(บทความจากเว็ปไซต์ของเจ้าของกระทู้เองครับ
http://www.songstranslator.com/)
“ทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้?” เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อยครั้ง แต่กี่ครั้งที่คำถามนี้จะมีคำตอบ หรือมีการสานต่อประประโยคให้เป็นการกระทำอันเกิดผลลัพธ์ ในบทความตอนนี้เราจะมาดูกันว่าหากต้องการฝึกหรือพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเราจะมีวีธีการหรือขั้นตอนที่เราสามารถฝึกได้เองอย่างไรบ้าง
บางคนบอกตัวเองว่าเราไม่ค่อยฉลาด เรียนไม่ค่อยเก่ง ไม่มีหัวด้านภาษาคงพูดไม่ได้หรอก หรือคงใช้เวลาเรียนอีกนาน เบื้องต้นผู้เรียนพึงรู้ไว้ก่อนว่าการที่จะสามารถพูดภาษาใดๆได้ไม่เกี่ยวข้องกับความฉลาดของบุคคล เพราะทุกๆคนสามารถพูดได้แน่ๆอยู่แล้วหนึ่งภาษาถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ฉลาดเลยก็ตาม นั่นเป็นผลมาจากการที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมของการใช้ภาษานั้นๆและเกิดการเอาตัวรอดท่ามกลางการใช้ภาษา สุดท้ายเราก็จะพูดภาษานั้นได้ ยกตัวอย่างคนที่ไปเรียนต่างประเทศบางคนยังติดเพื่อนคนไทย ไปไหนมาไหนจะทำอะไรก็ต้องเกาะกลุ่มเพื่อนคนไทยไว้ก่อน ผลลัพธ์คือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรือไม่คล่องตามที่ควรจะได้จากการไปอยู่ต่างประเทศ แต่คนที่เอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษตลอดทั้งวันจะทำให้การรับรู้ การพูด การคิด การตอบสนองต่อภาษาเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่นานเขาเหล่านั้นก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นการพูดภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้
ทีนี้เรามาดูกันว่าหากเราไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้วเราจะทำอย่างไรให้ตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้
การพูดภาษาอังกฤษได้ในคำจำกัดความของผู้เขียนคือ การที่เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามของสมองหรือใช้ให้น้อยที่สุด ที่เหลือคือความเป็นอัตโนมัติและความเป็นธรรมชาติ
ข้อควรปฎิบัติสำหรับการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
1. พยายามอย่ากังวลเรื่องแกรมม่า (Grammar) เพราะแกรมม่าคืออุปสรรค์ตัวฉกาจของการพูด มันจะฉุดเราให้พูดได้ช้าลง เพราะการที่เรามัวแต่คิดเรื่องความถูกต้องของโครงสร้างประโยคเราจะประมวลผลไม่ทัน อาจทำให้ไม่ได้พูดเนื่องจากอีกฝ่ายพูดเรื่องอื่นไปแล้ว การคำนึงถึงหลักแกรมม่าจะทำให้เราเกิดการกลัวความผิดพลาดสุดท้ายจะเกิดอาการอายและกลัวที่จะพูดออกมา ดังนั้นเวลาพูดควรอาศัยความเคยชินของประโยค แล้วหากไม่เคยพูดจะเอาความเคยชินมาจากไหน ความเคยชินจะเกิดจากการฝึกตามบทความตอนที่แล้วคือการอ่านและการฟัง หากเราอ่านและฟังบ่อยๆ ดูหนังบ่อยๆ อ่านหรือดูสารคดี หรือ YouTube ที่มีการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆจะทำให้เราคุ้นชินกับการใช้ประโยค หรือคำศัพท์ต่างๆ ถ้าเราได้ลองฝึกพูดตามสิ่งที่เราได้ยินหรือได้อ่านจะทำให้เราพูดได้แบบเป็นธรรมชาติมากกว่าต้องมานั่งคิดว่าประโยคประมาณนี้กาลเวลานี้ต้องใช้โครงสร้างประโยคใดเรียงอย่างไรผันกริยาอย่างไร
เทคนิคการฝึกอ่านและฟังเพื่อส่งผลต่อการพูด:
การอ่าน: แต่ละวันของการอ่านให้ฝึกอ่านออกเสียงด้วย อ่านแบบชัดถ้อยชัดคำใส่จริตจะก้านเข้าไปเท่าที่ความสามารถเรามี แต่ต้องมั่นใจว่าเราออกเสียงถูก หากไม่รู้ว่าคำนั้นออกเสียงอย่างไรให้เปิดพจนานุกรมดูตามไปด้วย หนึ่งบทความพยายามอ่านอย่างน้อยสองรอบ แนะนำเข้าไปฝึกที่
http://learningenglish.voanews.com ในเว็ปนี้จะมีข่าวพร้อมเทปเสียงการบรรยายรวมถึงสคริปข่าว ที่เราสามารถดูและอ่านไปด้วยขณะฟังได้ ลองฝึกโดยการอ่านและออกเสียงเลียนแบบเสียงของผู้บรรยาย การฝึกอ่านบ่อยๆจะช่วยให้เรารู้หลักการออกเสียงของคำนั้นๆ รู้โทนเสียงสูงต่ำและทำให้คุ้นชินกับการพูดเป็นประโยค ช่วยเพิ่มความมั่นใจ
การฟัง: หาเวลาดูหนังคนเดียวที่บ้านโดยดูแบบมี Subtitle เป็นภาษาอังกฤษ ขณะที่เราดูให้หยุดหนังในประโยคที่น่าสนใจหรือประโยคใดๆก็ได้ อาจจะเป็นทุกๆประโยค พอหยุดแล้วให้พูดตามนักแสดง ออกเสียงและทำเสียงสูงต่ำให้ได้ใกล้เคียงที่สุด
(เพิ่มเติม) การแชท Chat หรือการส่ง Email: หรือการคุยโดยการพิมพ์ เป็นอีกช่องทางที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ประโยคในการสนทนา หากมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติที่เราสามารถคุยกับเขาผ่านการ Chat เป็นประจำได้จะดีมาก ในอินเตอร์เน็ทมีหลายเว็ปไซต์ที่เปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกับเพื่อนต่างประเทศ แต่ผู้เขียนไม่ขอแนะนำลิ้งค์เนื่องจากการคุยผ่านการแชทบนเว็ปไซต์ส่วนใหญ่จุดประสงค์จะออกแนวหาคู่หรือมุ่งเน้นอย่างอื่นมากกว่าการพูดคุยเรียนรู้และเรียกเปลี่ยนภาษาหรือวัฒนธรรม ดังนั้นจึงควรระวังหากผู้เรียนเลือกใช้ช่องทางนี้ในการฝึก
2. เวลาจำศัพท์ให้จำเป็น วลี (Phrase) หรือ ประโยค (Sentence) อย่าพยายามจำเป็นคำ (Word) บางทีเราทราบความหมายของคำศัพท์แต่พอถึงเวลาพูดกลับไม่รู่ว่าศัพท์คำนี้ใช้อย่างไร หรือใช้ในกรณีไหน ดังนั้นเวลาเปิดศัพท์หรือจำศัพท์แนะนำให้จำมาเป็นวลีหรือประโยคเลย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เราเจอประโยคที่บอกว่า “I am so sick of being sick” ส่วนมากหากเราไม่รู้ความหมายของคำว่า Sick เราก็จะเปิดหาและพบว่าความหมายคือป่วย แต่หากเราจำและฝึกพูดทั้งประโยคเราจะรู้ว่า sick สองตัวในประโยคมีความแตกต่างกันเล็กน้อย sick ตัวแรกความหมายจะแอกแนว เบื่อ หงุดหงิด ทนไม่ไหว โดยทั้งประโยคจะมีความหมายประมารว่า "ฉันเบื่อมากกับการเจ็บป่วย" เป็นต้น
3. พยายามไม่แปลหรือถอดคำจากไทยเป็นอังกฤษ และพยายามเรียนรู้สำนวน (Idiom)ให้มากที่สุด ยกตัวอย่างหนึ่งประโยคที่เคยได้ยินมา หยิงสาวต้องการบอกกับแฟนหนุ่มว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเขาแค่พูดเล่นๆ หรือล้อเล่น หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจว่า "I speak play play” พร้อมกับหัวเราะชอบใจ แฟนหนุ่มยืนงงและไม่รู้ว่าแฟนสาวกำลังบอกอะไร ในสถานการณ์นี้หากเรารู้ว่าการล้อเล่น หรือพูดเล่นๆ ใช้สำนวนที่ว่า I am (just) kidding หรือ I am joking เราก็จะสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
4. พยายามแวดล้อมตัวเองด้วยการพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด หากเราไม่ทำเช่นนี้เราก็จะไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดเลย ถึงแม้ว่าจะฝึกอ่านและฟังมากแค่ไหนหากปราศจากการฝึกและทดลองพูดแล้วย่อมไม่สามารถพูดได้ พยายามหาเพื่อนชาวต่างชาติหรือเข้ากลุ่มที่มีชาวต่างชาติ หากิจกรรมยามว่างทำเพื่อให้ได้มีโอกาสพูดคุย หากหาเพื่อนต่างชาติไม่ได้จริงๆอาจจะลองตั้งกฏกับเพื่อนที่กำลังฝึกภาษาเหมือนกันว่าในหนึ่งชั่วโมงถัดไปให้ทั้งสองฝ่ายสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น วิธีนี้จะดีตรงที่ว่าเราจะไม่เขิลอายและกล้าพูดมากกว่า แต่อาจจะไม่ดีตรงที่เวลาเราพูดผิดอาจจะไม่มีคนแก้ไขให้ หรือไม่ได้เรียนรู้ประโยคอันหลากหลายที่ถูกต้องจากเจ้าของภาษาโดยตรง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อีกวิธีคือการเสาะหาชมรมหรือ club สำหรับการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม สำหรับคนที่อยู่กรุงเทพลองเข้าไปที่
http://www.meetup.com/Bangkok-Language-Exchange-meetup/ เป็นคลับหรือชมรมที่ใช้ชื่อว่า Bangkok Language Exchange Meetup โดยล่าสุดมีสมาชิกชมรมทั้งหมด 1,228 คนจากหลากหลายประเทศ (เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556) สมาชิกจะมีการนัดเพื่อพบปะพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกัน
ลองหาโอกาสฝึกฝนตามหลักเบื้อต้นบ่อยๆแล้วการพูดภาษาอังกฤษได้ก็จะไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป เมื่อใดที่เรานอนตอนกลางคืนแล้วฝันเป็นภาษาอังกฤษ หรือในฝันตัวเองกำลังสนทนาเป็นภาษาอังกฤษอยู่ นั่นแหละคือสัญญาณของความสำเร็จ ถือได้ว่าภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นลอยลมและเราสามารถใช้มันได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานสมองในการคิดมากอีกต่อไป
Tip: จงอย่าอายที่จะพูด การพูดผิดถือเป็นบทเรียนและเครื่องช่วยจำ
บทความก่อนหน้า:
http://www.songstranslator.com/2013/11/learning-english-by-yourself.html
การฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
(บทความจากเว็ปไซต์ของเจ้าของกระทู้เองครับ http://www.songstranslator.com/)
“ทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้?” เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อยครั้ง แต่กี่ครั้งที่คำถามนี้จะมีคำตอบ หรือมีการสานต่อประประโยคให้เป็นการกระทำอันเกิดผลลัพธ์ ในบทความตอนนี้เราจะมาดูกันว่าหากต้องการฝึกหรือพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเราจะมีวีธีการหรือขั้นตอนที่เราสามารถฝึกได้เองอย่างไรบ้าง
บางคนบอกตัวเองว่าเราไม่ค่อยฉลาด เรียนไม่ค่อยเก่ง ไม่มีหัวด้านภาษาคงพูดไม่ได้หรอก หรือคงใช้เวลาเรียนอีกนาน เบื้องต้นผู้เรียนพึงรู้ไว้ก่อนว่าการที่จะสามารถพูดภาษาใดๆได้ไม่เกี่ยวข้องกับความฉลาดของบุคคล เพราะทุกๆคนสามารถพูดได้แน่ๆอยู่แล้วหนึ่งภาษาถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ฉลาดเลยก็ตาม นั่นเป็นผลมาจากการที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมของการใช้ภาษานั้นๆและเกิดการเอาตัวรอดท่ามกลางการใช้ภาษา สุดท้ายเราก็จะพูดภาษานั้นได้ ยกตัวอย่างคนที่ไปเรียนต่างประเทศบางคนยังติดเพื่อนคนไทย ไปไหนมาไหนจะทำอะไรก็ต้องเกาะกลุ่มเพื่อนคนไทยไว้ก่อน ผลลัพธ์คือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรือไม่คล่องตามที่ควรจะได้จากการไปอยู่ต่างประเทศ แต่คนที่เอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษตลอดทั้งวันจะทำให้การรับรู้ การพูด การคิด การตอบสนองต่อภาษาเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่นานเขาเหล่านั้นก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นการพูดภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้
ทีนี้เรามาดูกันว่าหากเราไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้วเราจะทำอย่างไรให้ตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้
การพูดภาษาอังกฤษได้ในคำจำกัดความของผู้เขียนคือ การที่เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามของสมองหรือใช้ให้น้อยที่สุด ที่เหลือคือความเป็นอัตโนมัติและความเป็นธรรมชาติ
ข้อควรปฎิบัติสำหรับการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
1. พยายามอย่ากังวลเรื่องแกรมม่า (Grammar) เพราะแกรมม่าคืออุปสรรค์ตัวฉกาจของการพูด มันจะฉุดเราให้พูดได้ช้าลง เพราะการที่เรามัวแต่คิดเรื่องความถูกต้องของโครงสร้างประโยคเราจะประมวลผลไม่ทัน อาจทำให้ไม่ได้พูดเนื่องจากอีกฝ่ายพูดเรื่องอื่นไปแล้ว การคำนึงถึงหลักแกรมม่าจะทำให้เราเกิดการกลัวความผิดพลาดสุดท้ายจะเกิดอาการอายและกลัวที่จะพูดออกมา ดังนั้นเวลาพูดควรอาศัยความเคยชินของประโยค แล้วหากไม่เคยพูดจะเอาความเคยชินมาจากไหน ความเคยชินจะเกิดจากการฝึกตามบทความตอนที่แล้วคือการอ่านและการฟัง หากเราอ่านและฟังบ่อยๆ ดูหนังบ่อยๆ อ่านหรือดูสารคดี หรือ YouTube ที่มีการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆจะทำให้เราคุ้นชินกับการใช้ประโยค หรือคำศัพท์ต่างๆ ถ้าเราได้ลองฝึกพูดตามสิ่งที่เราได้ยินหรือได้อ่านจะทำให้เราพูดได้แบบเป็นธรรมชาติมากกว่าต้องมานั่งคิดว่าประโยคประมาณนี้กาลเวลานี้ต้องใช้โครงสร้างประโยคใดเรียงอย่างไรผันกริยาอย่างไร
เทคนิคการฝึกอ่านและฟังเพื่อส่งผลต่อการพูด:
การอ่าน: แต่ละวันของการอ่านให้ฝึกอ่านออกเสียงด้วย อ่านแบบชัดถ้อยชัดคำใส่จริตจะก้านเข้าไปเท่าที่ความสามารถเรามี แต่ต้องมั่นใจว่าเราออกเสียงถูก หากไม่รู้ว่าคำนั้นออกเสียงอย่างไรให้เปิดพจนานุกรมดูตามไปด้วย หนึ่งบทความพยายามอ่านอย่างน้อยสองรอบ แนะนำเข้าไปฝึกที่ http://learningenglish.voanews.com ในเว็ปนี้จะมีข่าวพร้อมเทปเสียงการบรรยายรวมถึงสคริปข่าว ที่เราสามารถดูและอ่านไปด้วยขณะฟังได้ ลองฝึกโดยการอ่านและออกเสียงเลียนแบบเสียงของผู้บรรยาย การฝึกอ่านบ่อยๆจะช่วยให้เรารู้หลักการออกเสียงของคำนั้นๆ รู้โทนเสียงสูงต่ำและทำให้คุ้นชินกับการพูดเป็นประโยค ช่วยเพิ่มความมั่นใจ
การฟัง: หาเวลาดูหนังคนเดียวที่บ้านโดยดูแบบมี Subtitle เป็นภาษาอังกฤษ ขณะที่เราดูให้หยุดหนังในประโยคที่น่าสนใจหรือประโยคใดๆก็ได้ อาจจะเป็นทุกๆประโยค พอหยุดแล้วให้พูดตามนักแสดง ออกเสียงและทำเสียงสูงต่ำให้ได้ใกล้เคียงที่สุด
(เพิ่มเติม) การแชท Chat หรือการส่ง Email: หรือการคุยโดยการพิมพ์ เป็นอีกช่องทางที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ประโยคในการสนทนา หากมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติที่เราสามารถคุยกับเขาผ่านการ Chat เป็นประจำได้จะดีมาก ในอินเตอร์เน็ทมีหลายเว็ปไซต์ที่เปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกับเพื่อนต่างประเทศ แต่ผู้เขียนไม่ขอแนะนำลิ้งค์เนื่องจากการคุยผ่านการแชทบนเว็ปไซต์ส่วนใหญ่จุดประสงค์จะออกแนวหาคู่หรือมุ่งเน้นอย่างอื่นมากกว่าการพูดคุยเรียนรู้และเรียกเปลี่ยนภาษาหรือวัฒนธรรม ดังนั้นจึงควรระวังหากผู้เรียนเลือกใช้ช่องทางนี้ในการฝึก
2. เวลาจำศัพท์ให้จำเป็น วลี (Phrase) หรือ ประโยค (Sentence) อย่าพยายามจำเป็นคำ (Word) บางทีเราทราบความหมายของคำศัพท์แต่พอถึงเวลาพูดกลับไม่รู่ว่าศัพท์คำนี้ใช้อย่างไร หรือใช้ในกรณีไหน ดังนั้นเวลาเปิดศัพท์หรือจำศัพท์แนะนำให้จำมาเป็นวลีหรือประโยคเลย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เราเจอประโยคที่บอกว่า “I am so sick of being sick” ส่วนมากหากเราไม่รู้ความหมายของคำว่า Sick เราก็จะเปิดหาและพบว่าความหมายคือป่วย แต่หากเราจำและฝึกพูดทั้งประโยคเราจะรู้ว่า sick สองตัวในประโยคมีความแตกต่างกันเล็กน้อย sick ตัวแรกความหมายจะแอกแนว เบื่อ หงุดหงิด ทนไม่ไหว โดยทั้งประโยคจะมีความหมายประมารว่า "ฉันเบื่อมากกับการเจ็บป่วย" เป็นต้น
3. พยายามไม่แปลหรือถอดคำจากไทยเป็นอังกฤษ และพยายามเรียนรู้สำนวน (Idiom)ให้มากที่สุด ยกตัวอย่างหนึ่งประโยคที่เคยได้ยินมา หยิงสาวต้องการบอกกับแฟนหนุ่มว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเขาแค่พูดเล่นๆ หรือล้อเล่น หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจว่า "I speak play play” พร้อมกับหัวเราะชอบใจ แฟนหนุ่มยืนงงและไม่รู้ว่าแฟนสาวกำลังบอกอะไร ในสถานการณ์นี้หากเรารู้ว่าการล้อเล่น หรือพูดเล่นๆ ใช้สำนวนที่ว่า I am (just) kidding หรือ I am joking เราก็จะสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
4. พยายามแวดล้อมตัวเองด้วยการพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด หากเราไม่ทำเช่นนี้เราก็จะไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดเลย ถึงแม้ว่าจะฝึกอ่านและฟังมากแค่ไหนหากปราศจากการฝึกและทดลองพูดแล้วย่อมไม่สามารถพูดได้ พยายามหาเพื่อนชาวต่างชาติหรือเข้ากลุ่มที่มีชาวต่างชาติ หากิจกรรมยามว่างทำเพื่อให้ได้มีโอกาสพูดคุย หากหาเพื่อนต่างชาติไม่ได้จริงๆอาจจะลองตั้งกฏกับเพื่อนที่กำลังฝึกภาษาเหมือนกันว่าในหนึ่งชั่วโมงถัดไปให้ทั้งสองฝ่ายสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น วิธีนี้จะดีตรงที่ว่าเราจะไม่เขิลอายและกล้าพูดมากกว่า แต่อาจจะไม่ดีตรงที่เวลาเราพูดผิดอาจจะไม่มีคนแก้ไขให้ หรือไม่ได้เรียนรู้ประโยคอันหลากหลายที่ถูกต้องจากเจ้าของภาษาโดยตรง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อีกวิธีคือการเสาะหาชมรมหรือ club สำหรับการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม สำหรับคนที่อยู่กรุงเทพลองเข้าไปที่ http://www.meetup.com/Bangkok-Language-Exchange-meetup/ เป็นคลับหรือชมรมที่ใช้ชื่อว่า Bangkok Language Exchange Meetup โดยล่าสุดมีสมาชิกชมรมทั้งหมด 1,228 คนจากหลากหลายประเทศ (เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556) สมาชิกจะมีการนัดเพื่อพบปะพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกัน
ลองหาโอกาสฝึกฝนตามหลักเบื้อต้นบ่อยๆแล้วการพูดภาษาอังกฤษได้ก็จะไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป เมื่อใดที่เรานอนตอนกลางคืนแล้วฝันเป็นภาษาอังกฤษ หรือในฝันตัวเองกำลังสนทนาเป็นภาษาอังกฤษอยู่ นั่นแหละคือสัญญาณของความสำเร็จ ถือได้ว่าภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นลอยลมและเราสามารถใช้มันได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานสมองในการคิดมากอีกต่อไป
Tip: จงอย่าอายที่จะพูด การพูดผิดถือเป็นบทเรียนและเครื่องช่วยจำ
บทความก่อนหน้า: http://www.songstranslator.com/2013/11/learning-english-by-yourself.html