด เมื่อสิ้นวันทำการ เพื่อให้รับรู้กำไรต่อวันได้ทันที
น้อยบริษัทหลักทรัพย์ที่จะมีนโยบายให้ถือหุ้นข้ามวัน
ความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์
หลายคน คงจำเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ อย่างเช่น 911 ที่ส่งผลให้หุ้นตกทั่วโลกได้
เหตุการณ์สำคัญต่างๆ อาจมีผลต่อราคาในตลาดหลักทรัพย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ HFT
ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น ราคามีโอกาสสวิงขึ้นลง ในระหว่างวันมากยิ่งขึ้น
ในเดือนเมษายน ปี 2010 เคยเกิดเหตุการณ์ ดัชนีดาวน์โจนส์รูด 10% ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที
ซึ่งหน่วยงาน SEC ที่คล้ายๆ กลต. ของบ้านเราได้ออกแถลงการณ์ตำหนิ บริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้ HFT
อันก่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อดัชนีรูดผิดปกติ จะส่งผลให้จุด Stop-loss ทำงาน
ตั้งแต่ สถาบัน Prop Trade ยันนักลงทุนรายย่อย ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงต่อเนื่องเพิ่มขึ้น (Snowball Effect)
สรุป
อย่าเพิ่งไปโทษ Prop Trade หรือ HFT ว่ามีแต่ผลเสียแต่เพียงอย่างเดียว อย่างน้อยระบบนี้ก็มีข้อดีในการเพิ่มสภาพคล่อง
โดยเฉพาะในวันที่ตลาดไม่มีโวลุ่ม ในบางประเทศอย่างแคนาดา มีนโยบาย เพิ่มภาษีและค่าธรรมเนียม
จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้ HFT ในการเทรด เพื่อป้องกันนักลงทุนรายย่อยจากการใช้ HFT ที่มากเกินความพอดี
ดังนั้น หากคุณเป็นคนที่เพิ่งจะเกษียณตัวเอง และคิดที่จะนำเงินบำเหน็จที่ได้จากการเกษียณ มาลงทุนในตลาด
หลักทรัพย์เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากธนาคาร ขอให้คิดให้ดีเสียก่อน เพราะในตลาดแห่งนี้ ทุกครั้งที่มีคนได้
ย่อมมีคนเสียเสมอ ตลาดแห่งนี้ ยังคงยินดีต้อนรับให้เม่าหน้าใหม่ เข้ามาเรื่อยๆ แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ที่จะกำเงินออกไปจากตลาดแห่งนี้ได้
จบแล้วครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามานั่งอ่าน หากบทความนี้ได้รับความสนใจ รอบหน้าว่าจะเล่าถึงเหตุการณ์โจมตี
ค่าเงินบาท ในปี 2540 ว่า George Soros และเหล่า Hedgefund เค้าทำกันยังไง