สวัสดีครับ เพื่อนๆพี่ๆทุกท่านในห้องนี้ ผมพึ่งสมัครพันทิปเข้ามาและนี่เป็นกระทู้แรกของผมครับ
กระผมใคร่ขอความรู้เกี่ยวกับเรื่องการจัดการภาษีในฐานะพนักงานประจำหน่อยครับ พอดีผมมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจากปัญหาภาษีที่เกิดขึ้นจากการไปรับงานจากหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง แล้วเกิดปัญหา คิดไม่ตกอยู่ทุกวันนี้ ดังนี้ครับ
1) ผมเป็นพนักงานประจำบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เสียภาษีในอัตราก้าวหน้าที่ 20% ตอนปลายๆครับ (ประมาณ 60k)
2) มีหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งติดต่อให้ผมเข้ามาบริการให้ความรู้ฝึกอบรมแก่หน่วยงานที่เค้าอยู่ครับ (ผมรู้จักกันกับเจ้าหน้าที่ท่านนั้นมาเป็นเวลานาน เพราะเคยทำงานร่วมกันมาก่อนหลายครั้ง) ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ผมจะได้นำความรู้ที่ผมมีเข้าไปให้ความรู้กับหน่วยงานเค้า เพราะเป็นสิ่งที่เรามีความชอบและถนัดอยู่แล้ว ไม่ได้หวังกำไรอะไรมากมาย แค่ได้ทำก็มีความสุข แต่มันดันเกิดปัญหาเรื่องเงินขึ้น ดังนี้ครับ
ปีแรก ผมเข้าไปอบรมให้ที่หน่วยงานเค้าเลยครับ ยังมีผู้อบรมประมาณ 60 คน หลังจากอบรมเสร็จแต่ละครั้ง ทางหน่วยงานเค้าก็ใช้วิธีการจัดการแบบเป็นเงินเบิกล่วงหน้าเอามาให้ผม ได้รับเป็นเงินสดหลังอบรมแต่ละครั้งเลย ซึ่งยังเป็นเงินจำนวนน้อยๆอยู่ ไม่มีการให้เซ็นรับเช็คในชื่อของผมแต่อย่างใด ไม่เคยต้องนำมาคิดเรื่องภาษีครับ (หรือต้องคิด แต่ผมไม่รู้ก็เป็นได้)
ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วครับ ยังคงรับงานฝึกอบรมต่อเนื่องให้กับหน่วยงานเดิม แต่ทางเค้าเพิ่มจำนวนคนให้มาอบรมกับผมมากกว่าเดิมถึง 6 เท่า เนื่องจากเค้าแจ้งว่าหน่วยงานเค้ามีผลงานดีขึ้นอย่างชัดเจนจากความรู้ที่ผมเข้าไปอบรมให้ จึงอยากเพิ่มจำนวนคนในองค์กรให้มาอบรมเพิ่มขึ้นเยอะๆ ทำให้ผมมีรายได้มากกว่าเดิมถึง 6 เท่า แต่คราวนี้ทางเจ้าหน้าที่รัฐท่านนั้นบอกว่าให้ผมทำการยื่นซองประมูลงาน เนื่องจากมูลค่างานเกิน 100K บาท โดยบอกให้ผมไปหาเพื่อนหรือใครมาก็ได้ เอามาเป็นคู่เทียบในการประมูลรับงาน 2 คน โดยเหตุผลที่เค้าบอกกับทางผมคือ เพื่อให้เข้าข่ายการแข่งขันประมูลงานอย่างถูกต้องต้องมีคนขอยื่นประมูล 3 คน แล้วเขียนชื่อให้เค้า 2 คนนั้นยื่นราคาต่ำกว่าคุณเล็กน้อย (ฮั้วประมูล) เพื่อให้คุณได้รับงาน
ซึ่งทางผมตอนแรกปฏิเสธไปเพราะดูแล้วว่ามันไม่ค่อยโปร่งใสเท่าใดนัก แต่ทางเค้ารบเร้าให้ผมทำงานด้วย โดยให้เหตุผลว่า สมัยก่อนนั้นมีการจัดจ้างหน่วยงานจากภายนอกให้มาอบรมให้หลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าการอบรมส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เนื่องจากหน่วยงานที่มารับงานนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่รู้จักกันกับเจ้าหน้าที่ภายใน ซึ่งเค้าเหล่านั้นจะใช้วิธีจดทะเบียนมาทีนึง 3 บริษัท แล้วฮั้วกันเองตลอดเพื่อให้ได้รับงาน ทางเค้าเห็นว่าเราเป็นเป็นคนที่มีคุณภาพ และตั้งใจทำงานให้กับเค้าจริงๆ เค้าบอกให้เรามองที่ประโยชน์สุดท้ายเรื่องความรู้ของบุคลากรในหน่วยงานเป็นสำคัญ วิธีการมันอาจจะดูไม่โปร่งใสเท่าไรนัก แต่มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว หากน้องไปจดทะเบียนบริษัทมาโดยไม่มีบริษัทคู่เทียบของน้องเองเหมือนกับที่บอกไป ยังไงราคาที่น้องยื่นซองมาประมูลก็ไม่ชนะอยู่ดี เพราะเค้ามากันเป็นทีมและพร้อมที่จะกดราคาเพื่อให้ได้รับงาน
ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมเลยตกปากรับคำทำงานให้ด้วยวิธีการที่เค้าเสนอ แม้วิธีการจะไม่โปร่งใสนัก แต่เจตนาของผมนั้นบริสุทธิ์ (โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่คนนี้เค้าซื่อจริงๆ รู้จักกันมานาน ค่อนข้างนับถือกันเพราะเค้าทำงานให้องค์กรนี้ด้วยความรักมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว) เนื่องจากปีนี้มีจำนวนคนที่มาเข้ารับการอบรมเยอะมาก ผมจึงจัดการแบ่งผู้อบรมเป็นกลุ่มย่อยๆเพื่อประสิทธิภาพของการอบรม ผมมีเพียงตัวคนเดียวซึ่งก็ทำงานประจำด้วย อบรมได้ไม่ไหวหรอก ดังนั้นผมจึงไปควานหา/สัมภาษณ์คนที่มีความถนัดในด้านนี้เหมือนกันอีก 13 คน มาช่วยกันจัดการอบรมครั้งนี้ให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด
คราวนี้ผมจึงผันตัวเองจากผู้ฝึกอบรม มาเป็นผู้จัดการ แบ่งงานให้กับทีมงานอย่างเป็นระบบ มีการจัดอบรมกันเองกันก่อนภายใน ว่าต้องสอนอย่างไรเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด จัดการระบบเอกสารข้อมูลกลางที่ต้องใช้ ทำตารางเวลาเข้าอบรมให้ etc. โดยผมพอมีเงินทุนส่วนตัวอยู่บ้างที่จะจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้เค้าเหล่านั้นให้มาทำงานให้ โดยหวังว่าเมื่อได้รับเงินจากทางองค์กรที่ผมไปทำกรอบรมให้หลังจบปีที่สอง คงพอจะเหลือกำไรบ้างเล็กน้อยให้คุ้มค่าเหนื่อย สัก 10% (ไม่ได้หวังกำไรอะไรมากมาย เพราะรักในงานนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แรกๆผมมาอบรมให้ฟรีด้วยซ้ำ)
ตอนนี้ใกล้จะจบการอบรมปีที่สองแล้ว ตอนนี้เค้าแจ้งว่าเมื่อเสร็จงาน เค้าจะให้ผมไปเซ็นต์ชื่อรับเช็คเงินสดราคา xxx,xxx บาท โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ผมลองนำเงินได้เหล่านี้มารวมกับรายได้จากงานประจำเพื่อคำนวณภาษีดูแล้ว พบว่าผมต้องเสียภาษีที่ทะลุไป rate 30% เลยทีเดียว รวมแล้วต้องเสียภาษีประมาณ 150K บาท O_O OMG ตกกะใจมาก เพราะว่า
กำไรที่ได้มา หลังจากหักเงินที่เอาไปให้ทีมงานที่ผมจ้างมาทำการอบรมแล้ว ยัง
จ่ายค่าภาษีส่วนที่งอกมาจากเดิมได้ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ เอาไงดีล่ะทีนี้ เนื้อไม่ได้กิน กระดูกแขวนคอ งงเลยทีเดียว
ที่ผมติดได้ตอนนี้ พอมีอยู่ 3 ทาง ทางที่เลว ทางที่ดี และทางสีเทา
1) Devil : ไม่ต้องแจ้งตอนเสียภาษีปลายปีหรอกว่ามีรายรับส่วนนี้เพิ่มเข้ามา ใครจะไปตรวจเจอวะ (ถ้าตรวจไม่เจอก็ไม่ต้องเสีย จริงมั้ยครับ?)
"แต่ก็กลัวว่าถ้าโดนตรวจเจอย้อนหลัง จะโดนปรับเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าที่เสียในปัจจุบันซะอีก เข้าข่ายเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
2) Angel : ยอมรับสภาพแต่โดยดี เสียภาษีจนขาดทุนก็ต้องเสีย ทำงานปีนี้ถือว่าเป็นบทเรียนละกัน ได้ประสบการณ์ ตังค์ที่เสียไปชั่งแม่ม แล้วคราวหน้า ก็ไม่ต้องรับงานนี้แล้ว วิธีการมันไม่โปร่งใส ทำแล้วไม่สบายใจ
"แต่ก็คงเสียใจ เพราะค่อนข้างชอบงานที่ทำนี้มากๆ เป็นสิ่งที่เรารักและเหมือนได้ทำงานตอบแทนสังคม"
3) Grey : ปีนี้ก็ยอมๆขาดทุนไป ปีหน้าก็ไปจดทะเบียน 3 บริษัทเหมือนที่เจ้าหน้าที่เค้าแนะนำแม่มเลย (จะได้ฮั้วกันเองได้) ปีหน้าจะได้รับงานจากหน่วยงานนี้อีก แล้วก็เสียภาษีอย่างถูกต้องในรูปแบบบริษัทจำกัด คนละกระเป๋ากับรายรับจากงานประจำไปเลย
"มองที่ประโยชน์ของผู้อบรมเป็นสำคัญสิ แมวขาว/แมวดำขอให้จับหนูได้ก็พอ"
เพื่อนๆมีความเห็นว่า ผมควรทำอย่างไรดีครับ ?
"ทำในสิ่งที่รัก ทำไมต้องทำให้ไม่ถูกต้องด้วย"
พอจะมีหนทางไหนหรือยังมีช่องทางเรื่องภาษีตรงไหนที่ทำให้ผมพอเล่นต่อได้โดยไม่เจ็บตัว ไม่ผิดไปจากทำนองคลองธรรม ได้กำไรบ้างเล็กน้อยตามอัตภาพเหมือนที่ผมตั้งใจไว้ตอนแรกบ้างครับ ?
ขอคำชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุณครับ
จัดการภาษีอย่างไรดี ? ถ้าเรามีเงินได้จากรายรับอย่างอื่นนอกเหนือจากการเป็นพนักงานประจำ
กระผมใคร่ขอความรู้เกี่ยวกับเรื่องการจัดการภาษีในฐานะพนักงานประจำหน่อยครับ พอดีผมมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจากปัญหาภาษีที่เกิดขึ้นจากการไปรับงานจากหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง แล้วเกิดปัญหา คิดไม่ตกอยู่ทุกวันนี้ ดังนี้ครับ
1) ผมเป็นพนักงานประจำบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เสียภาษีในอัตราก้าวหน้าที่ 20% ตอนปลายๆครับ (ประมาณ 60k)
2) มีหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งติดต่อให้ผมเข้ามาบริการให้ความรู้ฝึกอบรมแก่หน่วยงานที่เค้าอยู่ครับ (ผมรู้จักกันกับเจ้าหน้าที่ท่านนั้นมาเป็นเวลานาน เพราะเคยทำงานร่วมกันมาก่อนหลายครั้ง) ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ผมจะได้นำความรู้ที่ผมมีเข้าไปให้ความรู้กับหน่วยงานเค้า เพราะเป็นสิ่งที่เรามีความชอบและถนัดอยู่แล้ว ไม่ได้หวังกำไรอะไรมากมาย แค่ได้ทำก็มีความสุข แต่มันดันเกิดปัญหาเรื่องเงินขึ้น ดังนี้ครับ
ปีแรก ผมเข้าไปอบรมให้ที่หน่วยงานเค้าเลยครับ ยังมีผู้อบรมประมาณ 60 คน หลังจากอบรมเสร็จแต่ละครั้ง ทางหน่วยงานเค้าก็ใช้วิธีการจัดการแบบเป็นเงินเบิกล่วงหน้าเอามาให้ผม ได้รับเป็นเงินสดหลังอบรมแต่ละครั้งเลย ซึ่งยังเป็นเงินจำนวนน้อยๆอยู่ ไม่มีการให้เซ็นรับเช็คในชื่อของผมแต่อย่างใด ไม่เคยต้องนำมาคิดเรื่องภาษีครับ (หรือต้องคิด แต่ผมไม่รู้ก็เป็นได้)
ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วครับ ยังคงรับงานฝึกอบรมต่อเนื่องให้กับหน่วยงานเดิม แต่ทางเค้าเพิ่มจำนวนคนให้มาอบรมกับผมมากกว่าเดิมถึง 6 เท่า เนื่องจากเค้าแจ้งว่าหน่วยงานเค้ามีผลงานดีขึ้นอย่างชัดเจนจากความรู้ที่ผมเข้าไปอบรมให้ จึงอยากเพิ่มจำนวนคนในองค์กรให้มาอบรมเพิ่มขึ้นเยอะๆ ทำให้ผมมีรายได้มากกว่าเดิมถึง 6 เท่า แต่คราวนี้ทางเจ้าหน้าที่รัฐท่านนั้นบอกว่าให้ผมทำการยื่นซองประมูลงาน เนื่องจากมูลค่างานเกิน 100K บาท โดยบอกให้ผมไปหาเพื่อนหรือใครมาก็ได้ เอามาเป็นคู่เทียบในการประมูลรับงาน 2 คน โดยเหตุผลที่เค้าบอกกับทางผมคือ เพื่อให้เข้าข่ายการแข่งขันประมูลงานอย่างถูกต้องต้องมีคนขอยื่นประมูล 3 คน แล้วเขียนชื่อให้เค้า 2 คนนั้นยื่นราคาต่ำกว่าคุณเล็กน้อย (ฮั้วประมูล) เพื่อให้คุณได้รับงาน
ซึ่งทางผมตอนแรกปฏิเสธไปเพราะดูแล้วว่ามันไม่ค่อยโปร่งใสเท่าใดนัก แต่ทางเค้ารบเร้าให้ผมทำงานด้วย โดยให้เหตุผลว่า สมัยก่อนนั้นมีการจัดจ้างหน่วยงานจากภายนอกให้มาอบรมให้หลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าการอบรมส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เนื่องจากหน่วยงานที่มารับงานนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่รู้จักกันกับเจ้าหน้าที่ภายใน ซึ่งเค้าเหล่านั้นจะใช้วิธีจดทะเบียนมาทีนึง 3 บริษัท แล้วฮั้วกันเองตลอดเพื่อให้ได้รับงาน ทางเค้าเห็นว่าเราเป็นเป็นคนที่มีคุณภาพ และตั้งใจทำงานให้กับเค้าจริงๆ เค้าบอกให้เรามองที่ประโยชน์สุดท้ายเรื่องความรู้ของบุคลากรในหน่วยงานเป็นสำคัญ วิธีการมันอาจจะดูไม่โปร่งใสเท่าไรนัก แต่มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว หากน้องไปจดทะเบียนบริษัทมาโดยไม่มีบริษัทคู่เทียบของน้องเองเหมือนกับที่บอกไป ยังไงราคาที่น้องยื่นซองมาประมูลก็ไม่ชนะอยู่ดี เพราะเค้ามากันเป็นทีมและพร้อมที่จะกดราคาเพื่อให้ได้รับงาน
ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมเลยตกปากรับคำทำงานให้ด้วยวิธีการที่เค้าเสนอ แม้วิธีการจะไม่โปร่งใสนัก แต่เจตนาของผมนั้นบริสุทธิ์ (โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่คนนี้เค้าซื่อจริงๆ รู้จักกันมานาน ค่อนข้างนับถือกันเพราะเค้าทำงานให้องค์กรนี้ด้วยความรักมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว) เนื่องจากปีนี้มีจำนวนคนที่มาเข้ารับการอบรมเยอะมาก ผมจึงจัดการแบ่งผู้อบรมเป็นกลุ่มย่อยๆเพื่อประสิทธิภาพของการอบรม ผมมีเพียงตัวคนเดียวซึ่งก็ทำงานประจำด้วย อบรมได้ไม่ไหวหรอก ดังนั้นผมจึงไปควานหา/สัมภาษณ์คนที่มีความถนัดในด้านนี้เหมือนกันอีก 13 คน มาช่วยกันจัดการอบรมครั้งนี้ให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด
คราวนี้ผมจึงผันตัวเองจากผู้ฝึกอบรม มาเป็นผู้จัดการ แบ่งงานให้กับทีมงานอย่างเป็นระบบ มีการจัดอบรมกันเองกันก่อนภายใน ว่าต้องสอนอย่างไรเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด จัดการระบบเอกสารข้อมูลกลางที่ต้องใช้ ทำตารางเวลาเข้าอบรมให้ etc. โดยผมพอมีเงินทุนส่วนตัวอยู่บ้างที่จะจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้เค้าเหล่านั้นให้มาทำงานให้ โดยหวังว่าเมื่อได้รับเงินจากทางองค์กรที่ผมไปทำกรอบรมให้หลังจบปีที่สอง คงพอจะเหลือกำไรบ้างเล็กน้อยให้คุ้มค่าเหนื่อย สัก 10% (ไม่ได้หวังกำไรอะไรมากมาย เพราะรักในงานนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แรกๆผมมาอบรมให้ฟรีด้วยซ้ำ)
ตอนนี้ใกล้จะจบการอบรมปีที่สองแล้ว ตอนนี้เค้าแจ้งว่าเมื่อเสร็จงาน เค้าจะให้ผมไปเซ็นต์ชื่อรับเช็คเงินสดราคา xxx,xxx บาท โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ผมลองนำเงินได้เหล่านี้มารวมกับรายได้จากงานประจำเพื่อคำนวณภาษีดูแล้ว พบว่าผมต้องเสียภาษีที่ทะลุไป rate 30% เลยทีเดียว รวมแล้วต้องเสียภาษีประมาณ 150K บาท O_O OMG ตกกะใจมาก เพราะว่ากำไรที่ได้มา หลังจากหักเงินที่เอาไปให้ทีมงานที่ผมจ้างมาทำการอบรมแล้ว ยังจ่ายค่าภาษีส่วนที่งอกมาจากเดิมได้ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ เอาไงดีล่ะทีนี้ เนื้อไม่ได้กิน กระดูกแขวนคอ งงเลยทีเดียว
ที่ผมติดได้ตอนนี้ พอมีอยู่ 3 ทาง ทางที่เลว ทางที่ดี และทางสีเทา
1) Devil : ไม่ต้องแจ้งตอนเสียภาษีปลายปีหรอกว่ามีรายรับส่วนนี้เพิ่มเข้ามา ใครจะไปตรวจเจอวะ (ถ้าตรวจไม่เจอก็ไม่ต้องเสีย จริงมั้ยครับ?)
"แต่ก็กลัวว่าถ้าโดนตรวจเจอย้อนหลัง จะโดนปรับเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าที่เสียในปัจจุบันซะอีก เข้าข่ายเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
2) Angel : ยอมรับสภาพแต่โดยดี เสียภาษีจนขาดทุนก็ต้องเสีย ทำงานปีนี้ถือว่าเป็นบทเรียนละกัน ได้ประสบการณ์ ตังค์ที่เสียไปชั่งแม่ม แล้วคราวหน้า ก็ไม่ต้องรับงานนี้แล้ว วิธีการมันไม่โปร่งใส ทำแล้วไม่สบายใจ
"แต่ก็คงเสียใจ เพราะค่อนข้างชอบงานที่ทำนี้มากๆ เป็นสิ่งที่เรารักและเหมือนได้ทำงานตอบแทนสังคม"
3) Grey : ปีนี้ก็ยอมๆขาดทุนไป ปีหน้าก็ไปจดทะเบียน 3 บริษัทเหมือนที่เจ้าหน้าที่เค้าแนะนำแม่มเลย (จะได้ฮั้วกันเองได้) ปีหน้าจะได้รับงานจากหน่วยงานนี้อีก แล้วก็เสียภาษีอย่างถูกต้องในรูปแบบบริษัทจำกัด คนละกระเป๋ากับรายรับจากงานประจำไปเลย
"มองที่ประโยชน์ของผู้อบรมเป็นสำคัญสิ แมวขาว/แมวดำขอให้จับหนูได้ก็พอ"
เพื่อนๆมีความเห็นว่า ผมควรทำอย่างไรดีครับ ?
"ทำในสิ่งที่รัก ทำไมต้องทำให้ไม่ถูกต้องด้วย"
พอจะมีหนทางไหนหรือยังมีช่องทางเรื่องภาษีตรงไหนที่ทำให้ผมพอเล่นต่อได้โดยไม่เจ็บตัว ไม่ผิดไปจากทำนองคลองธรรม ได้กำไรบ้างเล็กน้อยตามอัตภาพเหมือนที่ผมตั้งใจไว้ตอนแรกบ้างครับ ?
ขอคำชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุณครับ