ขอเปรียบเทียบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนจากโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท กับกรณีปตท. โกบอลทำน้ำมันรั่วทะลักในอ่าวไทย แถว เกาะเสม็ด จ.ระยอง ทั้งด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ผลกระทบต่อประชาชน ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชน และจังหวัดระยอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกาะเสม็ด
กรณีแรกกรณี ปตท.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (ในเครือปตท) ทำน้ำมันรี่วลงอ่าวไทยแถวชายทะเลจังหวัดระยอง
ตอนแรกที่น้ำมันรั่ว มีแต่คนออกมาบอกว่า จัดการได้ เอาอยู่ วันสองวันก็เรียบร้อย
แต่น้ำมันกลับทะลักลามไปถึงเกาะอ่าวพร้าว เพราะพีทีที โกบอลขาดเครื่องมือที่ช่วยในการกำจัดคราบน้ำมัน
ทางประธานบริษัทฯ ก็ออกมาขอโทษประชาชน
ส่วนผู้ว่า ก็ยื่นข้อเรียกร้องว่าให้แก้ไขให้เสร็จภายใน 3-7 วัน
ช่วงนี้ สถานการณ์อาจเหมือนดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังมีปัญหาระยะยาวว่า คราบน้ำมันที่ดูว่าน่าจะจำกัดได้ จะแทรกซึมอยู่ในธรรมชาติ เช่น ท้องทะเล, ประการัง, สัตว์น้ำ (ที่ยังมีสัตว์น้ำอยู่บ้าง หรืออาจกลับมาเพราะน้ำ ‘ดูเหมือน’ จะใสขึ้นมากแล้ว)
หลังจากผ่านมาได้ 3-4 วัน ล่าสุด พรรคเพื่อไทยก็ออกมาเรียกร้องพีทีที โกบอลรับผิดชอบ และนายกปูก็จะไปดูด้วยตาตัวเอง (ตอนนี้ยังเที่ยวอาฟริกาเพลินอยู่ ไม่รู้ว่าจะช่วยให้ไทยสามารถส่งสินค้าอะไรออกไปที่นั่นได้บ้าง) ... ซึ่งยังไม่ทราบเลยว่า บริษัทและทางราชการจะจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อย่างไร
ยังมีดีอยู่บ้างที่มีแนวความคิดจะช่วยเหลือประชาชนและการท่องเที่ยวและโรงแรมที่ถูกผลกระทบโดยตรง
เทียบกับกรณีที่ 2 : การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
รมต.ปลอดประสพหลังจากโดนศาลปกครองตัดสินให้ต้องทำ EIA (สิ่งแวดล้อม) และ HIA (สุขภาพของประชาชน) และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
แอบไปทำอย่างไรไม่ทราบ ให้ขั้นตอนการทำ EIA (ผลกระทบสภาพแวดล้อม) ลดเวลาในการพิจารณาลง และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (ทั้งทั่วไป และที่ได้รับผลกระทบโดยตรง) ก็จะแค่จัดนิทรรศการ แล้วเชิญมาให้ความเห็นลวกๆ ก็อัญเชิญตัวกลับไป
จริงๆ แล้ว เป็นหน้าที่รมต. ที่ต้องให้ข้อมูลเขาเยอะๆ โดยสำคัญทีสุดคือบริเวณเขื่อนและทางระบายน้ำกว้างๆ ประชาชนจะโดนเวรคืนที่ที่อยู่และที่ทำกินมากนับหมื่นครัวเรือน ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ รัฐ/เอกชนที่รับเหมาจะจ่ายให้เขาและ/หรือครอบครัวเขาคุ้มหรือไม่ ? เขาต้องออกเงินมากแค่ไหน กระทบต่อเศรษฐกิจของแต่ละคนและครัวเรือนและชุมชนมากแค่ไหน
แต่รมต.ปลอดประสพยังยืนยันว่า แค่ 3 เดือนก็เรียบร้อย ... เรียบร้อยรัฐบาลหน่ะสิ แล้วสิ่งแวดล้อมกับประชาชนที่มีส่วนเสียโดยตรงหล่ะ
อยากบอกว่า นี่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและประชาชนในระยะยาวกว่ากรณีปตท โกบอลมาก แต่ก็สำคัญไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าด้วย
โดยไม่ต้องมาอ้างว่า ถ้าโครงการล่าช้า ต่างประเทศจะย้ายฐานการผลิต เพราะไม่วางใจว่าน้ำจะท่วมอีกเมื่อไหร่
เพราะต้องเอามา weight กับผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและประชาชนในระยะยาวด้วย
ถ้าศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและฟังความเห็นประชาชนที่มีส่วนกระทบโดยตรง แล้วกระทบสิ่งแวดล้อมมหาศาลและประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลก็ต้องให้ประมูลโครงสร้างจัดการการบริหารจัดการน้ำให้ดีมากๆ ด้วย เพราะจะได้ทั้งการป้องกันน้ำท่วม, การชลประทาน, ดีต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ซึ่งระยะยาวนี่แหล่ะที่ต้องคนเก่งถึงจะดูออก และกล้ารับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ใช่กับคนที่มีอคติ เอะอะก็บอกว่า ใครคัดค้านก็ด่าว่าเป็นพวกขยะ โดยไม่กล้ารับฟังความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความคิดของตัวเองเลย
คนเดียว (หรือกับข้าราชการประจำที่เป็นลูกขุนพลอยพยักอีกนั่นแหล่ะ) รู้หมดทุกอย่างหรืออย่างไร
สุดท้าย ผลกระทบโครงการบริหารจัดการน้ำ เป็นเรื่องที่ส่งผลในระยะยาว ดีงนั้นอาจไม่เห็นผลกรทบทันทีที่มากเท่าน้ำมันรั่ว แต่ระยะยาวแล้ว ถ้าทำไม่ดีจะส่งผลเสียระยะยาวในมูลค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมยิ่งกว่าบริหารจัดการน้ำเสียอีกหลายช่างตัว
แล้วถ้าทำไปแล้วมีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รมต.ปลอดประสพกับนายกปูจะออกมาขอโทษและเสียใจต่อประชาชนแบบในประเทศที่เขาพัฒนาแล้วหรืออย่างไร ... ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำได้ เพราะไม่เคยเห็นออกมาขอโทษใครสักคำ เช่น รถคันแรก หรือ ข้าวที่รัฐบาลโดยเอาภาษีของประชาชนมาขาดทุนบักโกรก ก็ไม่เห็นออกมาขอโทษสักครั้ง ... เฮ้อ
เปรียบเทียบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนจากโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบ.เทียบกับกรณีปตท.โกบอลทำน้ำมันรั่วในอ่าวไทย
กรณีแรกกรณี ปตท.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (ในเครือปตท) ทำน้ำมันรี่วลงอ่าวไทยแถวชายทะเลจังหวัดระยอง
ตอนแรกที่น้ำมันรั่ว มีแต่คนออกมาบอกว่า จัดการได้ เอาอยู่ วันสองวันก็เรียบร้อย
แต่น้ำมันกลับทะลักลามไปถึงเกาะอ่าวพร้าว เพราะพีทีที โกบอลขาดเครื่องมือที่ช่วยในการกำจัดคราบน้ำมัน
ทางประธานบริษัทฯ ก็ออกมาขอโทษประชาชน
ส่วนผู้ว่า ก็ยื่นข้อเรียกร้องว่าให้แก้ไขให้เสร็จภายใน 3-7 วัน
ช่วงนี้ สถานการณ์อาจเหมือนดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังมีปัญหาระยะยาวว่า คราบน้ำมันที่ดูว่าน่าจะจำกัดได้ จะแทรกซึมอยู่ในธรรมชาติ เช่น ท้องทะเล, ประการัง, สัตว์น้ำ (ที่ยังมีสัตว์น้ำอยู่บ้าง หรืออาจกลับมาเพราะน้ำ ‘ดูเหมือน’ จะใสขึ้นมากแล้ว)
หลังจากผ่านมาได้ 3-4 วัน ล่าสุด พรรคเพื่อไทยก็ออกมาเรียกร้องพีทีที โกบอลรับผิดชอบ และนายกปูก็จะไปดูด้วยตาตัวเอง (ตอนนี้ยังเที่ยวอาฟริกาเพลินอยู่ ไม่รู้ว่าจะช่วยให้ไทยสามารถส่งสินค้าอะไรออกไปที่นั่นได้บ้าง) ... ซึ่งยังไม่ทราบเลยว่า บริษัทและทางราชการจะจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อย่างไร
ยังมีดีอยู่บ้างที่มีแนวความคิดจะช่วยเหลือประชาชนและการท่องเที่ยวและโรงแรมที่ถูกผลกระทบโดยตรง
เทียบกับกรณีที่ 2 : การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
รมต.ปลอดประสพหลังจากโดนศาลปกครองตัดสินให้ต้องทำ EIA (สิ่งแวดล้อม) และ HIA (สุขภาพของประชาชน) และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
แอบไปทำอย่างไรไม่ทราบ ให้ขั้นตอนการทำ EIA (ผลกระทบสภาพแวดล้อม) ลดเวลาในการพิจารณาลง และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (ทั้งทั่วไป และที่ได้รับผลกระทบโดยตรง) ก็จะแค่จัดนิทรรศการ แล้วเชิญมาให้ความเห็นลวกๆ ก็อัญเชิญตัวกลับไป
จริงๆ แล้ว เป็นหน้าที่รมต. ที่ต้องให้ข้อมูลเขาเยอะๆ โดยสำคัญทีสุดคือบริเวณเขื่อนและทางระบายน้ำกว้างๆ ประชาชนจะโดนเวรคืนที่ที่อยู่และที่ทำกินมากนับหมื่นครัวเรือน ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ รัฐ/เอกชนที่รับเหมาจะจ่ายให้เขาและ/หรือครอบครัวเขาคุ้มหรือไม่ ? เขาต้องออกเงินมากแค่ไหน กระทบต่อเศรษฐกิจของแต่ละคนและครัวเรือนและชุมชนมากแค่ไหน
แต่รมต.ปลอดประสพยังยืนยันว่า แค่ 3 เดือนก็เรียบร้อย ... เรียบร้อยรัฐบาลหน่ะสิ แล้วสิ่งแวดล้อมกับประชาชนที่มีส่วนเสียโดยตรงหล่ะ
อยากบอกว่า นี่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและประชาชนในระยะยาวกว่ากรณีปตท โกบอลมาก แต่ก็สำคัญไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าด้วย
โดยไม่ต้องมาอ้างว่า ถ้าโครงการล่าช้า ต่างประเทศจะย้ายฐานการผลิต เพราะไม่วางใจว่าน้ำจะท่วมอีกเมื่อไหร่
เพราะต้องเอามา weight กับผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและประชาชนในระยะยาวด้วย
ถ้าศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและฟังความเห็นประชาชนที่มีส่วนกระทบโดยตรง แล้วกระทบสิ่งแวดล้อมมหาศาลและประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลก็ต้องให้ประมูลโครงสร้างจัดการการบริหารจัดการน้ำให้ดีมากๆ ด้วย เพราะจะได้ทั้งการป้องกันน้ำท่วม, การชลประทาน, ดีต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ซึ่งระยะยาวนี่แหล่ะที่ต้องคนเก่งถึงจะดูออก และกล้ารับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ใช่กับคนที่มีอคติ เอะอะก็บอกว่า ใครคัดค้านก็ด่าว่าเป็นพวกขยะ โดยไม่กล้ารับฟังความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความคิดของตัวเองเลย
คนเดียว (หรือกับข้าราชการประจำที่เป็นลูกขุนพลอยพยักอีกนั่นแหล่ะ) รู้หมดทุกอย่างหรืออย่างไร
สุดท้าย ผลกระทบโครงการบริหารจัดการน้ำ เป็นเรื่องที่ส่งผลในระยะยาว ดีงนั้นอาจไม่เห็นผลกรทบทันทีที่มากเท่าน้ำมันรั่ว แต่ระยะยาวแล้ว ถ้าทำไม่ดีจะส่งผลเสียระยะยาวในมูลค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมยิ่งกว่าบริหารจัดการน้ำเสียอีกหลายช่างตัว
แล้วถ้าทำไปแล้วมีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รมต.ปลอดประสพกับนายกปูจะออกมาขอโทษและเสียใจต่อประชาชนแบบในประเทศที่เขาพัฒนาแล้วหรืออย่างไร ... ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำได้ เพราะไม่เคยเห็นออกมาขอโทษใครสักคำ เช่น รถคันแรก หรือ ข้าวที่รัฐบาลโดยเอาภาษีของประชาชนมาขาดทุนบักโกรก ก็ไม่เห็นออกมาขอโทษสักครั้ง ... เฮ้อ