สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
กระทู้คำถามนี้ถือว่าเป็นหัวข้อเรื่องที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทั่วไปและแม้แต่คนต่างชาติที่อยู่ในยุโรปเองก็ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า melting pot ที่แท้จริง ทุกคนจะเข้าใจกันว่า melting pot คือการที่สังคมใดสังคมหนึ่งประกอบไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกัน เช่นที่ คห บนๆ ทั้งหมดอธิบายมา
เมื่อดูความเข้าใจตามคำถามของ จขกท นัันจึงจะสะท้อนภาพที่แท้จริงถูกต้องให้เห็นว่า โลกภายนอกนั้นรับทราบว่ายุโรปยังไม่เป็น melting pot แบบอเมริกา ซึ่งโดยสภาพความเป็นจริงในสังคมยุโรปปัจจุบันไม่ได้เป็น melting pot จริง และแม้แต่สภาวะการเป็น Multiculturalism หรือ multiple cultures ซึ่งเป็นขั้นตอนลักษณะสังคมก่อนที่จะเป็น melting pot โดยหลายประเทศในยุโรปตั้งนโยบายนี้ไว้ตั้งแต่ปี 1970 นั้น ณ วันนี้ ผู้นำประเทศของ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปญ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ระบบ Multiculturalism ในประเทศของตนนั้น ได้ล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
ผู้ที่เริ่มประโยคนี้คือ นายกหญิงเยอรมันนาง Angela Merkel กล่าวใน speech เมื่อวันที่ 16.10.2010 ซึ่งต่อมาได้รับการขานรับและยืนยันเห็นด้วยเป็นประกาศต่อมาโดย David Cameron เมื่อวันที่ 7.02.2011 และตามมาติดๆ ด้วยคำประกาศของนายกฝรั่งเศส Nicolas Sakozy เมื่อวันที่ 9.05.2011 เป็นข่าวโด่งดังและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก
คนทั่วไปที่ไม่ได้สนใจติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด จะไม่ได้รับรู้ข่าวนี้แต่จะเข้าใจเอาจากที่เห็นภาพประจำวันเท่านั้นว่า มีต่างชาติอาศัยอยู่ในยุโรปหลากหลายมากมาย แต่สภาพสังคมที่แท้จริงคือคนต่างชาติเหล่านี้จะอาศัยแยกกันแบบต่างคนต่างอยู่ตามสังคมวัฒนธรรมของตน และ ปัญหาเลวร้ายที่สุดคือการก่อความไม่สงบในสังคมของต่างชาติเฉพาะกลุ่ม อันได้แก่ กลุ่มมุสลิม ที่เรียกร้องให้สังคมประเทศที่เข้าไปอาศัยอยู่ยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างของตนเอง เช่น การตัดปุ่ม clitoris ในอวัยวะเพศหญิง การบังคับการแต่งงานในเด็กหญิง การคลุมหน้ามิดชิด การสวดมนต์ล้นอออกนอกสุเหร่ามากีดขวางการจราจรบนท้องถนนสาธารณะ ฯลฯ
คำว่า melting pot โดยความหมายนี้ที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น หมายถึง ไม่เพียงแต่สังคมที่ประกอบไปด้วยหลากหลายเชื้อชาติเท่านั้น แต่ไปไกลถึงการผสมเชื้อชาติข้ามพันธุ์โดยการแต่งงาน จนไม่หลงเหลือ identity บรรพบุรุษเก่าของแต่ละคนที่เมื่อเริ่มอพยพเข้าไปอยู่ในอเมริกา คนรุ่นปัจจุบันจึงสามารถเรียกตนเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตนเองเป็น "อเมริกัน" ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงนั้นจะยังมีการแบ่งแยกของชนผิวดำ กับ คนผิวสีอื่นๆ หลงเหลืออยู่อีกก็ตาม แต่ก็นับว่าน้อยเมื่อเทียบความแตกแยกทางเชื้อชาติในสังคมยุโรป
สาเหตุของการที่ยุโรปไม่เป็น melting pot หรือ แม้แต่ multiculturalism ได้นั้นเนื่องจากอุดมคติในการสร้างชาติของทั้งสองทวีปแตกต่างกัน การที่อเมริกาเป็นประเทศใหม่ที่ประกอบไปด้วยผู้อพยพจากหลากหลายวัฒนธรรมซึ่งจำเป็นต้องสร้าง identity ใหม่ของประเทศเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงความรู้สึกคนในชาติเข้าด้วยกัน
ขณะที่ยุโรปซึ่งในประวัติศาสตร์แล้วเป็นทวีปที่เป็นทั้ง melting pot และ multiculturalism มาก่อนด้วยซ้ำ เพราะผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการแบ่งแยกเป็นประเทศ แต่เมื่อต่อมาเกิดการสร้างอุดมคติเรื่อง nationalism ขึ้นซึ่งคนในแต่ละเผ่าชนต้องการมี identity ของตนเองแยกจากกัน จึงเกิดแตกแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยขึ้นในยุโรป identity แรกๆ ของการเป็นวัฒนธรรมคือ "ภาษา" ที่มีอยู่แตกต่างหลายหลายในสังคมยุโรปตามที่เห็นกันอยู่
เมื่อต่างคนต่างมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง คนในชาติก็จะรักษาหวงแหนเอาไว้ เมื่อมีการอพยพของคนต่างชาติเข้ามา คนที่เป็นเจ้าของประเทศก็หวังที่จะให้คนต่างชาตินั้นปรับตัวยอมรับและปฏิบัติตามวัฒนธรรมของตน
ในยุโปนั้น จะเห็นว่าการอพยพเข้าไปอยู่ของคนต่างชาติที่มาจากประเทศยุโรปด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะแตกต่างทางด้านภาษาและวัฒนธรรม แต่เนื่องจากนับถือศาสนาคริสต์เหมือนกันซึ่งความเชื่อทางศาสนาจะเป็นหลักพื้นฐานในการปฏิบัติตนในแต่ละวัฒนธรรม การเกิด melting pot จึงไม่มีปัญหา เราจะเห็นว่า คนอิตาลี อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปญ ฯลฯ แต่งงานข้ามชาติกันตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างราบรื่น (ถึงแม้ว่าจะมีแยกตามลัทธิคาทอลิคหรือโปรแตสแตนท์อยู่บ้าง)
แต่ทันที่ที่มีความแตกต่างทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ศาสนาอิสลามซึ่งจะแตกต่างตั้งแต่ ความเชื่อทางด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งถือเป็นฐานรากของประชาธิปไตยเสียแล้ว ความขัดแย้งทางด้านการปฏิบัติตนในสังคมก็ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นจนเป็นปัญหาใหญ่ลุกลามบานปลายอยู่ในปัจจุบันนี้
ปัญหาของ multiculturalism ในสังคมยุโรปยังประสบความล้มเหลวเสียแล้ว การจะไปถึงการเป็น melting pot ยิ่งยังมองไม่เห็นอนาคต
ดังนั้นคำถามสุดท้ายของ จขกท ที่ว่านอกจาก neo-nazi ซึ่งต่อต้านคนต่างชาติที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยังมีกลุ่มอื่นใดอีกบ้างหรือไม่นั้น คำตอบที่เห็นเด่นชัดขึ้นทุกวันคือ กลุ่มต่อต้านผู้อพยพต่างชาตินั้นไม่ได้ก่อตัวอยู่แค่กลุ่มเล็กๆ น้อยๆ ในสังคม แต่ได้พัฒนาก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดซึ่งมีนโยบายต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจนและกำลังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มขึ้นทุกวัน ได้แก่ พรรค NPD ของเยอรมนี พรรค FN ของฝรั่งเศส พรรค PVV ของเนเธอร์แลนด์ พรรค UKIP ของอังกฤษ พรรค SVP ของสวิตเซอรแลนด์ พรรค Lega Nord ของอิตาลี เช่นเดียวกับในประเทศยุโรปอื่นๆ ซึ่งรวมถึงประเทศกลุ่มสแกนดินาเวียนด้วย
และนักการเมืองซึ่งมีภูมิหลังต่างชาติตามที่่ จขกท ยกตัวอย่างมาได้แก่ Cécile Kyenge เชื้อสายคองโก รัฐมนตรีกระทรวง Integration ของอิตาลี และ Philipp Rösler เชื้อสายเวียตนาม รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีนั้น ก็ยังโดนโจมตีกล่าวดูถูกกระทบกระเทียบเรื่องเชื้อชาติอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะรัฐมนตรีหญิงของอิตาลีนั้นได้รับการกล่าวดูถูกเหยียดหยามทั้งจากนักการเมืองด้วยกันและประชาชนอย่างรุนแรงและบ่อยครั้งมากๆ
ผมสรุปสั้นๆ ว่า โครงสร้างทางสังคมของยุโรปซึ่งระบบการเมืองเน้นการเป็นรัฐสวัสดิการดูแลประชาชนด้วยราคาแพงนั้น ไม่เหมาะสมกับการเป็นประเทศรับผู้อพยพจากประเทศด้อยพัฒนา ซึ่งต่างหวังเข้ามารับผลประโยชน์ทางด้านสวัสดิการของรัฐ ต่างจากอเมริกาที่ทุกคนต้องเข้ามาทำงานหนักเลี้ยงดูตัวเอง การต่อต้านผู้อพยพในทวีปยุโรปจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจะยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ทั้งๆ ที่ยุโรปก็ต้องการแรงงานต่างชาติเข้าไปช่วยทำงานในประเทศเนื่องจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของจำนวนประชากรก็ตาม
เมื่อดูความเข้าใจตามคำถามของ จขกท นัันจึงจะสะท้อนภาพที่แท้จริงถูกต้องให้เห็นว่า โลกภายนอกนั้นรับทราบว่ายุโรปยังไม่เป็น melting pot แบบอเมริกา ซึ่งโดยสภาพความเป็นจริงในสังคมยุโรปปัจจุบันไม่ได้เป็น melting pot จริง และแม้แต่สภาวะการเป็น Multiculturalism หรือ multiple cultures ซึ่งเป็นขั้นตอนลักษณะสังคมก่อนที่จะเป็น melting pot โดยหลายประเทศในยุโรปตั้งนโยบายนี้ไว้ตั้งแต่ปี 1970 นั้น ณ วันนี้ ผู้นำประเทศของ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปญ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ระบบ Multiculturalism ในประเทศของตนนั้น ได้ล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
ผู้ที่เริ่มประโยคนี้คือ นายกหญิงเยอรมันนาง Angela Merkel กล่าวใน speech เมื่อวันที่ 16.10.2010 ซึ่งต่อมาได้รับการขานรับและยืนยันเห็นด้วยเป็นประกาศต่อมาโดย David Cameron เมื่อวันที่ 7.02.2011 และตามมาติดๆ ด้วยคำประกาศของนายกฝรั่งเศส Nicolas Sakozy เมื่อวันที่ 9.05.2011 เป็นข่าวโด่งดังและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก
คนทั่วไปที่ไม่ได้สนใจติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด จะไม่ได้รับรู้ข่าวนี้แต่จะเข้าใจเอาจากที่เห็นภาพประจำวันเท่านั้นว่า มีต่างชาติอาศัยอยู่ในยุโรปหลากหลายมากมาย แต่สภาพสังคมที่แท้จริงคือคนต่างชาติเหล่านี้จะอาศัยแยกกันแบบต่างคนต่างอยู่ตามสังคมวัฒนธรรมของตน และ ปัญหาเลวร้ายที่สุดคือการก่อความไม่สงบในสังคมของต่างชาติเฉพาะกลุ่ม อันได้แก่ กลุ่มมุสลิม ที่เรียกร้องให้สังคมประเทศที่เข้าไปอาศัยอยู่ยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างของตนเอง เช่น การตัดปุ่ม clitoris ในอวัยวะเพศหญิง การบังคับการแต่งงานในเด็กหญิง การคลุมหน้ามิดชิด การสวดมนต์ล้นอออกนอกสุเหร่ามากีดขวางการจราจรบนท้องถนนสาธารณะ ฯลฯ
คำว่า melting pot โดยความหมายนี้ที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น หมายถึง ไม่เพียงแต่สังคมที่ประกอบไปด้วยหลากหลายเชื้อชาติเท่านั้น แต่ไปไกลถึงการผสมเชื้อชาติข้ามพันธุ์โดยการแต่งงาน จนไม่หลงเหลือ identity บรรพบุรุษเก่าของแต่ละคนที่เมื่อเริ่มอพยพเข้าไปอยู่ในอเมริกา คนรุ่นปัจจุบันจึงสามารถเรียกตนเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตนเองเป็น "อเมริกัน" ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงนั้นจะยังมีการแบ่งแยกของชนผิวดำ กับ คนผิวสีอื่นๆ หลงเหลืออยู่อีกก็ตาม แต่ก็นับว่าน้อยเมื่อเทียบความแตกแยกทางเชื้อชาติในสังคมยุโรป
สาเหตุของการที่ยุโรปไม่เป็น melting pot หรือ แม้แต่ multiculturalism ได้นั้นเนื่องจากอุดมคติในการสร้างชาติของทั้งสองทวีปแตกต่างกัน การที่อเมริกาเป็นประเทศใหม่ที่ประกอบไปด้วยผู้อพยพจากหลากหลายวัฒนธรรมซึ่งจำเป็นต้องสร้าง identity ใหม่ของประเทศเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงความรู้สึกคนในชาติเข้าด้วยกัน
ขณะที่ยุโรปซึ่งในประวัติศาสตร์แล้วเป็นทวีปที่เป็นทั้ง melting pot และ multiculturalism มาก่อนด้วยซ้ำ เพราะผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการแบ่งแยกเป็นประเทศ แต่เมื่อต่อมาเกิดการสร้างอุดมคติเรื่อง nationalism ขึ้นซึ่งคนในแต่ละเผ่าชนต้องการมี identity ของตนเองแยกจากกัน จึงเกิดแตกแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยขึ้นในยุโรป identity แรกๆ ของการเป็นวัฒนธรรมคือ "ภาษา" ที่มีอยู่แตกต่างหลายหลายในสังคมยุโรปตามที่เห็นกันอยู่
เมื่อต่างคนต่างมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง คนในชาติก็จะรักษาหวงแหนเอาไว้ เมื่อมีการอพยพของคนต่างชาติเข้ามา คนที่เป็นเจ้าของประเทศก็หวังที่จะให้คนต่างชาตินั้นปรับตัวยอมรับและปฏิบัติตามวัฒนธรรมของตน
ในยุโปนั้น จะเห็นว่าการอพยพเข้าไปอยู่ของคนต่างชาติที่มาจากประเทศยุโรปด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะแตกต่างทางด้านภาษาและวัฒนธรรม แต่เนื่องจากนับถือศาสนาคริสต์เหมือนกันซึ่งความเชื่อทางศาสนาจะเป็นหลักพื้นฐานในการปฏิบัติตนในแต่ละวัฒนธรรม การเกิด melting pot จึงไม่มีปัญหา เราจะเห็นว่า คนอิตาลี อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปญ ฯลฯ แต่งงานข้ามชาติกันตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างราบรื่น (ถึงแม้ว่าจะมีแยกตามลัทธิคาทอลิคหรือโปรแตสแตนท์อยู่บ้าง)
แต่ทันที่ที่มีความแตกต่างทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ศาสนาอิสลามซึ่งจะแตกต่างตั้งแต่ ความเชื่อทางด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งถือเป็นฐานรากของประชาธิปไตยเสียแล้ว ความขัดแย้งทางด้านการปฏิบัติตนในสังคมก็ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นจนเป็นปัญหาใหญ่ลุกลามบานปลายอยู่ในปัจจุบันนี้
ปัญหาของ multiculturalism ในสังคมยุโรปยังประสบความล้มเหลวเสียแล้ว การจะไปถึงการเป็น melting pot ยิ่งยังมองไม่เห็นอนาคต
ดังนั้นคำถามสุดท้ายของ จขกท ที่ว่านอกจาก neo-nazi ซึ่งต่อต้านคนต่างชาติที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยังมีกลุ่มอื่นใดอีกบ้างหรือไม่นั้น คำตอบที่เห็นเด่นชัดขึ้นทุกวันคือ กลุ่มต่อต้านผู้อพยพต่างชาตินั้นไม่ได้ก่อตัวอยู่แค่กลุ่มเล็กๆ น้อยๆ ในสังคม แต่ได้พัฒนาก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดซึ่งมีนโยบายต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจนและกำลังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มขึ้นทุกวัน ได้แก่ พรรค NPD ของเยอรมนี พรรค FN ของฝรั่งเศส พรรค PVV ของเนเธอร์แลนด์ พรรค UKIP ของอังกฤษ พรรค SVP ของสวิตเซอรแลนด์ พรรค Lega Nord ของอิตาลี เช่นเดียวกับในประเทศยุโรปอื่นๆ ซึ่งรวมถึงประเทศกลุ่มสแกนดินาเวียนด้วย
และนักการเมืองซึ่งมีภูมิหลังต่างชาติตามที่่ จขกท ยกตัวอย่างมาได้แก่ Cécile Kyenge เชื้อสายคองโก รัฐมนตรีกระทรวง Integration ของอิตาลี และ Philipp Rösler เชื้อสายเวียตนาม รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีนั้น ก็ยังโดนโจมตีกล่าวดูถูกกระทบกระเทียบเรื่องเชื้อชาติอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะรัฐมนตรีหญิงของอิตาลีนั้นได้รับการกล่าวดูถูกเหยียดหยามทั้งจากนักการเมืองด้วยกันและประชาชนอย่างรุนแรงและบ่อยครั้งมากๆ
ผมสรุปสั้นๆ ว่า โครงสร้างทางสังคมของยุโรปซึ่งระบบการเมืองเน้นการเป็นรัฐสวัสดิการดูแลประชาชนด้วยราคาแพงนั้น ไม่เหมาะสมกับการเป็นประเทศรับผู้อพยพจากประเทศด้อยพัฒนา ซึ่งต่างหวังเข้ามารับผลประโยชน์ทางด้านสวัสดิการของรัฐ ต่างจากอเมริกาที่ทุกคนต้องเข้ามาทำงานหนักเลี้ยงดูตัวเอง การต่อต้านผู้อพยพในทวีปยุโรปจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจะยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ทั้งๆ ที่ยุโรปก็ต้องการแรงงานต่างชาติเข้าไปช่วยทำงานในประเทศเนื่องจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของจำนวนประชากรก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
ยุโรปมีโอกาสเป็น Melting-Pot แบบอเมริกาหรือไม่ครับ
เลยอยากทราบครับว่ายุโรปในอนาคตมีโอกาสจะเป็น melting-pot หรือ multiculture แบบสหรัฐอเมริกาหรือไม่ครับ แล้วคนขาวในยุโรปที่อยู่มาแต่เดิมเขามีแนวคิดอย่างไรกันบ้าง ฝ่ายที่ต่อต้านการอพยพนี่นอกจาก Neo-Nazi แล้วยังมีกลุ่มไหนอีกบ้างครับ