เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 ที่สี่แยกขนำไร่ ระยอง
สามีดิฉันพร้อมเพื่อนอีก 2 คนได้ไปซ่อมงานที่ตราดแล้วเดินทางกลับพัทยา ขณะที่ฝนยังตกปรอยๆ พอถึงแยกขนำไร่ สัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลืองกระพริบๆ เลยชลอรถ ซึ่งเพื่อนของสามีเป็นคนขับ ขอเรียกว่าเอ สามีนั่งหน้า คู่กับคนขับ ส่วนอีกคนขอเรียกว่าบีนั่งในแคป
ตรงสี่แยก เอเห็นรถของคู่กรณีได้จอดนิ่งทางด้านซ้าย ไม่ได้ขยับรถแต่อย่างไร เอจึงตัดสินใจขับต่อไป แต่แล้วอยู่ๆ รถของคู่กรณีก็ขับออกมาอย่างกระชั้นชิด เอจึงทำการเบรกรถกระทันหัน และหักพวงมาลัยเบี่ยงไปทางซ้ายเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากให้โดนคนขับ คือสถาณการณ์ตอนนั้น สามีบอกว่าเอ ทำดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าเป็นเขาขับ ก็ไม่แน่ว่าจะพุ่งตรงไปอย่างเดียวเลย เขาอาจจะไม่หลบเพราะกลัวรถเราจะพลิกคว่ำ ปกติสามีเป็นคนขับรถเร็ว เขาบอกว่า ถ้าเป็นเขาขับ ความเสียหายที่ตามมาอาจมากกว่านี้
พอเกิดอุบัติเหตุ สามีและเพื่อนเห็นฝั่งคู่กรณีพยายามจะเบี่ยงรถขับหนีไป เอจึงหันรถไปกักเอาไว้ ไม่ให้เขาไปได้ จากนั้นพวกเขาก็ลงจากรถกัน เพื่อที่จะไปเจรจากับรถคู่กรณี แต่ก็ยังไม่มีใครเปิดประตูลงมา สามีบอกเอ ให้ไปเรียกตำรวจที่ป้อมมา ส่วนเขาและเพื่อนอีกคนไปเรียกคนขับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเปิดประตูรถไม่ได้ หรือไรไม่ทราบ แต่สามีเล่าว่าเขาเป็นคนเปิดประตูรถให้คู่กรณี
พอเขาลงมาก็มีอาการมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด และแสดงท่าทีโมโห เขาพูดจาก Mung Ku กับพวกเราตลอด สามีบอกว่าประโยคแรกที่เขาลงจากรถ เขาถามสามีเราว่า Mung รู้ไหม ว่าKu เป็นใคร Mung ขวางรถ Ku แบบนี้ Ku ยิง Mung ได้นะเนี่ย สามีเราตอบกลับไปว่า ถ้าพี่ยิงผมก็ตายฟรีนะสิ พวกผมไม่ได้มีอะไรนะพี่ มันเป็นอุบัติเหตุแล้วพวกผมต้องเรียกประกัน ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก คู่กรณีก็ฉุนเฉียว พูดประมาณว่า ทางเราจะฆ่าเขา
สามีบอกว่าคู่กรณีหนีบกระเป๋าสีดำไว้ตลอดเวลา แต่ไม่แน่ใจว่าข้างในมีปืนหรือไม่ คู่กรณีหันหน้าไปทางบี แล้วเดินลุยเข้าไป เขาถามบีว่า Mung ห้อยพระอะไรวะ แล้วทำเป็นจับปกเสื้อของเพื่อนไว้ แต่ไม่ได้กระชากหรืออะไร แต่ลักษณะการแสดงออกของเขากร่างมาก
พอตำรวจมาถึง ดูเหมือนตำรวจจะรู้ว่าเป็นใคร เลยพยายามดึงๆ คู่กรณีเอาไว้ แต่คู่กรณีก็โวยวายด้วยถ้อยคำหยาบคายตลอด พวกเราสงสัยว่า ทำไมตำรวจไม่เห็นตรวจแอลกอฮอลล์เขาเลย ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเขาเมา ถ้ากลับกันเป็นพวกเราที่เมา จะเกิดอะไรขึ้น คดีจะพลิกหรือไม่ พวกเราก็ยังสงสัยอยู่ กรณีนี้พวกเราก็รู้ว่าเราผิด แต่ทางเขาเองก็ผิดเหมือนกัน ตำรวจก็พยายามไกล่เกลี่ยดีๆ ตำรวจพูดจาดีกับพวกเรา ไม่ได้ด่าว่า หรือตะคอกแต่อย่างไร
สักพักประกันก็มา แล้วลูกน้องของคู่กรณีก็ตามมาอีก 2 คน มีปืนเหน็บไว้ที่เอวคนนึงด้วย ในใจสามีคิดว่า ดีนะที่มีตำรวจอยู่ด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ ประกันตรวจดูรถแล้วถามถึงเหตุการณ์ก็บอกว่าให้ ต่างคนต่างซ่อม แต่คู่กรณีไม่ยอม เพราะเขาบอกว่ารถเขาไม่มีประกัน เป็นรถราชการ ซึ่งไม่ได้ทำประกัน จะให้ทางประกันของเราซ่อมให้เขาด้วย แต่ทางประกันของเราไม่ยอม และทางเขาเองก็ไ่ม่ยอมเหมือนกัน ตรงนี้พวกสามีก็ได้แต่ฟังเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรกัน ให้ประกันเคลียเอง
สามีบอกว่า รู้สึกแย่มากที่เห็นข้าราชการระดับสูงของอำเภอนั้น พูดจาและแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา เขาคิดว่า หากเขาไม่เอารถไปขวางเอาไว้ ก็คงจะขับหนีไปแล้ว แต่ก็สงสัยว่าจะหนีทำไม ในเมื่อทางฝ่ายเราไปชนเขา ทางเราต่างหากที่ควรจะหนี แต่ทางเราก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรหรือเปล่า มีใครอยู่ในรถที่บาดเจ็บไหม จะได้ช่วยเหลือกัน แล้วอีกอย่าง รถเรามีประกัน พวกเราต้องมีคู่กรณีจึงจะเคลมได้
ในใจของพวกเขาไม่ได้คิดอะไร มันเป็นเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกมาก คือถ้ามีใครบาดเจ็บเขาจะช่วยเหลือ และต้องรอประกัน เลยต้องเอารถไปขวางคู่กรณีไว้ ไม่คิดว่าจะโดนขู่แบบนั้น
และสมมติว่า หากทางเราเป็นฝ่ายที่โดนชน แล้วบาดเจ็บขึ้นมา คู่กรณีจะหนีหายไปเลยใช่ไหม จะไม่มาดูดำดูดีเลยเหรอ
เป็นข้าราชการระดับผู้ใหญ่ แต่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเลย ข่มขู่ชาวบ้านตาดำๆ แบบนี้อีก
ตอนสายพวกเราไปที่โรงพัก เพื่อเคลียเรื่องรถและอุบัติเหตุ แต่คู่กรณีส่งลูกน้องมาแทน ทั้งๆ ที่ออฟฟิศก็ติดกับสถานีตำรวจนั่นแหละ
**ปล. ในรูป รถบริษัทของสามีเป็นนิสสัน ส่วนคู่กรณีเป็นโตโยต้าคะ
เกิดอุบัติเหตุขึ้น แล้วคู่กรณีที่เป็นข้าราชการระดับสูงเมาแล้วขับ ถามสามีดิฉันว่า ku ยิง mung ได้นะเนี่ย
สามีดิฉันพร้อมเพื่อนอีก 2 คนได้ไปซ่อมงานที่ตราดแล้วเดินทางกลับพัทยา ขณะที่ฝนยังตกปรอยๆ พอถึงแยกขนำไร่ สัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลืองกระพริบๆ เลยชลอรถ ซึ่งเพื่อนของสามีเป็นคนขับ ขอเรียกว่าเอ สามีนั่งหน้า คู่กับคนขับ ส่วนอีกคนขอเรียกว่าบีนั่งในแคป
ตรงสี่แยก เอเห็นรถของคู่กรณีได้จอดนิ่งทางด้านซ้าย ไม่ได้ขยับรถแต่อย่างไร เอจึงตัดสินใจขับต่อไป แต่แล้วอยู่ๆ รถของคู่กรณีก็ขับออกมาอย่างกระชั้นชิด เอจึงทำการเบรกรถกระทันหัน และหักพวงมาลัยเบี่ยงไปทางซ้ายเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากให้โดนคนขับ คือสถาณการณ์ตอนนั้น สามีบอกว่าเอ ทำดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าเป็นเขาขับ ก็ไม่แน่ว่าจะพุ่งตรงไปอย่างเดียวเลย เขาอาจจะไม่หลบเพราะกลัวรถเราจะพลิกคว่ำ ปกติสามีเป็นคนขับรถเร็ว เขาบอกว่า ถ้าเป็นเขาขับ ความเสียหายที่ตามมาอาจมากกว่านี้
พอเกิดอุบัติเหตุ สามีและเพื่อนเห็นฝั่งคู่กรณีพยายามจะเบี่ยงรถขับหนีไป เอจึงหันรถไปกักเอาไว้ ไม่ให้เขาไปได้ จากนั้นพวกเขาก็ลงจากรถกัน เพื่อที่จะไปเจรจากับรถคู่กรณี แต่ก็ยังไม่มีใครเปิดประตูลงมา สามีบอกเอ ให้ไปเรียกตำรวจที่ป้อมมา ส่วนเขาและเพื่อนอีกคนไปเรียกคนขับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเปิดประตูรถไม่ได้ หรือไรไม่ทราบ แต่สามีเล่าว่าเขาเป็นคนเปิดประตูรถให้คู่กรณี
พอเขาลงมาก็มีอาการมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด และแสดงท่าทีโมโห เขาพูดจาก Mung Ku กับพวกเราตลอด สามีบอกว่าประโยคแรกที่เขาลงจากรถ เขาถามสามีเราว่า Mung รู้ไหม ว่าKu เป็นใคร Mung ขวางรถ Ku แบบนี้ Ku ยิง Mung ได้นะเนี่ย สามีเราตอบกลับไปว่า ถ้าพี่ยิงผมก็ตายฟรีนะสิ พวกผมไม่ได้มีอะไรนะพี่ มันเป็นอุบัติเหตุแล้วพวกผมต้องเรียกประกัน ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก คู่กรณีก็ฉุนเฉียว พูดประมาณว่า ทางเราจะฆ่าเขา
สามีบอกว่าคู่กรณีหนีบกระเป๋าสีดำไว้ตลอดเวลา แต่ไม่แน่ใจว่าข้างในมีปืนหรือไม่ คู่กรณีหันหน้าไปทางบี แล้วเดินลุยเข้าไป เขาถามบีว่า Mung ห้อยพระอะไรวะ แล้วทำเป็นจับปกเสื้อของเพื่อนไว้ แต่ไม่ได้กระชากหรืออะไร แต่ลักษณะการแสดงออกของเขากร่างมาก
พอตำรวจมาถึง ดูเหมือนตำรวจจะรู้ว่าเป็นใคร เลยพยายามดึงๆ คู่กรณีเอาไว้ แต่คู่กรณีก็โวยวายด้วยถ้อยคำหยาบคายตลอด พวกเราสงสัยว่า ทำไมตำรวจไม่เห็นตรวจแอลกอฮอลล์เขาเลย ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเขาเมา ถ้ากลับกันเป็นพวกเราที่เมา จะเกิดอะไรขึ้น คดีจะพลิกหรือไม่ พวกเราก็ยังสงสัยอยู่ กรณีนี้พวกเราก็รู้ว่าเราผิด แต่ทางเขาเองก็ผิดเหมือนกัน ตำรวจก็พยายามไกล่เกลี่ยดีๆ ตำรวจพูดจาดีกับพวกเรา ไม่ได้ด่าว่า หรือตะคอกแต่อย่างไร
สักพักประกันก็มา แล้วลูกน้องของคู่กรณีก็ตามมาอีก 2 คน มีปืนเหน็บไว้ที่เอวคนนึงด้วย ในใจสามีคิดว่า ดีนะที่มีตำรวจอยู่ด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ ประกันตรวจดูรถแล้วถามถึงเหตุการณ์ก็บอกว่าให้ ต่างคนต่างซ่อม แต่คู่กรณีไม่ยอม เพราะเขาบอกว่ารถเขาไม่มีประกัน เป็นรถราชการ ซึ่งไม่ได้ทำประกัน จะให้ทางประกันของเราซ่อมให้เขาด้วย แต่ทางประกันของเราไม่ยอม และทางเขาเองก็ไ่ม่ยอมเหมือนกัน ตรงนี้พวกสามีก็ได้แต่ฟังเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรกัน ให้ประกันเคลียเอง
สามีบอกว่า รู้สึกแย่มากที่เห็นข้าราชการระดับสูงของอำเภอนั้น พูดจาและแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา เขาคิดว่า หากเขาไม่เอารถไปขวางเอาไว้ ก็คงจะขับหนีไปแล้ว แต่ก็สงสัยว่าจะหนีทำไม ในเมื่อทางฝ่ายเราไปชนเขา ทางเราต่างหากที่ควรจะหนี แต่ทางเราก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรหรือเปล่า มีใครอยู่ในรถที่บาดเจ็บไหม จะได้ช่วยเหลือกัน แล้วอีกอย่าง รถเรามีประกัน พวกเราต้องมีคู่กรณีจึงจะเคลมได้
ในใจของพวกเขาไม่ได้คิดอะไร มันเป็นเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกมาก คือถ้ามีใครบาดเจ็บเขาจะช่วยเหลือ และต้องรอประกัน เลยต้องเอารถไปขวางคู่กรณีไว้ ไม่คิดว่าจะโดนขู่แบบนั้น
และสมมติว่า หากทางเราเป็นฝ่ายที่โดนชน แล้วบาดเจ็บขึ้นมา คู่กรณีจะหนีหายไปเลยใช่ไหม จะไม่มาดูดำดูดีเลยเหรอ
เป็นข้าราชการระดับผู้ใหญ่ แต่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเลย ข่มขู่ชาวบ้านตาดำๆ แบบนี้อีก
ตอนสายพวกเราไปที่โรงพัก เพื่อเคลียเรื่องรถและอุบัติเหตุ แต่คู่กรณีส่งลูกน้องมาแทน ทั้งๆ ที่ออฟฟิศก็ติดกับสถานีตำรวจนั่นแหละ
**ปล. ในรูป รถบริษัทของสามีเป็นนิสสัน ส่วนคู่กรณีเป็นโตโยต้าคะ