“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็กลายเป็น “สินค้ามีตำหนิ” ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกใจ เพราะคนทั่วไป เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา อันเนื่องมาจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่เมื่อปี 53
แม้จะเชื่อมั่นว่า พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จะคุ้มครองการทำงานของรัฐบาลในขณะนั้น แต่ คนเสื้อแดงคงตามรังควานไม่เลิก แถมการทำงานในตำแหน่งนายกฯ ช่วงพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จนตำรวจไม่ใช่น้อย ต่างออกมาต่อต้านทั้งในที่ลับและที่แจ้ง กรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ซึ่งแทนที่จะเลือก “พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย” กลับไปผลักดัน “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ขึ้นมารับบท “แม่ทัพสีกากี” แต่ก็เป็นได้แค่รักษาการเท่านั้น
ส่วน ท่าทีของกองทัพ ก็ไม่ต้องพูดถึง ในเมื่อนายอภิสิทธิ์ยุบสภา หนีเอาตัวรอด เนื่องด้วยเกรงแรงกดดันของ “ม็อบ นปช.” ก่อนมีการ แต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 53 บรรดาแวดวงคนมีสีจำนวนไม่ใช่น้อย จึงไม่อยาก ฝากผีฝากไข้ ไว้กับพรรค การเมืองเก่าแก่
ขณะที่ นักการเมืองหลายพรรค หากมีใครถามว่า ความรู้สึกที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ ส่วนใหญ่ล้วน ’ส่ายหน้าหนี“ เพราะไม่อยากร่วมงานกับ “เทวดา” อยากทำงานกับคนธรรมดามากกว่า
ดังนี้ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” พรรคประชาธิปัตย์ หลังจาก พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 เดือน ก.ค. 54 จึงโดนใจชาวบ้านหลายคน ซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ นายอลงกรณ์คงต้องการให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าคงเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 57 เพราะคิดว่าหากพรรคต้นสังกัด เลือกใช้บริการจาก “หนุ่มนักเรียนนอก” คงหนีไม่พ้นความพ่ายแพ้ แถมยังยาก ที่จะหาเพื่อนต่างพรรคมาร่วมงานได้ด้วย
แต่จะไปกล่าวหาผู้นำพรรคฝ่ายค้านว่า ยึดติดกับตำแหน่ง ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะช่วงนำพาพรรคแพ้เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ก็แสดงเจตจำนงกับสมาชิกพรรค ขอแสดงความรับผิดชอบ แต่ถูกทัดทานไว้ เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่มีใครกล้ารับตำแหน่ง ’หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์“ เนื่องจากอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่วันนี้ถ้าหาก “หนุ่มมาร์ค” ยอมถอย ผมมั่นใจว่า จะมีคนกล้าอาสารับภารกิจต่อ เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งแน่ ๆ
นอกจากนี้ ยังมี ภาพตอกย้ำ ให้เห็นความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ กรณีไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายอลงกรณ์ ที่เสนอว่า พรรคประชาธิปัตย์ควรนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษในนามพรรค โดยอ้างว่าจะกลายเป็นเหยื่อของรัฐบาล ที่หวังใช้เสียงข้างมาก แล้วนำมารวมกันพิจารณา
แต่คงลืมไปว่าในฐานะพรรคการเมือง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับบ้านเมือง ต้องกล้าเสนอทางออกและช่วยนำเสนอแนวความคิด การไปมัวคิดเล็กคิดน้อย ทำให้คนจำนวนไม่ใช่น้อยคิดว่า มุ่งประโยชน์ทางการเมือง อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้ชาวบ้านคิดเป็น ว่าใครทำเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อพวกพ้อง
วันนี้หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจ ยอมลุกออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรค เปิดทางให้คนไร้บาดแผล หรือมีรอยบอบช้ำทางการเมือง มารับบท “แม่ทัพ” สู้ศึกเลือกตั้ง อาจมีคนยอม “กดไลค์” จนตัวเลขแซงหน้า “เพลงรักต้องเปิด” ของน้องใบเตยก็ได้ครับ.
ตัดตอนจากเดลินิวส์
ถึงเวลาที่ น้ามาก ควรถอยจากการเป็นหัวหน้าพรรค ปชป หรือยัง
แม้จะเชื่อมั่นว่า พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จะคุ้มครองการทำงานของรัฐบาลในขณะนั้น แต่ คนเสื้อแดงคงตามรังควานไม่เลิก แถมการทำงานในตำแหน่งนายกฯ ช่วงพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จนตำรวจไม่ใช่น้อย ต่างออกมาต่อต้านทั้งในที่ลับและที่แจ้ง กรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ซึ่งแทนที่จะเลือก “พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย” กลับไปผลักดัน “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ขึ้นมารับบท “แม่ทัพสีกากี” แต่ก็เป็นได้แค่รักษาการเท่านั้น
ส่วน ท่าทีของกองทัพ ก็ไม่ต้องพูดถึง ในเมื่อนายอภิสิทธิ์ยุบสภา หนีเอาตัวรอด เนื่องด้วยเกรงแรงกดดันของ “ม็อบ นปช.” ก่อนมีการ แต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 53 บรรดาแวดวงคนมีสีจำนวนไม่ใช่น้อย จึงไม่อยาก ฝากผีฝากไข้ ไว้กับพรรค การเมืองเก่าแก่
ขณะที่ นักการเมืองหลายพรรค หากมีใครถามว่า ความรู้สึกที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ ส่วนใหญ่ล้วน ’ส่ายหน้าหนี“ เพราะไม่อยากร่วมงานกับ “เทวดา” อยากทำงานกับคนธรรมดามากกว่า
ดังนี้ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” พรรคประชาธิปัตย์ หลังจาก พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 เดือน ก.ค. 54 จึงโดนใจชาวบ้านหลายคน ซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ นายอลงกรณ์คงต้องการให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าคงเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 57 เพราะคิดว่าหากพรรคต้นสังกัด เลือกใช้บริการจาก “หนุ่มนักเรียนนอก” คงหนีไม่พ้นความพ่ายแพ้ แถมยังยาก ที่จะหาเพื่อนต่างพรรคมาร่วมงานได้ด้วย
แต่จะไปกล่าวหาผู้นำพรรคฝ่ายค้านว่า ยึดติดกับตำแหน่ง ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะช่วงนำพาพรรคแพ้เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ก็แสดงเจตจำนงกับสมาชิกพรรค ขอแสดงความรับผิดชอบ แต่ถูกทัดทานไว้ เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่มีใครกล้ารับตำแหน่ง ’หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์“ เนื่องจากอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่วันนี้ถ้าหาก “หนุ่มมาร์ค” ยอมถอย ผมมั่นใจว่า จะมีคนกล้าอาสารับภารกิจต่อ เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งแน่ ๆ
นอกจากนี้ ยังมี ภาพตอกย้ำ ให้เห็นความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ กรณีไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายอลงกรณ์ ที่เสนอว่า พรรคประชาธิปัตย์ควรนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษในนามพรรค โดยอ้างว่าจะกลายเป็นเหยื่อของรัฐบาล ที่หวังใช้เสียงข้างมาก แล้วนำมารวมกันพิจารณา
แต่คงลืมไปว่าในฐานะพรรคการเมือง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับบ้านเมือง ต้องกล้าเสนอทางออกและช่วยนำเสนอแนวความคิด การไปมัวคิดเล็กคิดน้อย ทำให้คนจำนวนไม่ใช่น้อยคิดว่า มุ่งประโยชน์ทางการเมือง อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้ชาวบ้านคิดเป็น ว่าใครทำเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อพวกพ้อง
วันนี้หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจ ยอมลุกออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรค เปิดทางให้คนไร้บาดแผล หรือมีรอยบอบช้ำทางการเมือง มารับบท “แม่ทัพ” สู้ศึกเลือกตั้ง อาจมีคนยอม “กดไลค์” จนตัวเลขแซงหน้า “เพลงรักต้องเปิด” ของน้องใบเตยก็ได้ครับ.
ตัดตอนจากเดลินิวส์