คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 67
ความคิดเห็นที่ 51-2
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป อยากจะถามว่า สิ่งที่คุณเชื่อ สำหรับคุณที่ ไม่นับถือศาสนา ไม่เชื่อนรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด
สิ่งที่คุณเชื่อคืออะไรคะ อยากทราบจริงๆ
- คิดและตัดสินด้วยตัวเองนี่แหละครับ แต่โดยรวมแล้วจะใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์
ความคิดเห็นที่ 60
ยิ่งคุณบอกว่าคุณไม่นับถือศาสนาอะไร ยิ่งรู้สึกว่า สิ่งที่คุณถามไม่ใช่แค่คุณอยากรู้ แต่เหมือนคุณแสดงอีโก้ของตัวเอง เหมือนจะบอกว่า ศาสนาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่น่าเชื่อถือ นรกสวรรค์วัดไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ มันเหลวไหล พวกคุณคิดอย่างนั้นไหม
นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกต่อกระทู้ของคุณ
- แหม ทายถูกเป๊ะเลยอ่ะ เชิญมารับรางวัลบนเวทีได้เลยครับ 5555 จริงๆตอนผมตั้งกระทู้ขึ้นมา ผมตั้งด้วยความรู้สึกอยากตบหน้าอีกฝ่ายดู
เพราะผมไม่ชอบศาสนาน่ะ ไม่ใช่ว่าศาสนามันไม่ดีนะ แต่เพราะเจอแต่ด้านแย่ๆของคนนับถือ(จริงๆพวกที่ว่าเป็นพวก"คิดว่าตัวเองนับถือพุทธ")
กว่าจะมาเจอคนนับถือจริงๆมันก็อคติไปแล้ว ว่าง่ายๆก็เกรียนนั่นแหละ เพราะไหนๆก็ไม่เคยตั้งกระทู้ทั้งที อันแรกต้องสนุกไว้ก่อนก็เลยลองไปกวนเท้า
ชาวบ้านดู ต้องขอโทษด้วยแล้วกันครับ
ความคิดเห็นที่ 61
เด็ก อายุ 17 ตั้งกระทู้แบบนี้ แสดงทัศนคติแบบนี้ หรือเบื่อๆก็เลยมาตั้งกระทู้แบบนี้ แสดงให้เห็นถึงการเสี่ยมถอยอย่างแท้จริง การเสื่อมถอยของตัวเด็กเอง ไม่รู้ว่าเรียนที่ไหน ไม่รู้ว่าได้เข้าสังคมบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ว่าอะไรหล่อหลอมเด็กคนนี้ จนออกมาเป็นแบบนี้
- อ้อ เรื่องนั้นเป็นเพราะพื้นฐานนิสัยของผมน่ะครับ แล้วได้สังคมช่วยกระตุ้น เพราะประเทศไทยจะยัดพุทธให้เด็กตั้งแต่เกิด ตอนเด็กก็ชอบอยู่หรอก
แต่พอโตขึ้น(ราวๆม.1-3)ผมที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเลยได้เห็นความเชื่อในรูปแบบอื่นๆ เลยเข้าใจตัวเองว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ได้นับถือศาสนาเลย
แค่ถูกสังคมบอกว่านับถือเลยคิดไปเองว่าตัวเองนับถือ แต่ทั้งนี้ทั้นก็คงเพราะนิสัยนั่นแหละ
ถึงคุณจะบอกว่าผมเสื่อมถอยก็เถอะ แต่ปกติผมไม่ทำแบบนี้หรอกครับ ไอ้เรื่องที่กระทู้นี้จะทำให้คนบางกลุ่มไม่ชอบใจน่ะผมรู้อยู่แล้ว อยากที่บอกข้างบนนั่นแหละ กระทู้แรกทั้งทีอยากเกรียนดู ในชีวิตจริงผมพยายามใช้วิตโดยให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยที่สุดอยู่แล้ว
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป อยากจะถามว่า สิ่งที่คุณเชื่อ สำหรับคุณที่ ไม่นับถือศาสนา ไม่เชื่อนรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด
สิ่งที่คุณเชื่อคืออะไรคะ อยากทราบจริงๆ
- คิดและตัดสินด้วยตัวเองนี่แหละครับ แต่โดยรวมแล้วจะใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์
ความคิดเห็นที่ 60
ยิ่งคุณบอกว่าคุณไม่นับถือศาสนาอะไร ยิ่งรู้สึกว่า สิ่งที่คุณถามไม่ใช่แค่คุณอยากรู้ แต่เหมือนคุณแสดงอีโก้ของตัวเอง เหมือนจะบอกว่า ศาสนาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่น่าเชื่อถือ นรกสวรรค์วัดไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ มันเหลวไหล พวกคุณคิดอย่างนั้นไหม
นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกต่อกระทู้ของคุณ
- แหม ทายถูกเป๊ะเลยอ่ะ เชิญมารับรางวัลบนเวทีได้เลยครับ 5555 จริงๆตอนผมตั้งกระทู้ขึ้นมา ผมตั้งด้วยความรู้สึกอยากตบหน้าอีกฝ่ายดู
เพราะผมไม่ชอบศาสนาน่ะ ไม่ใช่ว่าศาสนามันไม่ดีนะ แต่เพราะเจอแต่ด้านแย่ๆของคนนับถือ(จริงๆพวกที่ว่าเป็นพวก"คิดว่าตัวเองนับถือพุทธ")
กว่าจะมาเจอคนนับถือจริงๆมันก็อคติไปแล้ว ว่าง่ายๆก็เกรียนนั่นแหละ เพราะไหนๆก็ไม่เคยตั้งกระทู้ทั้งที อันแรกต้องสนุกไว้ก่อนก็เลยลองไปกวนเท้า
ชาวบ้านดู ต้องขอโทษด้วยแล้วกันครับ

ความคิดเห็นที่ 61
เด็ก อายุ 17 ตั้งกระทู้แบบนี้ แสดงทัศนคติแบบนี้ หรือเบื่อๆก็เลยมาตั้งกระทู้แบบนี้ แสดงให้เห็นถึงการเสี่ยมถอยอย่างแท้จริง การเสื่อมถอยของตัวเด็กเอง ไม่รู้ว่าเรียนที่ไหน ไม่รู้ว่าได้เข้าสังคมบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ว่าอะไรหล่อหลอมเด็กคนนี้ จนออกมาเป็นแบบนี้
- อ้อ เรื่องนั้นเป็นเพราะพื้นฐานนิสัยของผมน่ะครับ แล้วได้สังคมช่วยกระตุ้น เพราะประเทศไทยจะยัดพุทธให้เด็กตั้งแต่เกิด ตอนเด็กก็ชอบอยู่หรอก
แต่พอโตขึ้น(ราวๆม.1-3)ผมที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเลยได้เห็นความเชื่อในรูปแบบอื่นๆ เลยเข้าใจตัวเองว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ได้นับถือศาสนาเลย
แค่ถูกสังคมบอกว่านับถือเลยคิดไปเองว่าตัวเองนับถือ แต่ทั้งนี้ทั้นก็คงเพราะนิสัยนั่นแหละ
ถึงคุณจะบอกว่าผมเสื่อมถอยก็เถอะ แต่ปกติผมไม่ทำแบบนี้หรอกครับ ไอ้เรื่องที่กระทู้นี้จะทำให้คนบางกลุ่มไม่ชอบใจน่ะผมรู้อยู่แล้ว อยากที่บอกข้างบนนั่นแหละ กระทู้แรกทั้งทีอยากเกรียนดู ในชีวิตจริงผมพยายามใช้วิตโดยให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยที่สุดอยู่แล้ว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ศาสนาพุทธก็คือศาสนาพุทธ ผู้ตั้งศาสนาและเผยแผ่คำสอนคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ เพิ่งมาแพร่หลายในยุคหลัง เป็นสิ่งเดียวกันคงจะไม่ใช่
ศาสนาพุทธสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุ ไม่มีอะไรที่เกิดผลขึ้นมาลอย ๆ โดยปราศจากเหตุ
เมื่อดับเหตุ ผลก็ย่อมดับ เรียกว่าสอนในเรื่องของการเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็มีนั่นมีนี่ ไม่มีเหตุผล
แน่นอนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ยังไม่มีวิทยาศาสตร์บังเกิดขึ้น
นรก สวรรค์ ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้มีกล่าวลอย ๆ มีเหตุของการเกิดขึ้น มีเหตุของการเสื่อมสลาย
มีวิธีเข้าถึง มีวิธีพิสูจน์ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้วิเศษเหนือใครที่จะรู้เรื่องพวกนี้โดยไม่มีวิธีการ
แต่ว่าพระองค์ก็สอนวิธีที่พระองค์ใช้พิสูจน์ให้ด้วย เรียกว่าถ้าใครทำได้ก็จะรู้เห็นเหมือนกันหมด
ถ้าจะเปรียบกับวิทยาศาสตร์ ก็ต้องบอกว่า ถ้าเราผสมสารตัวหนึ่งเข้ากับสารตัวหนึ่ง ก็ย่อมได้สารเดียวกันหมดนั่นเอง
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ถูกพิสูจน์ด้วยคนทั้งโลก แต่ถูกพิสูจน์ด้วยนักวิทยาศาสตร์แค่เพียงหยิบมือ
แต่เพราะมีความเป็นเหตุเป็นผลสอดรับกันจนแพร่หลาย หลาย ๆ ทฤษฎีเราจึงเชื่อโดยไม่ได้ทดลองเองแทบทั้งนั้น
วิทยาศาสตร์ กับ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่มีหลักของเหตุและผลที่คล้ายกัน
เพราะมีเหตุ ย่อมมีผล เพราะมีผลเราก็สามารถสาวไปหาเหตุได้
เรื่องที่แตกต่างกันค่อนข้างมากก็คือวิธีการในการหาคำตอบ วิทยาศาสตร์ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
เป็นหลักในการรับรู้และอ้างอิง ส่วนศาสนาพุทธใช้วิธีปิดการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5
และเปิดการรับรู้ทางใจเพียงอย่างเดียว จนได้คำตอบที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่อาจให้คำตอบได้
อย่างที่เรารู้ว่า ประสาทสัมผัสของเรานั้นบิดเบือนได้และมีขีดจำกัดสูง เราใส่แว่นเลนส์นูน ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนแล้ว
เรามองไปข้างหน้า ไม่เห็นสิ่งที่เล็ก ไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ไม่เห็นสิ่งที่ถูกบัง ไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกล
ในขณะที่สัตว์หลาย ๆ ชนิดกลับเห็นได้มากกว่าเรา ดมกลิ่นได้มากกว่าเรา ได้ยินเสียงมากกว่าเรา เป็นต้น
การรับรู้ทางใจอาจจะดูเลื่อนลอยและเพ้อเจ้อค่อนข้างสูง แต่ไม่ใช่ว่าแค่รับรู้ทางใจเพียงเท่านั้น
เพราะต้องฝึกอย่างถูกวิธี มีขั้นมีตอน เหมือนคนตาบอดที่ฝึกใช้เสียงแทนตานั่นแหละ
ดูเลื่อนลอยไร้สาระ แต่ก็มีคนทำได้ เพราะฝึกอย่างถูกวิธีและตั้งใจจริง มันทำได้จริง ๆ
1. การไปนรก-สวรรค์อย่างอิสระ เป็นเรื่องธรรมดาในโลกบางยุคที่มนุษย์มีคุณธรรมสูงใกล้เคียงเทวดา
ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า ในบางยุค ก็มีมนุษย์บางคนที่ได้ปกครองสวรรค์ร่วมกับพระอินทร์อีกด้วย
การเกิดใหม่โดยมีความทรงจำเดิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แต่ยาก เพราะความที่ร่างกายของมนุษย์อยู่ในภพภูมิที่หยาบ
ต้องพัฒนาจากเซลล์เล็ก ๆ มาเป็นลำดับ ไม่เหมือนภพภูมิอื่นไม่มีการหน่วงเวลา สร้างอะไรก็เนรมิตได้เลย
เกิดมาก็โตเลย ตายแล้วก็หายวับไปเลย ไม่ใช่ธาตุหยาบที่จะทำอะไรก็ต้องอาศัยเวลา แต่เพราะต้องอาศัยเวลานี่แหละ
มนุษย์จึงสามารถทำสิ่งที่แม้แต่เทวดาก็ทำไม่ได้มากมาย เช่น ฆ่าคนโดยที่ยังไม่ต้องรับผล (ถ้าเทวดาทำก็ตกนรกไปทันทีเลย)
หรือสร้างสิ่งก่อสร้างและเทคโนโลยี่ที่ใช้ร่วมกันได้เป็นสาธารณะ (พระอรหันต์ที่เหาะได้ ยังเหาะไปได้แค่องค์เดียว
แต่เครื่องบินพาใครก็ได้ที่ไม่ต้องมีฤทธิ์ ไม่ต้องมีคุณธรรมสูง ไปได้ทีเป็นร้อยเป็นพันคน)
2. เรื่องโลกนี่ ถ้าเราคิดดูดี ๆ เราจะเห็นเลยว่า ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่เรายังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในทางสากล
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ทำไมเราต้องเกิด ทำไมเราต้องแก่ ทำไมเราต้องตาย ทำไมต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ
ทำไมต้องขับถ่าย ทำไมต้องเหนื่อย ทำไมต้องเมื่อย ทำไมเกิดมาทั้งทีต้องลำบากกันขนาดนี้
วุ่นวายคิดค้นอะไรก็ตามที่ทำให้สุขสบายขึ้น ฝืนกันเท่าไรก็แค่ดีขึ้นมาหน่อย ยังไม่เคยมีใครเอาชนะเรื่องเหล่านี้ได้จริง ๆ สักที
วิทยาศาสตร์หาเหตุผลทางกลไกได้ ว่าทำไมจึงเกิดเรื่องต่าง ๆ แต่โดยเหตุผลว่ามันมีความจำเป็นขนาดไหนที่ต้องเกิดเรื่องเหล่านี้
ก็ยังไม่มีใครตอบได้ เพราะที่จริงเรื่องเหล่านี้มันดูไร้เหตุผลอย่างที่สุด
ความในข้อ 1 เป็นจริงได้ครับ แต่เงื่อนไขค่อนข้างจะสูงสักหน่อย จนมีแต่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้
วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ เพิ่งมาแพร่หลายในยุคหลัง เป็นสิ่งเดียวกันคงจะไม่ใช่
ศาสนาพุทธสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุ ไม่มีอะไรที่เกิดผลขึ้นมาลอย ๆ โดยปราศจากเหตุ
เมื่อดับเหตุ ผลก็ย่อมดับ เรียกว่าสอนในเรื่องของการเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็มีนั่นมีนี่ ไม่มีเหตุผล
แน่นอนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ยังไม่มีวิทยาศาสตร์บังเกิดขึ้น
นรก สวรรค์ ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้มีกล่าวลอย ๆ มีเหตุของการเกิดขึ้น มีเหตุของการเสื่อมสลาย
มีวิธีเข้าถึง มีวิธีพิสูจน์ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้วิเศษเหนือใครที่จะรู้เรื่องพวกนี้โดยไม่มีวิธีการ
แต่ว่าพระองค์ก็สอนวิธีที่พระองค์ใช้พิสูจน์ให้ด้วย เรียกว่าถ้าใครทำได้ก็จะรู้เห็นเหมือนกันหมด
ถ้าจะเปรียบกับวิทยาศาสตร์ ก็ต้องบอกว่า ถ้าเราผสมสารตัวหนึ่งเข้ากับสารตัวหนึ่ง ก็ย่อมได้สารเดียวกันหมดนั่นเอง
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ถูกพิสูจน์ด้วยคนทั้งโลก แต่ถูกพิสูจน์ด้วยนักวิทยาศาสตร์แค่เพียงหยิบมือ
แต่เพราะมีความเป็นเหตุเป็นผลสอดรับกันจนแพร่หลาย หลาย ๆ ทฤษฎีเราจึงเชื่อโดยไม่ได้ทดลองเองแทบทั้งนั้น
วิทยาศาสตร์ กับ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่มีหลักของเหตุและผลที่คล้ายกัน
เพราะมีเหตุ ย่อมมีผล เพราะมีผลเราก็สามารถสาวไปหาเหตุได้
เรื่องที่แตกต่างกันค่อนข้างมากก็คือวิธีการในการหาคำตอบ วิทยาศาสตร์ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
เป็นหลักในการรับรู้และอ้างอิง ส่วนศาสนาพุทธใช้วิธีปิดการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5
และเปิดการรับรู้ทางใจเพียงอย่างเดียว จนได้คำตอบที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่อาจให้คำตอบได้
อย่างที่เรารู้ว่า ประสาทสัมผัสของเรานั้นบิดเบือนได้และมีขีดจำกัดสูง เราใส่แว่นเลนส์นูน ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนแล้ว
เรามองไปข้างหน้า ไม่เห็นสิ่งที่เล็ก ไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ไม่เห็นสิ่งที่ถูกบัง ไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกล
ในขณะที่สัตว์หลาย ๆ ชนิดกลับเห็นได้มากกว่าเรา ดมกลิ่นได้มากกว่าเรา ได้ยินเสียงมากกว่าเรา เป็นต้น
การรับรู้ทางใจอาจจะดูเลื่อนลอยและเพ้อเจ้อค่อนข้างสูง แต่ไม่ใช่ว่าแค่รับรู้ทางใจเพียงเท่านั้น
เพราะต้องฝึกอย่างถูกวิธี มีขั้นมีตอน เหมือนคนตาบอดที่ฝึกใช้เสียงแทนตานั่นแหละ
ดูเลื่อนลอยไร้สาระ แต่ก็มีคนทำได้ เพราะฝึกอย่างถูกวิธีและตั้งใจจริง มันทำได้จริง ๆ
1. การไปนรก-สวรรค์อย่างอิสระ เป็นเรื่องธรรมดาในโลกบางยุคที่มนุษย์มีคุณธรรมสูงใกล้เคียงเทวดา
ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า ในบางยุค ก็มีมนุษย์บางคนที่ได้ปกครองสวรรค์ร่วมกับพระอินทร์อีกด้วย
การเกิดใหม่โดยมีความทรงจำเดิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แต่ยาก เพราะความที่ร่างกายของมนุษย์อยู่ในภพภูมิที่หยาบ
ต้องพัฒนาจากเซลล์เล็ก ๆ มาเป็นลำดับ ไม่เหมือนภพภูมิอื่นไม่มีการหน่วงเวลา สร้างอะไรก็เนรมิตได้เลย
เกิดมาก็โตเลย ตายแล้วก็หายวับไปเลย ไม่ใช่ธาตุหยาบที่จะทำอะไรก็ต้องอาศัยเวลา แต่เพราะต้องอาศัยเวลานี่แหละ
มนุษย์จึงสามารถทำสิ่งที่แม้แต่เทวดาก็ทำไม่ได้มากมาย เช่น ฆ่าคนโดยที่ยังไม่ต้องรับผล (ถ้าเทวดาทำก็ตกนรกไปทันทีเลย)
หรือสร้างสิ่งก่อสร้างและเทคโนโลยี่ที่ใช้ร่วมกันได้เป็นสาธารณะ (พระอรหันต์ที่เหาะได้ ยังเหาะไปได้แค่องค์เดียว
แต่เครื่องบินพาใครก็ได้ที่ไม่ต้องมีฤทธิ์ ไม่ต้องมีคุณธรรมสูง ไปได้ทีเป็นร้อยเป็นพันคน)
2. เรื่องโลกนี่ ถ้าเราคิดดูดี ๆ เราจะเห็นเลยว่า ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่เรายังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในทางสากล
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ทำไมเราต้องเกิด ทำไมเราต้องแก่ ทำไมเราต้องตาย ทำไมต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ
ทำไมต้องขับถ่าย ทำไมต้องเหนื่อย ทำไมต้องเมื่อย ทำไมเกิดมาทั้งทีต้องลำบากกันขนาดนี้
วุ่นวายคิดค้นอะไรก็ตามที่ทำให้สุขสบายขึ้น ฝืนกันเท่าไรก็แค่ดีขึ้นมาหน่อย ยังไม่เคยมีใครเอาชนะเรื่องเหล่านี้ได้จริง ๆ สักที
วิทยาศาสตร์หาเหตุผลทางกลไกได้ ว่าทำไมจึงเกิดเรื่องต่าง ๆ แต่โดยเหตุผลว่ามันมีความจำเป็นขนาดไหนที่ต้องเกิดเรื่องเหล่านี้
ก็ยังไม่มีใครตอบได้ เพราะที่จริงเรื่องเหล่านี้มันดูไร้เหตุผลอย่างที่สุด
ความในข้อ 1 เป็นจริงได้ครับ แต่เงื่อนไขค่อนข้างจะสูงสักหน่อย จนมีแต่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
ศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์
เป็นส่วนหนี่งกับศาสนาพุทธรึเปล่า ถ้าใช่ก็เข้าคำถามเลย
1.ถ้าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์จริง นรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นส่วนหนี่งกับศาสนาพุทธก็จะเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย แบบนี้ซักวันหนึ่งมนุษย์ จะสามารถพัฒนาวิทยาศาสตร์จนเข้าถึงนรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดได้ เราจะสามารถไปนรก-สวรรค์ได้ตามใจชอบหรือไปเกิดใหม่โดยคงความทรงจำเดิมได้ตามต้องการใช่ไหมครับ
2.ถ้าเป็นอย่างข้อ1คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ
ปล.ผมไม่นับถือศาสนานะครับ ไม่เชื่อนรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดด้วย พอดีวันนี้คุยกับเพื่อนเล่นๆแล้วเปิดประเด็นขึ้นมาเลยอยากรู้ความคิดเห็นของนักวิทย์กับคนนับถือศาสนา