เมื่อทอยเริ่มออกเดิน หิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาช้าๆ จากบนท้องฟ้าที่มีเมฆหนาหนักลอยปกคลุมอยู่ทั่วเมือง นับเป็นหิมะแรกของปีในมหานครแห่งนี้ และบางทีอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เพราะเมื่อวันเทศกาลของขวัญมาถึง มันก็หมายถึงการสิ้นสุดลงของฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ
บนถนนสายเล็กๆ นี้มีเพียงตึกเก่าๆ สูงหนึ่งถึงสองชั้นตั้งเรียงรายสลับไปมาตลอดความยาว กับรถที่วิ่งอยู่ไม่มากนัก ผิดกับย่านใจกลางเมืองที่เขาพึ่งจากมา ซึ่งตึกส่วนใหญ่ล้วนมีความสูงตั้งแต่สามชั้นขึ้นไป อาคารที่สูงที่สุดนั้นมีความสูงถึงห้าชั้น และเป็นมากกว่าเพียงแค่ตึกหลังหนึ่ง มันเป็นทั้งศูนย์กลางการค้าการลงทุน การเมืองการปกครอง และสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองทั้งมวลของมหานครแห่งนี้
ตึกนั้นมีชื่อว่า 'นคราภิวัฒน์'
เขาเดินผ่านร้านขายของชำเล็กๆ ที่ขายทั้งผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์ บังคับตัวเองให้ทักทายเจ้าของร้านสักเล็กน้อย แทนที่จะแอบเดินผ่านไปเงียบๆ ตามที่ร่างกายเคยชิน หากยังไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เขาคงต้องแวะมาใช้บริการร้านค้าแห่งนี้แน่นอน
'ต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกับคนที่เกี่ยวข้องเอาไว้' ซึ่งมันตรงข้ามกับทุกสิ่งที่เขาเคยถูกสอนจากที่บ้าน สังคมที่มีเพียงสมาชิกภายในครอบครัวเท่านั้น
การทำความรู้จักกับคนอื่นนับเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด และทำความคุ้นเคยได้ยากสำหรับตัวเขา แต่เขาคิดว่าตัวเองก็ทำได้ดี และกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่ามันคือธรรมชาติพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ก็เป็นได้
โศกาคิดได้เขียนเอาไว้ในหนังสือตอนหนึ่งว่า
'มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม และถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่าตนเองเป็นคนที่โดดเดี่ยวเพียงใดก็ตาม ที่สุดแล้วก็ยังไม่อาจตัดขาดออกจากสังคมของเขาได้ สังคมนั้นเป็นเหมือนดั่งใยแมงมุมแน่นเหนียว เป็นดั่งโรคติดต่อร้ายแรงที่ยากหลบเลี่ยง ซึ่งหมายรวมถึงในแง่อันตรายของมันด้วย มนุษย์ซึ่งติดอยู่ในข่ายใยของสังคมอาจกลายเป็นเหยื่อที่ถูกจับกินทั้งเป็นได้โดยง่าย หรือไม่ก็กลายเป็นโรคร้ายแรงทั้งทางร่างกาย และจิตใจ อันได้รับมาจากสังคมนั่นเอง'
เดินอีกไม่ไกลนักก็มาถึงที่พักในปัจจุบันของเขาซึ่งเป็นอาคารก่อด้วยอิฐแบบเก่าสูงสองชั้น สามห้องที่อยู่ชั้นบนถูกแบ่งให้เช่า ส่วนเจ้าของตึกซึ่งเป็นสุภาพสตรีที่เรียกกันจนติดปากว่า คุณนายวิกเซ่น อาศัยอยู่เพียงลำพังในห้องพักชั้นล่าง
เขาผลักประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ เพราะถ้ามันเปิดอยู่ก็แสดงว่าคุณวิกเซ่นอยู่ หากมันปิดก็แสดงว่านางไม่อยู่ และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้จนกว่านางจะกลับมา ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก และมันจะปิดตายไม่ว่าคุณจะเคาะอย่างไรก็ตามหลังจากเวลาสี่ทุ่ม ซึ่งหมายความว่าคุณต้องไปหาที่นอนที่อื่นสำหรับค่ำคืนนั้น
หรือไม่ก็ต้องพยายามมุดผ่านประตูสุนัขที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติซึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของประตูหน้าเข้าไปให้ได้
คุณวิกเซ่นไม่ได้เลี้ยงสุนัข และไม่อนุญาตให้ผู้เข้าพักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ทุกคนต่างทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าทำไมจึงต้องมีเจ้าสิ่งนี้ติดตั้งอยู่ที่ประตูหน้า ไม่มีใครเคยเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับนางทั้งสิ้น
“สวัสดี คุณทอย” คุณวิกเซ่นเดินออกมาทักทายทันที ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวให้เงียบที่สุดแล้วก็ตาม แต่เขายังไม่เคยลองทำตัวให้เงียบแบบเดียวกับในอาชีพเก่า ซึ่งเขาสงสัยว่าบางทีนางอาจจะยังรู้ตัวได้อยู่ดี
คุณวิกเซ่นยังคงมีรูปร่างที่ดูดี บางทีอาจดูดีจนเกินไปสำหรับหญิงวัยกลางคน วิธีการก้าวเดินแบบพิเศษเฉพาะของนางนั้นเงียบกริบ ภายใต้ชุดหลวมยาวนั้นต้องประกอบไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างไม่ต้องสงสัย เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยแอบเห็นนางยกลังที่มีน้ำหนักมากขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ใบหูทั้งสองของนางนั้นดูใหญ่ ตั้ง และยาวกว่าปกติ นอกจากนี้นางยังชอบบ่นถึงเรื่องกลิ่นแปลกๆ ที่คนอื่นไม่รู้สึกว่ามีอยู่ และที่สำคัญคือมีข้อห้ามมิให้ผู้เช่าลงจากชั้นสองหลังพระอาทิตย์ตกดินในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงอย่างเด็ดขาด ไม่มีใครเคยเอ่ยถามถึงเหตุผลในเรื่องนี้เช่นกัน
คนเก่าแก่อย่างคุณครอสที่เป็นตำนานนั้นมีเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีคนเก่าแก่ในแบบอื่นๆ อยู่อีกเช่นกัน คนเก่าแก่ที่ถูกหลงลืม คนเก่าแก่ที่พยายามปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย คนเก่าแก่ที่พยายามหลบซ่อน คนเก่าแก่ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นคนธรรมดาไปในที่สุด หรืออย่างน้อยก็เกือบธรรมดา
รวมถึงเหล่าลูกหลานของคนเก่าแก่ที่หลงติดอยู่ตรงกลางระหว่างสภาพทั้งสองนั้นด้วย
ผู้คนทั่วไปต่างทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณยายแห่งร้านบ้านลูกกวาด หรือคุณนายวิกเซ่นคนนี้ ตราบเท่าที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรโดยตรงกับชีวิต หรือผลประโยชน์ของพวกเขามากมายจนเกินไป
“สวัสดีครับ คุณนายวิกเซ่น” เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“เรื่องงานเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ” นางถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ข่าวดี มันดูเหมือนไม่ใช่วันของผม”
“โอ อย่างนั้นหรือ ช่างแย่จริง” รอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิม แต่เขาคิดว่ามันมีบางอย่างเปลี่ยนไป “นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว และมัดจำค่าห้องของคุณก็จะหมดลงพอดีเสียด้วย”
นางหยุดเพื่อให้ความหมายที่ไม่ได้พูดนั้นก่อตัวขึ้นเองกลางอากาศ
“หวังว่าข่าวร้ายในวันนี้คงไม่ได้ส่งผลอะไรร้ายแรงกับคุณหรอกนะ”
“ไม่เลยครับ คุณนาย ไม่แน่นอน ผมมีค่าห้องพร้อมที่จะจ่ายคุณตรงเวลา” เขารีบบอก
“โอ ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้หมายความถึงอะไรแบบนั้น ฉันก็แค่เป็นห่วงว่าคุณจะลำบาก หากยังไม่ได้งานก็เท่านั้นเอง” คำพูดของนางเยื้องย่างไปมาอย่างเฉื่อยชา แต่เขารู้ว่าหากเขาเผลอ มันก็พร้อมที่จะกระโดดเข้ามาขย้ำทันที
“คุณทานอะไรมาหรือยัง ถ้าคุณต้องการฉันก็พอ จะทำอะไรง่ายๆ ให้คุณได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทานมาเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นน้ำชาสักถ้วยดีไหม” นางว่า “ฉันไม่คิดเงินหรอกนะ นอกจากคุณจะต้องการขนมด้วย”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมว่าจะขอขึ้นไปพักบนห้องสักครู่ อาจดูหนังสือพิมพ์อีกสักรอบ เผื่อจะได้ออกไปสมัครงานอื่นในช่วงบ่าย”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันเตรียมมื้อกลางวันเผื่อคุณไว้ด้วยดีไหม ราคาพิเศษนะ”
เขาคิดถึงพิซซ่าห้าชิ้นที่พึ่งทานเข้าไปเมื่อครู่ ก่อนส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับ ผมคงอิ่มไปจนถึงตอนบ่ายเลยทีเดียว” ก่อนขอตัวขึ้นชั้นสองแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องของเขา
คุณวิกเซ่นยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง อาจกำลังคิดอยู่ว่าเขาพูดเรื่องจริง หรือเขาอาจกรอบจนไม่มีเงินจะจ่ายค่าอาหารแล้วก็เป็นได้ แต่สุดท้ายก็เดินกลับเข้าไปในห้องของนางทางด้านหลัง
ภายในห้องเช่าเล็กๆ แต่ละห้องนั้นไม่มีอะไรมาก นอกจาก เตียงแข็งๆ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง กับหน้าต่างหนึ่งบานที่เปิดไม่ได้เพราะชนกับกำแพงของตึกข้างๆ ที่คงต่อเติมขึ้นมาในภายหลัง
เขาทิ้งตัวลงบนเตียง กึ่งนั่งกึ่งนอนมองดูเพดานห้อง
เมืองแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อคิดดูให้ดีแล้วก็ให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่ไม่น้อย ความเจริญในด้านต่างๆ นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเขาจะบอกไม่ได้ว่ามันควรจะเป็นอย่างไรก็ตาม
มหานครนั้นมีตึก ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ไฟฟ้า ประปา มีทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์ หนังสือพิมพ์ และความเจริญก้าวหน้าอีกมากมาย
เขาคิดว่าบางสิ่งน่าจะดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ ตึกสูงกว่านี้ มีจำนวนชั้นที่มากขึ้นได้ ถ้าหากมีเทคนิคในการก่อสร้างที่จำเป็น และมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้การขึ้นลงตามชั้นต่างๆ สะดวกรวดเร็ว รถยนต์นับเป็นสิ่งที่โดดเด่น คล้ายกับว่ามันอาจจะมาถึงก่อนเวลาอันควร รวมทั้งโทรศัพท์ และโทรทัศน์พวกนั้นด้วย
เขาคิดว่าโทรทัศน์นั้นควรทำได้มากกว่าแค่การรายงานข่าวสารต่างๆ เพียงอย่างเดียว มันยังขาดอะไรอีกหลายอย่าง จินตนาการที่จำเป็น แล้วมันอาจจะทำให้มีอะไรเกิดขึ้นบนหน้าจอได้ทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่มีใครคิดออก
บางทีถ้าสิ่งที่โศกาคิดกล่าวเอาไว้ในหนังสือจะมีความจริงอยู่บ้าง มันก็อาจอธิบายได้ว่า ความขัดแย้งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดจากโลกต่างๆ มากมายเหล่านั้นที่ส่งผลมาถึงโลกนี้อย่างไม่อาจคาดเดาได้นั่นเอง
เขาเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วหันไปหยิบหนังสือพิมพ์เล่มเก่าขึ้นมาเพื่อเปิดดูประกาศรับสมัครงานที่เคยทำเครื่องหมายเอาไว้
'ทำไมฉันถึงไม่ถามเขาออกไปเลยนะ'
เขานึกถึงเมื่อเช้านี้ที่ได้เผชิญหน้ากับคุณครอสเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาตั้งใจไปสมัครงานที่ร้านของเล่นซีเอฟนั้นเพราะอยากที่จะได้พบกับคุณครอสตัวจริง อยากจะถามคำถามข้อหนึ่ง ส่วนการจะได้งานทำนั้นเป็นเป้าหมายรองลงไป
ดวงตาของคุณครอสที่มองมาในตอนนั้นใสกระจ่างราวกับจะแทงทะลุเข้าไปถึงภายในหัวใจของเขา
'บางทีคุณครอสอาจรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องการจะถามอะไร' และรอคอยอยู่ก็เป็นได้ 'ก็เขาคือซานต้านี่นา'
ชีวิตในฐานะของมือสังหาร งานที่ผ่านมาของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันทั้งนั้น เขาเกิดและเติบโตมากับสิ่งเหล่านี้จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปเสียแล้ว ตัวเขากับการเป็นมือสังหารนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยง่าย แต่เขาก็ยังคงมองหาโอกาส มองหาทางเลือกให้กับตัวเอง เขาจะต้องละทิ้งส่วนที่เป็นมือสังหารในร่างกายนี้ไปให้ได้
'พรึบ' เสียงปีกของนกตัวหนึ่งที่บินลงมาหลบความหนาวในซอกตึกแคบๆ กระแทกชนเข้ากับบานหน้าต่าง
เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ตนเองก็ลงมานอนซ่อนตัวอยู่ที่ข้างเตียงเสียแล้ว ร่างกายของเขาเคลื่อนหลบจากรัศมีการจู่โจมด้วยอาวุธระยะไกลที่อาจผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานนั้นโดยที่เขาไม่อาจควบคุม
#####
ทอย (4)
บนถนนสายเล็กๆ นี้มีเพียงตึกเก่าๆ สูงหนึ่งถึงสองชั้นตั้งเรียงรายสลับไปมาตลอดความยาว กับรถที่วิ่งอยู่ไม่มากนัก ผิดกับย่านใจกลางเมืองที่เขาพึ่งจากมา ซึ่งตึกส่วนใหญ่ล้วนมีความสูงตั้งแต่สามชั้นขึ้นไป อาคารที่สูงที่สุดนั้นมีความสูงถึงห้าชั้น และเป็นมากกว่าเพียงแค่ตึกหลังหนึ่ง มันเป็นทั้งศูนย์กลางการค้าการลงทุน การเมืองการปกครอง และสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองทั้งมวลของมหานครแห่งนี้
ตึกนั้นมีชื่อว่า 'นคราภิวัฒน์'
เขาเดินผ่านร้านขายของชำเล็กๆ ที่ขายทั้งผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์ บังคับตัวเองให้ทักทายเจ้าของร้านสักเล็กน้อย แทนที่จะแอบเดินผ่านไปเงียบๆ ตามที่ร่างกายเคยชิน หากยังไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เขาคงต้องแวะมาใช้บริการร้านค้าแห่งนี้แน่นอน
'ต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกับคนที่เกี่ยวข้องเอาไว้' ซึ่งมันตรงข้ามกับทุกสิ่งที่เขาเคยถูกสอนจากที่บ้าน สังคมที่มีเพียงสมาชิกภายในครอบครัวเท่านั้น
การทำความรู้จักกับคนอื่นนับเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด และทำความคุ้นเคยได้ยากสำหรับตัวเขา แต่เขาคิดว่าตัวเองก็ทำได้ดี และกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่ามันคือธรรมชาติพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ก็เป็นได้
โศกาคิดได้เขียนเอาไว้ในหนังสือตอนหนึ่งว่า
'มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม และถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่าตนเองเป็นคนที่โดดเดี่ยวเพียงใดก็ตาม ที่สุดแล้วก็ยังไม่อาจตัดขาดออกจากสังคมของเขาได้ สังคมนั้นเป็นเหมือนดั่งใยแมงมุมแน่นเหนียว เป็นดั่งโรคติดต่อร้ายแรงที่ยากหลบเลี่ยง ซึ่งหมายรวมถึงในแง่อันตรายของมันด้วย มนุษย์ซึ่งติดอยู่ในข่ายใยของสังคมอาจกลายเป็นเหยื่อที่ถูกจับกินทั้งเป็นได้โดยง่าย หรือไม่ก็กลายเป็นโรคร้ายแรงทั้งทางร่างกาย และจิตใจ อันได้รับมาจากสังคมนั่นเอง'
เดินอีกไม่ไกลนักก็มาถึงที่พักในปัจจุบันของเขาซึ่งเป็นอาคารก่อด้วยอิฐแบบเก่าสูงสองชั้น สามห้องที่อยู่ชั้นบนถูกแบ่งให้เช่า ส่วนเจ้าของตึกซึ่งเป็นสุภาพสตรีที่เรียกกันจนติดปากว่า คุณนายวิกเซ่น อาศัยอยู่เพียงลำพังในห้องพักชั้นล่าง
เขาผลักประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ เพราะถ้ามันเปิดอยู่ก็แสดงว่าคุณวิกเซ่นอยู่ หากมันปิดก็แสดงว่านางไม่อยู่ และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้จนกว่านางจะกลับมา ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก และมันจะปิดตายไม่ว่าคุณจะเคาะอย่างไรก็ตามหลังจากเวลาสี่ทุ่ม ซึ่งหมายความว่าคุณต้องไปหาที่นอนที่อื่นสำหรับค่ำคืนนั้น
หรือไม่ก็ต้องพยายามมุดผ่านประตูสุนัขที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติซึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของประตูหน้าเข้าไปให้ได้
คุณวิกเซ่นไม่ได้เลี้ยงสุนัข และไม่อนุญาตให้ผู้เข้าพักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ทุกคนต่างทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าทำไมจึงต้องมีเจ้าสิ่งนี้ติดตั้งอยู่ที่ประตูหน้า ไม่มีใครเคยเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับนางทั้งสิ้น
“สวัสดี คุณทอย” คุณวิกเซ่นเดินออกมาทักทายทันที ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวให้เงียบที่สุดแล้วก็ตาม แต่เขายังไม่เคยลองทำตัวให้เงียบแบบเดียวกับในอาชีพเก่า ซึ่งเขาสงสัยว่าบางทีนางอาจจะยังรู้ตัวได้อยู่ดี
คุณวิกเซ่นยังคงมีรูปร่างที่ดูดี บางทีอาจดูดีจนเกินไปสำหรับหญิงวัยกลางคน วิธีการก้าวเดินแบบพิเศษเฉพาะของนางนั้นเงียบกริบ ภายใต้ชุดหลวมยาวนั้นต้องประกอบไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างไม่ต้องสงสัย เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยแอบเห็นนางยกลังที่มีน้ำหนักมากขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ใบหูทั้งสองของนางนั้นดูใหญ่ ตั้ง และยาวกว่าปกติ นอกจากนี้นางยังชอบบ่นถึงเรื่องกลิ่นแปลกๆ ที่คนอื่นไม่รู้สึกว่ามีอยู่ และที่สำคัญคือมีข้อห้ามมิให้ผู้เช่าลงจากชั้นสองหลังพระอาทิตย์ตกดินในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงอย่างเด็ดขาด ไม่มีใครเคยเอ่ยถามถึงเหตุผลในเรื่องนี้เช่นกัน
คนเก่าแก่อย่างคุณครอสที่เป็นตำนานนั้นมีเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีคนเก่าแก่ในแบบอื่นๆ อยู่อีกเช่นกัน คนเก่าแก่ที่ถูกหลงลืม คนเก่าแก่ที่พยายามปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย คนเก่าแก่ที่พยายามหลบซ่อน คนเก่าแก่ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นคนธรรมดาไปในที่สุด หรืออย่างน้อยก็เกือบธรรมดา
รวมถึงเหล่าลูกหลานของคนเก่าแก่ที่หลงติดอยู่ตรงกลางระหว่างสภาพทั้งสองนั้นด้วย
ผู้คนทั่วไปต่างทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณยายแห่งร้านบ้านลูกกวาด หรือคุณนายวิกเซ่นคนนี้ ตราบเท่าที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรโดยตรงกับชีวิต หรือผลประโยชน์ของพวกเขามากมายจนเกินไป
“สวัสดีครับ คุณนายวิกเซ่น” เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“เรื่องงานเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ” นางถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ข่าวดี มันดูเหมือนไม่ใช่วันของผม”
“โอ อย่างนั้นหรือ ช่างแย่จริง” รอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิม แต่เขาคิดว่ามันมีบางอย่างเปลี่ยนไป “นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว และมัดจำค่าห้องของคุณก็จะหมดลงพอดีเสียด้วย”
นางหยุดเพื่อให้ความหมายที่ไม่ได้พูดนั้นก่อตัวขึ้นเองกลางอากาศ
“หวังว่าข่าวร้ายในวันนี้คงไม่ได้ส่งผลอะไรร้ายแรงกับคุณหรอกนะ”
“ไม่เลยครับ คุณนาย ไม่แน่นอน ผมมีค่าห้องพร้อมที่จะจ่ายคุณตรงเวลา” เขารีบบอก
“โอ ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้หมายความถึงอะไรแบบนั้น ฉันก็แค่เป็นห่วงว่าคุณจะลำบาก หากยังไม่ได้งานก็เท่านั้นเอง” คำพูดของนางเยื้องย่างไปมาอย่างเฉื่อยชา แต่เขารู้ว่าหากเขาเผลอ มันก็พร้อมที่จะกระโดดเข้ามาขย้ำทันที
“คุณทานอะไรมาหรือยัง ถ้าคุณต้องการฉันก็พอ จะทำอะไรง่ายๆ ให้คุณได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทานมาเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นน้ำชาสักถ้วยดีไหม” นางว่า “ฉันไม่คิดเงินหรอกนะ นอกจากคุณจะต้องการขนมด้วย”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมว่าจะขอขึ้นไปพักบนห้องสักครู่ อาจดูหนังสือพิมพ์อีกสักรอบ เผื่อจะได้ออกไปสมัครงานอื่นในช่วงบ่าย”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันเตรียมมื้อกลางวันเผื่อคุณไว้ด้วยดีไหม ราคาพิเศษนะ”
เขาคิดถึงพิซซ่าห้าชิ้นที่พึ่งทานเข้าไปเมื่อครู่ ก่อนส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับ ผมคงอิ่มไปจนถึงตอนบ่ายเลยทีเดียว” ก่อนขอตัวขึ้นชั้นสองแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องของเขา
คุณวิกเซ่นยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง อาจกำลังคิดอยู่ว่าเขาพูดเรื่องจริง หรือเขาอาจกรอบจนไม่มีเงินจะจ่ายค่าอาหารแล้วก็เป็นได้ แต่สุดท้ายก็เดินกลับเข้าไปในห้องของนางทางด้านหลัง
ภายในห้องเช่าเล็กๆ แต่ละห้องนั้นไม่มีอะไรมาก นอกจาก เตียงแข็งๆ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง กับหน้าต่างหนึ่งบานที่เปิดไม่ได้เพราะชนกับกำแพงของตึกข้างๆ ที่คงต่อเติมขึ้นมาในภายหลัง
เขาทิ้งตัวลงบนเตียง กึ่งนั่งกึ่งนอนมองดูเพดานห้อง
เมืองแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อคิดดูให้ดีแล้วก็ให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่ไม่น้อย ความเจริญในด้านต่างๆ นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเขาจะบอกไม่ได้ว่ามันควรจะเป็นอย่างไรก็ตาม
มหานครนั้นมีตึก ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ไฟฟ้า ประปา มีทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์ หนังสือพิมพ์ และความเจริญก้าวหน้าอีกมากมาย
เขาคิดว่าบางสิ่งน่าจะดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ ตึกสูงกว่านี้ มีจำนวนชั้นที่มากขึ้นได้ ถ้าหากมีเทคนิคในการก่อสร้างที่จำเป็น และมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้การขึ้นลงตามชั้นต่างๆ สะดวกรวดเร็ว รถยนต์นับเป็นสิ่งที่โดดเด่น คล้ายกับว่ามันอาจจะมาถึงก่อนเวลาอันควร รวมทั้งโทรศัพท์ และโทรทัศน์พวกนั้นด้วย
เขาคิดว่าโทรทัศน์นั้นควรทำได้มากกว่าแค่การรายงานข่าวสารต่างๆ เพียงอย่างเดียว มันยังขาดอะไรอีกหลายอย่าง จินตนาการที่จำเป็น แล้วมันอาจจะทำให้มีอะไรเกิดขึ้นบนหน้าจอได้ทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่มีใครคิดออก
บางทีถ้าสิ่งที่โศกาคิดกล่าวเอาไว้ในหนังสือจะมีความจริงอยู่บ้าง มันก็อาจอธิบายได้ว่า ความขัดแย้งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดจากโลกต่างๆ มากมายเหล่านั้นที่ส่งผลมาถึงโลกนี้อย่างไม่อาจคาดเดาได้นั่นเอง
เขาเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วหันไปหยิบหนังสือพิมพ์เล่มเก่าขึ้นมาเพื่อเปิดดูประกาศรับสมัครงานที่เคยทำเครื่องหมายเอาไว้
'ทำไมฉันถึงไม่ถามเขาออกไปเลยนะ'
เขานึกถึงเมื่อเช้านี้ที่ได้เผชิญหน้ากับคุณครอสเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาตั้งใจไปสมัครงานที่ร้านของเล่นซีเอฟนั้นเพราะอยากที่จะได้พบกับคุณครอสตัวจริง อยากจะถามคำถามข้อหนึ่ง ส่วนการจะได้งานทำนั้นเป็นเป้าหมายรองลงไป
ดวงตาของคุณครอสที่มองมาในตอนนั้นใสกระจ่างราวกับจะแทงทะลุเข้าไปถึงภายในหัวใจของเขา
'บางทีคุณครอสอาจรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องการจะถามอะไร' และรอคอยอยู่ก็เป็นได้ 'ก็เขาคือซานต้านี่นา'
ชีวิตในฐานะของมือสังหาร งานที่ผ่านมาของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันทั้งนั้น เขาเกิดและเติบโตมากับสิ่งเหล่านี้จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปเสียแล้ว ตัวเขากับการเป็นมือสังหารนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยง่าย แต่เขาก็ยังคงมองหาโอกาส มองหาทางเลือกให้กับตัวเอง เขาจะต้องละทิ้งส่วนที่เป็นมือสังหารในร่างกายนี้ไปให้ได้
'พรึบ' เสียงปีกของนกตัวหนึ่งที่บินลงมาหลบความหนาวในซอกตึกแคบๆ กระแทกชนเข้ากับบานหน้าต่าง
เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ตนเองก็ลงมานอนซ่อนตัวอยู่ที่ข้างเตียงเสียแล้ว ร่างกายของเขาเคลื่อนหลบจากรัศมีการจู่โจมด้วยอาวุธระยะไกลที่อาจผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานนั้นโดยที่เขาไม่อาจควบคุม
#####