เรื่องของ ร่าง พรบ.คอมพ์ ฉบับใหม่ น่าติดตามมาก ลองอ่านกันดู
+ + + + +
ครั้งนี้ต้องขอเล่าเรื่อง ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผม เว็บ itspacebar และรวมถึงผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยทุกคน ถ้าคุณคือคนที่เล่นสมาร์ทโฟน เล่นคอมพิวเตอร์ เล่นแท็บเล็ต หรือทำอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต คุณเข้าข่ายนี้ทั้งหมด
รู้หรือไม่ว่า ร่าง พรบ.คอมพ์ ใหม่นั้น ได้ผ่านประชาพิจารณ์ไป 2 รอบแล้ว (?) ตามที่กฎหมายกำหนดและอยู่ระหว่างรอกระทรวงไอซีที เสนอ ครม. เพื่อเข้าสภา โดยตัวร่างจัดทำโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สพธอ. ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่แน่ใจว่า การประชาพิจารณ์นั้นทำได้รวดเร็วจริงๆ และไม่รู้ว่ามีการแก้ไขเนื้อหาที่น่าจะเป็นปัญหาหรือไม่
ดังนั้น เราจึงควรต้องระมัดระวัง ร่าง พรบ.คอมพ์ ใหม่ฉบับนี้ โดย อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักกฎหมายเทคโนโลยี ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่าง พรบ.คอมพ์ ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า
อันดับแรกต้องบอกก่อนว่า การมีร่างกฎหมายใหม่ แปลว่ากฎหมายเดิมมีปัญหา ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว พรบ.คอมพ์ที่ใช้อยู่มีประเด็นที่น่าเป็นห่วง 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือ มาตรา 14 (1) ที่กำหนดมาเพื่อป้องกันการ Phishing หรือเว็บไซต์หลอกลวง แต่นำไปใช้ผิดประเภท เพราะรวมเอาการหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตเข้ามารวมด้วย และเมื่อรวมกับ มาตรา 15 ที่กำหนดให้เจ้าของพื้นที่ (เซิร์ฟเวอร์) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกช่องทาง (บริการเน็ต, มือถือ, โซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งหลาย) อาจต้องร่วมรับผิดด้วย และนี่เอง เป็นเหตุให้ Youtube ปฏิเสธที่จะเข้ามาทำธุรกิจในไทย ทั้งที่ไทยเป็นประเทศที่บริโภควิดีโออันดับต้นๆ ของโลก
แต่ไม่ต้องห่วงแล้ว เพราะ มาตรา 14 (1) ได้ถูกยกเลิกใน ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ (ซึ่งรวมถึงการป้องกัน Phishing ด้วย!!!)
เรื่องที่ 2 ของ พรบ.คอมพ์เดิม คือ ผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่กำหนดต้องอบรม 3 เดือน แต่ทุกวันนี้อบรมอยู่ 3 วัน ทำให้ขาดความเข้าใจในการใช้กฎหมาย ซึ่งแนวทางคือต้องมีการอบรมอย่างน้อย 3 เดือนและผ่านการทดสอบและรับรองจากสากล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่เหล่านี้คือผู้ที่มีผลต่อสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
ทีนี้ในส่วนของ ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ มีอะไรที่ต้องระมัดระวังบ้าง นอกจาก มาตรา 14(1) ที่หายไป
มาตรา 24 (1) ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เรื่องนี้น่ากลัวมากเพราะการนำเสนอข้อมูลใดๆ ทางอินเทอร์เน็ต อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ (ข่าวลือ การคาดการณ์) นิยามไว้กว้างเกินไป มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสน หรือทั้งจำและปรับ
มาตรา 16 การสำเนาข้อมูลคนอื่นโดยมิชอบ น่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องนี้ต้องเข้าใจธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ว่ามีการทำสำเนาโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถอ่านข้อมูลได้ แค่การแชทกัน ก็มีสำเนาเกิดขึ้นที่ผู้ส่ง-ผู้รับ ผู้ให้บริการมือถือ และผู้ให้บริการแอพ นี่เข้าข่ายผิดกฎหมายทั้งหมด เพราะ การทำสำเนาโดยมิชอบ คือ ทำโดยไม่ได้รับอนุญาตและกฎหมายไม่ให้อำนาจไว้ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 5 หมื่น หรือทั้งจำและปรับ ยิ่งถ้าไปเชื่อมกับ มาตรา 15 เจ้าของพื้นที่ และผู้ให้บริการ อาจต้องรับโทษกันหมดด้วย
มาตรา 25 การครอบครองข้อมูลลามกอนาจารของเด็กและเยาวชน การบอกว่าครอบครองนั้น กินความหมายกว้าง ถ้าการเปิดดูข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตมีการทำสำเนาเกิดขึ้น นั่นหมายถึงมีไว้ในครอบครองแล้ว ก็อาจผิดมาตรานี้เช่นกัน มีโทษจำคุก 6 ปี ปรับ 2 แสนหรือทั้งจำและปรับ
มาตรา 33 เรื่องปิดบล็อกเว็บไซต์ (มาตรา 20 เดิม) ต้องบอกว่านี่คือการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ประเด็นคือมีการลดขั้นตอนลงจากเดิม เจ้าพนักงานต้องส่งเรื่องให้ รมว.ไอซีที และเสนอต่อศาล แต่กฎหมายใหม่กำหนดให้เจ้าพนักงานส่งเรื่องถึงศาลได้โดยตรง เพราะมีการแจ้งปิดบล็อกเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
ทั้งหมดหากเป็นความผิดเกิดขึ้น ถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งไม่สามารถยอมความได้ และต้องเดินเรื่องถึงชั้นศาลทันที ชาวอินเทอร์เน็ตทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวทั้งหลาย ต้องตื่นตัวและเรียกร้องการแก้ไขให้มากขึ้น
เพราะเราอาจจะกลายเป็นคนผิดโดยไม่รู้ตัวก็ได้
+ + + + +
ที่มา
http://www.itspacebar.com/2013/07/lawcom/
สนใจเรื่องอื่นๆ คลิกไปอ่านกันดูได้นะครับ
ชาวเน็ตโปรดระวัง ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ น่ากลัวกว่าที่คิด
+ + + + +
ครั้งนี้ต้องขอเล่าเรื่อง ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผม เว็บ itspacebar และรวมถึงผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยทุกคน ถ้าคุณคือคนที่เล่นสมาร์ทโฟน เล่นคอมพิวเตอร์ เล่นแท็บเล็ต หรือทำอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต คุณเข้าข่ายนี้ทั้งหมด
รู้หรือไม่ว่า ร่าง พรบ.คอมพ์ ใหม่นั้น ได้ผ่านประชาพิจารณ์ไป 2 รอบแล้ว (?) ตามที่กฎหมายกำหนดและอยู่ระหว่างรอกระทรวงไอซีที เสนอ ครม. เพื่อเข้าสภา โดยตัวร่างจัดทำโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สพธอ. ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่แน่ใจว่า การประชาพิจารณ์นั้นทำได้รวดเร็วจริงๆ และไม่รู้ว่ามีการแก้ไขเนื้อหาที่น่าจะเป็นปัญหาหรือไม่
ดังนั้น เราจึงควรต้องระมัดระวัง ร่าง พรบ.คอมพ์ ใหม่ฉบับนี้ โดย อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักกฎหมายเทคโนโลยี ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่าง พรบ.คอมพ์ ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า
อันดับแรกต้องบอกก่อนว่า การมีร่างกฎหมายใหม่ แปลว่ากฎหมายเดิมมีปัญหา ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว พรบ.คอมพ์ที่ใช้อยู่มีประเด็นที่น่าเป็นห่วง 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือ มาตรา 14 (1) ที่กำหนดมาเพื่อป้องกันการ Phishing หรือเว็บไซต์หลอกลวง แต่นำไปใช้ผิดประเภท เพราะรวมเอาการหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตเข้ามารวมด้วย และเมื่อรวมกับ มาตรา 15 ที่กำหนดให้เจ้าของพื้นที่ (เซิร์ฟเวอร์) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกช่องทาง (บริการเน็ต, มือถือ, โซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งหลาย) อาจต้องร่วมรับผิดด้วย และนี่เอง เป็นเหตุให้ Youtube ปฏิเสธที่จะเข้ามาทำธุรกิจในไทย ทั้งที่ไทยเป็นประเทศที่บริโภควิดีโออันดับต้นๆ ของโลก
แต่ไม่ต้องห่วงแล้ว เพราะ มาตรา 14 (1) ได้ถูกยกเลิกใน ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ (ซึ่งรวมถึงการป้องกัน Phishing ด้วย!!!)
เรื่องที่ 2 ของ พรบ.คอมพ์เดิม คือ ผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่กำหนดต้องอบรม 3 เดือน แต่ทุกวันนี้อบรมอยู่ 3 วัน ทำให้ขาดความเข้าใจในการใช้กฎหมาย ซึ่งแนวทางคือต้องมีการอบรมอย่างน้อย 3 เดือนและผ่านการทดสอบและรับรองจากสากล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่เหล่านี้คือผู้ที่มีผลต่อสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
ทีนี้ในส่วนของ ร่าง พรบ.คอมพ์ใหม่ มีอะไรที่ต้องระมัดระวังบ้าง นอกจาก มาตรา 14(1) ที่หายไป
มาตรา 24 (1) ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เรื่องนี้น่ากลัวมากเพราะการนำเสนอข้อมูลใดๆ ทางอินเทอร์เน็ต อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ (ข่าวลือ การคาดการณ์) นิยามไว้กว้างเกินไป มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสน หรือทั้งจำและปรับ
มาตรา 16 การสำเนาข้อมูลคนอื่นโดยมิชอบ น่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องนี้ต้องเข้าใจธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ว่ามีการทำสำเนาโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถอ่านข้อมูลได้ แค่การแชทกัน ก็มีสำเนาเกิดขึ้นที่ผู้ส่ง-ผู้รับ ผู้ให้บริการมือถือ และผู้ให้บริการแอพ นี่เข้าข่ายผิดกฎหมายทั้งหมด เพราะ การทำสำเนาโดยมิชอบ คือ ทำโดยไม่ได้รับอนุญาตและกฎหมายไม่ให้อำนาจไว้ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 5 หมื่น หรือทั้งจำและปรับ ยิ่งถ้าไปเชื่อมกับ มาตรา 15 เจ้าของพื้นที่ และผู้ให้บริการ อาจต้องรับโทษกันหมดด้วย
มาตรา 25 การครอบครองข้อมูลลามกอนาจารของเด็กและเยาวชน การบอกว่าครอบครองนั้น กินความหมายกว้าง ถ้าการเปิดดูข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตมีการทำสำเนาเกิดขึ้น นั่นหมายถึงมีไว้ในครอบครองแล้ว ก็อาจผิดมาตรานี้เช่นกัน มีโทษจำคุก 6 ปี ปรับ 2 แสนหรือทั้งจำและปรับ
มาตรา 33 เรื่องปิดบล็อกเว็บไซต์ (มาตรา 20 เดิม) ต้องบอกว่านี่คือการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ประเด็นคือมีการลดขั้นตอนลงจากเดิม เจ้าพนักงานต้องส่งเรื่องให้ รมว.ไอซีที และเสนอต่อศาล แต่กฎหมายใหม่กำหนดให้เจ้าพนักงานส่งเรื่องถึงศาลได้โดยตรง เพราะมีการแจ้งปิดบล็อกเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
ทั้งหมดหากเป็นความผิดเกิดขึ้น ถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งไม่สามารถยอมความได้ และต้องเดินเรื่องถึงชั้นศาลทันที ชาวอินเทอร์เน็ตทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวทั้งหลาย ต้องตื่นตัวและเรียกร้องการแก้ไขให้มากขึ้น
เพราะเราอาจจะกลายเป็นคนผิดโดยไม่รู้ตัวก็ได้
+ + + + +
ที่มา http://www.itspacebar.com/2013/07/lawcom/
สนใจเรื่องอื่นๆ คลิกไปอ่านกันดูได้นะครับ