หนังสือเข้ารอบรางวัลซีไรต์ 7 เล่มสุดท้าย ครับผม
ของฝากจากแดนไกล
บทกวีชุด “ของฝากจากแดนไกล” รวบรวมบทกวีจำนวน ๓๙ เรื่อง มีเนื้อหาบรรยายถึงความประทับใจของกวีต่อภาพชีวิตของผู้คน สถานที่ สิ่งของ วัตถุต่างๆ ที่ปรากฏแก่ในสายตา โดยใช้ฉันทลักษณ์ประเภทกลอน 8 ที่มีลีลาการบอกเล่าและจังหวะกลอนเฉพาะตัว
ผล งานชุดนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมือในการประพันธ์ของกวีที่พยายามประสานศิลปะของ การเล่าเรื่องเข้ากับศิลปะของภาษาสร้างอารมณ์และความรู้สึกแบการเขียนบทกวี ภาพสื่อสารที่ได้จึงมีทั้งภาพชีวิตที่เคลื่อนไหวของตัวละครในบทกวี และกระแสความคิดที่กวีได้พยายามผสานใส่เข้าไปเพื่อให้ข้อสรุป ข้อคิดเห็น และแนวคิดซึ่งปรากฏเป็นความคิดหลักของบทกวีแต่ละเรื่อง อันครอบคลุมทั้งเรื่องราวของมิตรภาพ ความหวัง ความรัก ความแตกต่างหลากหลาย และความเชื่อมโยงกลมเกลียว
ลีลากลอนในบทกวีเล่มนี้สะท้อนให้เห็นความพยายามของโชคชัย บัณฑิต’ ที่จะสร้างสรรค์บทกวีที่มีลักษณะเฉพาะ บทกวีจำนวนหนึ่งตั้งใจเขียนวรรคละ ๗ คำซึ่งก่อให้เกิดท่วงทำนองการอ่านที่แปลกต่าง เมื่อผสานกับการใช้ภาษาที่มุ่งสร้างจินตภาพเชิงกวีแบบใหม่ ทำให้หลากหลายเรื่องราวที่แม้จะดูเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่อาจพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่บทกวีก็ทำหน้าที่สะกิดเตือนให้ผู้อ่านได้หยุดคิดและครุ่นมองสิ่งสามัญนั้นด้วยหัวจิตหัวใจ บทกวีเรียกร้องให้ผู้อ่านเชื่อมโยงความหมายที่ซุกซ่อนอยู่แสนไกลในหัวใจของผู้อ่านทุกคน
ต่างต้องการความหมายของพื้นที่
ต่างต้องการความหมายของพื้นที่ ของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ กวีซึ่งศรัทธาในความหมายของกวีและบทกวีอย่างยิ่ง กวีท่านนี้ให้คุณค่าต่อผู้ที่เป็นกวีว่า ต้องมีความถึงพร้อมในการประพฤติปฏิบัติตน เป็นผู้ชี้ถูก-ผิดให้สังคมได้รับทราบ ไม่ใช่ร่ายบทกวีไปตามกระแสนิยมหรือมีอคติ ดังความที่ว่า “ดูกรสหายข้า อย่าขี่แพะเพราะได้ที ขี่เสือต้องอารี เขียนบทกวีต้องใจงาม” และ “และที่สุดบทกวีก็บอกว่า ราคาของบทกวีที่สูงส่ง คือเลือดเนื้อจิตวิญญาณที่จารผจง และดำรงอยู่ในหัวใจกวี” วาทะเช่นนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก
ข้อปฏิบัติหรือแง่คิดบางประการที่คนทั่วไปมองข้าม แต่ศิวกานท์ เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อันได้แก่ ความเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่หลายแห่ง แม้จะเป็นพุทธมามกะก็ยังอาจหาญวิพากษ์วิจารณ์วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ที่เห็นแก่อามิสบูชา ในส่วนของการแสดงความรักต่อครอบครัว กวีได้ให้ความ สำคัญในการเคารพรักบิดาด้วยความกตัญญู ในขณะเดียวกันยังให้ความเอื้ออาทรบุตรด้วยความห่วงใย ทั้งยังแสดงทัศนะที่มีต่อครูบางคนที่ไม่เคยสำรวจตนเองด้วยถ้อยคำที่ประชดประชันหยันเย้ยอยู่ในทีว่า “เสียงจ้อกแจ้กแตกแถวขึ้นอาคาร หุ่นยนต์น้อยได้วิญญาณคืนสู่ร่าง ขณะหุ่นไล่กาแขนขากาง เดินตามมาห่างห่าง...หักคะแนน” และที่สำคัญยิ่งคือทัศนะต่อการดื่มสุรา ศิวกานท์จะไม่สมยอมให้ผู้ที่อ้างตนเป็นกวีจำเป็นต้องดื่มสุราเพราะเห็นว่าเป็นการเสพยาพิษ
นอกจากนี้ผู้อ่านยังได้รับแง่คิดและทัศนะบางประการในเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรา การมองสังคมด้วยความเป็นธรรม การมีจิตใจที่ดีต่อกัน การใช้ชีวิตอย่างพอเพียงอิงธรรมชาติ ไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใด ให้มีมรณานุสติจะได้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ฉะนั้นถ้าทุกคนได้หมั่นปัดฝุ่นในใจตนเองบ้างก็จะค้นพบความจริงและพบความหมายในพื้นที่
ด้วยแง่งามทางด้านวรรณศิลป์ ผู้อ่านจะเพลิดเพลินไปกับลีลาคำประพันธ์ที่ชัดเจน ถูกต้องและมีความหลากหลายในรูปแบบฉันทลักษณ์ ทั้งกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กลอนสุภาพ กลอนหก เพลงพื้นบ้าน โคลงสี่สุภาพและโคลงดั้น อีกทั้งยังเคลิบเคลิ้มไปกับถ้อยคำภาษาที่กวีเลือกเฟ้นคำเหมาะมาใช้ในที่เหมาะ ๆ กลั่นกรองถ้อยคำที่กินใจ สะเทือนอารมณ์ อีกทั้งยังได้เห็นการเล่นคำเล่นสัมผัสอันไพเราะ เช่น “เพลี้ยแมลงแมงร้ายจากเมืองร้อน ทุกรอยบ่อนรอยเบียนกี่เกวียนบั้น ...” หรือ “ร้อนคือเย็นเย็นคือร้อนซ่อนตอซัง ในนาปีนาปรังทั้งนาคร” และยังมีความเปรียบเชิงอุปมาให้เห็นอยู่มากมาย ต่างต้องการความหมายในพื้นที่ จึงควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง
บ้านในหมอก : สุขุมพจน์ คำสุขุม
กวีนิพนธ์ชุด “บ้านในหมอก” ของ สุขุมพจน์ คำสุขุม เป็นผลงานที่จงใจจัดวางเนื้อหาไว้เป็นเอกภาพ เดินเรื่องไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน โดยแบ่งเนื้อหาเป็นสองภาค ภาคแรก ว่าด้วย ‘บ้านในหมอก’ ที่หมายถึงภาพรวมทั้งประเทศหรือสังคมโดยรวม ภาคสอง เหมือนส่องกล้องเข้าไปสำรวจตรวจสอบ ‘หมอกในบ้าน’ อันหมายถึงบ้านจริงๆ หรือสถาบันครอบครัว ทั้งนี้เพื่อต้องการสะท้อนปัญหานานัปการ
ในภาคแรก เปิดเรื่องด้วยการย้อนไปสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมือง ชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษได้แผ้วถางลงรากปักฐาน และดำเนินชีวิตในวิถีโบราณ เคารพธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งอุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล เป็นการปูพื้นก่อนจะเปิดประตูไปสู่เรื่องราวต่างๆ โดยใช้กองเกวียนเป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าตามยุคสมัย ทว่าการเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคปัจจุบัน มันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนตั้งรับและปรับตัวไม่ทัน จึงทำให้เกิดปัญหา ความเจริญภายนอกวิวัฒนาการก้าวกระโดดเท่าใด จริยธรรมหรือจิตใจมนุษย์ยิ่งเสื่อมทรุดเป็นเงาตามตัว จากกองเกวียนโบราณสู่ยุคกองเกวียนจักรกล ยนตรกรรม เทคโนโลยีล้ำหน้า จึงกลายเป็นการพัฒนาแบบเสื่อมถอย มองทางไหนก็ดูเบลอๆ เลอะเลือนไปเสียสิ้น เปรียบเสมือน ‘หมอกสีเศร้า’ ปกคลุมไปทุกพื้นที่ ส่งผลต่อสวัสดิภาพ คุณภาพชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะชีวิตเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกำลังของชาติในอนาคต
ส่วนภาคสอง เจาะจงลงไปที่สถาบันครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยเล็กสุดของสังคม แต่ก็สำคัญที่สุด ผู้เขียนได้เน้นในเรื่องความผูกพัน ความรัก ความเข้าใจ ระหว่างพ่อ แม่ ลูก ในแง่มุมต่างๆ หลากหลายมิติ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เปราะบาง เพราะไม่เพียงเลี้ยงดูฟูมฟักด้านร่างกาย หากต้องดูแลจิตใจ ความรู้สึกควบคู่ไปด้วย ถึงแม้คนในครอบครัวเดียวกัน ใกล้ชิดกัน แต่กลับมีหมอกในใจจนมองไม่เห็นปัญหา ผู้เขียนพยายามฉายภาพปัญหาออกมาให้เห็น บางเรื่องรู้สึกสะท้อนใจ บางประเด็นรู้สึกสะเทือนอารมณ์ และก่อให้เกิดแง่คิดหลากหลายประการ
ด้านศิลปะการประพันธ์ นอกจากใช้ ‘กลอนแปด’ เป็นพาหนะในขับเคลื่อนกองเกวียนบรรทุกตัวอักษรส่งต่อเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบันแล้ว ผู้เขียนยังมีความโดดเด่นในเชิงกวีโวหาร ช่ำชองในการใช้ภาษา มีทักษะในเชิงวรรณศิลป์ มีลูกล่อลูกชน เล่นคำเล่นความอย่างลงตัว และแทรกอารมณ์ขันเป็นระยะ ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ผู้เขียนใช้โวหารเชิงเปรียบเทียบได้ดี ทั้งในแง่เนื้อหาที่เป็นรูปธรรมและใช้ ‘หมอก’ เป็นตัวบอกนัยยะ จึงทำให้ “บ้านในหมอก” มีเสน่ห์ และกระตุ้นให้ตระหนักคิด ชวนติดตาม
ผู้ออกแบบเส้นขอบฟ้า : จเด็จ กำจรเดช
“ผู้ออกแบบเส้นขอบฟ้า” เป็นบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ หรือบทร้อยกรองอิสระ (free verse) ของ “จเด็จ กำจรเดช” นักเขียนหนุ่มรุ่นใหม่ ผู้เล่าเรื่องได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยความแปลกใหม่ของเนื้อหาและเรื่องราวที่พาผู้อ่านก้าวข้ามมิติของห้วงเวลาและยุคสมัย ทะลุพื้นที่และพรมแดนความเป็นจริงไปสู่โลกในจินตนาการอันเพริดแพร้ว ด้วยความสามารถและชั้นเชิงการประพันธ์ในการจัดวางจังหวะคำได้อย่างทรงพลัง ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย แต่ชวนคิด ลุ่มลึก เต็มไปด้วยแง่คิดเชิงปรัชญา มีปริศนาให้ตีความ และสะท้อนอารมณ์หลากหลายของมนุษย์ ซึ่งเป็นทั้งผู้กระทำและถูกกระทำ
เสน่ห์ในบทร้อยกรองอิสระเล่มนี้คือ การตีแผ่จิตวิญญาณอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนของมนุษย์ ผ่านเรื่องเล่าหลากหลายบริบท ที่เปิดให้ตีความอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ทั้งเรื่องเล็กๆใกล้ตัว แสนจะธรรมดาสามัญ ไปจนถึงพลังเหนือธรรมชาติ และปรากฏการณ์โพ้นจักรวาล แต่ทั้งหมดนั้นยังยึดโยงอยู่กับความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง ของมนุษย์
“ผู้ออกแบบเส้นขอบฟ้า” เป็นกวีนิพนธ์เปี่ยมล้นด้วยคำถามต่อชีวิต ที่กำลังแสวงหาและรอคอย ท่ามกลางเหตุและปัจจัยต่างๆ จึงมีครบรส ทั้งความสุข ความเจ็บปวด ความขมขื่นสิ้นหวัง และบางอารมณ์ก็เย้ยหยันเสียดสีสิ่งที่พบเห็นระหว่างเส้นขอบฟ้า หลายบทเปี่ยมด้วยอารมณ์สะเทือนใจ นำพาจินตนาการไปสู่ดินแดนที่เราไม่รู้ ด้วยกวีโวหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และในที่สุดก็ทำให้เราได้ค้นพบคำตอบว่า ที่จริงแล้ว ชีวิตนี้ช่างกลวงเปล่า ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารเลย ทั้งโลกภายในและภายนอก สิ่งที่มนุษย์เผชิญอยู่จึงเป็นอนัตตา คือสภาพว่างเปล่า ไม่มีอยู่จริง
เมฆาจาริก : ธมกร
เมฆาจาริก ของธมกร กระตุ้นให้ผู้อ่านได้สัมผัสถึงแง่มุมของการเดินทางทั้งภายนอกและภายใน ด้วยมุมมองของมิติที่กว้างไกลและลึกซึ้ง เป็นการ “เดินทาง” แสวงบุญ ด้วยความหมายที่เปิดกว้าง ให้มนุษย์บรรลุถึง ความดี ความงาม ความจริง จนค้นพบบทสรุปที่ว่า ทุกร่องรอยที่ปรากฏจากการเดินทางอันสงบสง่าและงดงามมายาวนาน ทุกร่องรอยแห่งการเรียนรู้ จากความมั่นคงแห่งอารมณ์และความรู้สึก จนบรรจบไปยังจุดเปลี่ยนผ่าน การเดินทางไปพร้อมๆกับหมู่เมฆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เมฆเห็น ตระหนักรู้ทุกอย่างที่เมฆตระหนัก แท้ที่จริงแล้วทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นจากการเดินทางล้วนเป็น “อนิจจัง” คือความ “ไม่แน่นอน”
โดยภาพรวม ทำให้ผู้อ่านตระหนักรู้ว่า ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเดินทางคือ ความไม่แน่นอน ซึ่งก็คือ “ธรรมดาของชีวิต” เป็นหลักธรรมชาติพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต ที่มีแง่งามของวรรณศิลป์เป็นตัวเชื่อมโยง
นอกจากความรู้สึกอันดื่มด่ำ จากรสคำและรูปรอยการเดินทางหรือ “จาริก” ที่สวยงาม ราวได้มีส่วนร่วมเดินทางในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับผู้เขียนแล้ว ความโดดเด่นอันเป็นคุณค่าสำคัญของกวีนิพนธ์เล่มนี้ ซึ่งจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การจินตภาพอันงดงาม ภายใต้ฉันทลักษณ์เรียบง่าย ให้ปรากฏอยู่ภายในจิตวิญญาณของผู้เขียนส่งผ่านมายังผู้อ่าน ทุกขณะที่ชำแรกสายตาลงสู่รายละเอียดของเนื้อหา ให้รู้สึกมีความสุข เบิกบาน คล้อยตามวรรณศิลป์ที่งดงาม สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเสียง จังหวะ ลีลา และตัวอักษรที่เบาสบายแต่ลึกซึ้งในทุกอณูวลี สามารถสนองคุณค่าทางสุนทรียะได้อย่างสมบูรณ์ บางขณะของฉันทลักษณ์แสดงความอ่อนโยน บางขณะราวปรากฏซุ้มเสียงของสายฝนพรำฉ่ำชื่นกระทบหลังคาส่งมาบาดลึกคลี่ขั้วใจให้ไหวเต้นตาม บางขณะอ่อนโยนอ่อนไหวดุจสายหมอกยามอรุณรุ่งของเหมันต์ฤดู บางขณะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ที่เป็นเอกภาพ
เมฆาจาริก เป็นบทกวีที่ลึกล้ำทางความคิด การมองโลกมองชีวิตอย่างรู้เท่าทัน มีพลังอารมณ์และพลังปัญญาอันเข้มข้น ครบถ้วนสมบูรณ์
โลกใบเล็ก : พลัง เพียงพิรุฬ
รวมบทกวี โลกใบเล็ก ของพลัง เพียงพิรุฬห์ ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งหมู่บ้านในกาลสมัยของความเปลี่ยนแปลง ด้วยลีลาภาษาที่เป็นวรรณศิลป์ ทั้งการส่งสัมผัสเสียง การสร้างจังหวะคำ และการใช้คำเพื่อสร้างภาพและสื่อความหมาย พลังทางภาษาใน “โลกใบเล็ก” เป็นไปอย่างอ่อนโยน หากทว่าทรงพลัง ผู้เขียนใช้ลีลาการประพันธ์ที่มีทั้งบทตอนอ่อนหวานผสานไปกับการแสดงความเข้มข้นกล้าแกร่งในวิถีแห่งการเผชิญโลก เกิดเป็นสุนทรียศิลป์ที่กระทบอารมณ์ และสัมผัสใจ
รวมบทกวี “โลกใบเล็ก” แบ่งออกเป็น ๔ ภาค คือ รัก เศร้า เหงา สู้ โดยแต่ละภาคคล้ายเป็นบทตอนที่แสดงถึงสุข ทุกข์ ร้อน หนาว เฉกเช่นฤดูกาลนานยาวแห่งชีวิต ท่ามกลางการดิ้นรนและแสวงหาคุณค่าแห่งยุคสมัยของผู้คน เรื่องราวของ “โลกใบเล็ก” นี้ ผู้เขียนนำเราไปสัมผัสกับหมู่บ้านในกลิ่นอายแห่งอดีต ขณะเดียวกันก็เปิดประเด็นให้ครุ่นคิดถึงเรื่องราวของหมู่บ้านในปัจจุบันสมัย ผลพวงจากการพัฒนาในวิถีบริโภคนิยม ในกระแสการเปลี่ยนแปลง หมู่บ้านมิได้หยุดนิ่งอยู่กับความบริสุทธิ์หรือวิถีวัฒนธรรมอันงาม หากแต่ปรับตัวและเคลื่อนไหวไปตามโลก โลกที่ผู้เขียนเปิดให้เห็นทั้งด้านมืดและมุมสว่าง ทั้งความกลมกลืนและความแปลกแยก ครุ่นคิดอยู่ในใจของผู้คนร่วมสมัย
ใน “โลกใบเล็ก” ผู้เขียนได้ถ่ายทอดปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมิได้มองโลกในแง่ร้าย หรือเลือกมองโลกแต่ในแง่ดี หากแต่เลือกที่จะมองโลกอย่างมีความหวัง ด้วยเชื่อมั่นและศรัทธาในจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ รวมบทกวี “โลกใบเล็ก” ของพลัง เพียงพิรุฬห์ บอกเราเช่นนั้น
หนังสือเข้ารอบรางวัลซีไรต์ 7 เล่มสุดท้าย จ๊ะ
ของฝากจากแดนไกล
บทกวีชุด “ของฝากจากแดนไกล” รวบรวมบทกวีจำนวน ๓๙ เรื่อง มีเนื้อหาบรรยายถึงความประทับใจของกวีต่อภาพชีวิตของผู้คน สถานที่ สิ่งของ วัตถุต่างๆ ที่ปรากฏแก่ในสายตา โดยใช้ฉันทลักษณ์ประเภทกลอน 8 ที่มีลีลาการบอกเล่าและจังหวะกลอนเฉพาะตัว
ผล งานชุดนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมือในการประพันธ์ของกวีที่พยายามประสานศิลปะของ การเล่าเรื่องเข้ากับศิลปะของภาษาสร้างอารมณ์และความรู้สึกแบการเขียนบทกวี ภาพสื่อสารที่ได้จึงมีทั้งภาพชีวิตที่เคลื่อนไหวของตัวละครในบทกวี และกระแสความคิดที่กวีได้พยายามผสานใส่เข้าไปเพื่อให้ข้อสรุป ข้อคิดเห็น และแนวคิดซึ่งปรากฏเป็นความคิดหลักของบทกวีแต่ละเรื่อง อันครอบคลุมทั้งเรื่องราวของมิตรภาพ ความหวัง ความรัก ความแตกต่างหลากหลาย และความเชื่อมโยงกลมเกลียว
ลีลากลอนในบทกวีเล่มนี้สะท้อนให้เห็นความพยายามของโชคชัย บัณฑิต’ ที่จะสร้างสรรค์บทกวีที่มีลักษณะเฉพาะ บทกวีจำนวนหนึ่งตั้งใจเขียนวรรคละ ๗ คำซึ่งก่อให้เกิดท่วงทำนองการอ่านที่แปลกต่าง เมื่อผสานกับการใช้ภาษาที่มุ่งสร้างจินตภาพเชิงกวีแบบใหม่ ทำให้หลากหลายเรื่องราวที่แม้จะดูเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่อาจพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่บทกวีก็ทำหน้าที่สะกิดเตือนให้ผู้อ่านได้หยุดคิดและครุ่นมองสิ่งสามัญนั้นด้วยหัวจิตหัวใจ บทกวีเรียกร้องให้ผู้อ่านเชื่อมโยงความหมายที่ซุกซ่อนอยู่แสนไกลในหัวใจของผู้อ่านทุกคน
ต่างต้องการความหมายของพื้นที่
ต่างต้องการความหมายของพื้นที่ ของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ กวีซึ่งศรัทธาในความหมายของกวีและบทกวีอย่างยิ่ง กวีท่านนี้ให้คุณค่าต่อผู้ที่เป็นกวีว่า ต้องมีความถึงพร้อมในการประพฤติปฏิบัติตน เป็นผู้ชี้ถูก-ผิดให้สังคมได้รับทราบ ไม่ใช่ร่ายบทกวีไปตามกระแสนิยมหรือมีอคติ ดังความที่ว่า “ดูกรสหายข้า อย่าขี่แพะเพราะได้ที ขี่เสือต้องอารี เขียนบทกวีต้องใจงาม” และ “และที่สุดบทกวีก็บอกว่า ราคาของบทกวีที่สูงส่ง คือเลือดเนื้อจิตวิญญาณที่จารผจง และดำรงอยู่ในหัวใจกวี” วาทะเช่นนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก
ข้อปฏิบัติหรือแง่คิดบางประการที่คนทั่วไปมองข้าม แต่ศิวกานท์ เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อันได้แก่ ความเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่หลายแห่ง แม้จะเป็นพุทธมามกะก็ยังอาจหาญวิพากษ์วิจารณ์วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ที่เห็นแก่อามิสบูชา ในส่วนของการแสดงความรักต่อครอบครัว กวีได้ให้ความ สำคัญในการเคารพรักบิดาด้วยความกตัญญู ในขณะเดียวกันยังให้ความเอื้ออาทรบุตรด้วยความห่วงใย ทั้งยังแสดงทัศนะที่มีต่อครูบางคนที่ไม่เคยสำรวจตนเองด้วยถ้อยคำที่ประชดประชันหยันเย้ยอยู่ในทีว่า “เสียงจ้อกแจ้กแตกแถวขึ้นอาคาร หุ่นยนต์น้อยได้วิญญาณคืนสู่ร่าง ขณะหุ่นไล่กาแขนขากาง เดินตามมาห่างห่าง...หักคะแนน” และที่สำคัญยิ่งคือทัศนะต่อการดื่มสุรา ศิวกานท์จะไม่สมยอมให้ผู้ที่อ้างตนเป็นกวีจำเป็นต้องดื่มสุราเพราะเห็นว่าเป็นการเสพยาพิษ
นอกจากนี้ผู้อ่านยังได้รับแง่คิดและทัศนะบางประการในเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรา การมองสังคมด้วยความเป็นธรรม การมีจิตใจที่ดีต่อกัน การใช้ชีวิตอย่างพอเพียงอิงธรรมชาติ ไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใด ให้มีมรณานุสติจะได้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ฉะนั้นถ้าทุกคนได้หมั่นปัดฝุ่นในใจตนเองบ้างก็จะค้นพบความจริงและพบความหมายในพื้นที่
ด้วยแง่งามทางด้านวรรณศิลป์ ผู้อ่านจะเพลิดเพลินไปกับลีลาคำประพันธ์ที่ชัดเจน ถูกต้องและมีความหลากหลายในรูปแบบฉันทลักษณ์ ทั้งกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กลอนสุภาพ กลอนหก เพลงพื้นบ้าน โคลงสี่สุภาพและโคลงดั้น อีกทั้งยังเคลิบเคลิ้มไปกับถ้อยคำภาษาที่กวีเลือกเฟ้นคำเหมาะมาใช้ในที่เหมาะ ๆ กลั่นกรองถ้อยคำที่กินใจ สะเทือนอารมณ์ อีกทั้งยังได้เห็นการเล่นคำเล่นสัมผัสอันไพเราะ เช่น “เพลี้ยแมลงแมงร้ายจากเมืองร้อน ทุกรอยบ่อนรอยเบียนกี่เกวียนบั้น ...” หรือ “ร้อนคือเย็นเย็นคือร้อนซ่อนตอซัง ในนาปีนาปรังทั้งนาคร” และยังมีความเปรียบเชิงอุปมาให้เห็นอยู่มากมาย ต่างต้องการความหมายในพื้นที่ จึงควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง
บ้านในหมอก : สุขุมพจน์ คำสุขุม
กวีนิพนธ์ชุด “บ้านในหมอก” ของ สุขุมพจน์ คำสุขุม เป็นผลงานที่จงใจจัดวางเนื้อหาไว้เป็นเอกภาพ เดินเรื่องไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน โดยแบ่งเนื้อหาเป็นสองภาค ภาคแรก ว่าด้วย ‘บ้านในหมอก’ ที่หมายถึงภาพรวมทั้งประเทศหรือสังคมโดยรวม ภาคสอง เหมือนส่องกล้องเข้าไปสำรวจตรวจสอบ ‘หมอกในบ้าน’ อันหมายถึงบ้านจริงๆ หรือสถาบันครอบครัว ทั้งนี้เพื่อต้องการสะท้อนปัญหานานัปการ
ในภาคแรก เปิดเรื่องด้วยการย้อนไปสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมือง ชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษได้แผ้วถางลงรากปักฐาน และดำเนินชีวิตในวิถีโบราณ เคารพธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งอุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล เป็นการปูพื้นก่อนจะเปิดประตูไปสู่เรื่องราวต่างๆ โดยใช้กองเกวียนเป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าตามยุคสมัย ทว่าการเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคปัจจุบัน มันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนตั้งรับและปรับตัวไม่ทัน จึงทำให้เกิดปัญหา ความเจริญภายนอกวิวัฒนาการก้าวกระโดดเท่าใด จริยธรรมหรือจิตใจมนุษย์ยิ่งเสื่อมทรุดเป็นเงาตามตัว จากกองเกวียนโบราณสู่ยุคกองเกวียนจักรกล ยนตรกรรม เทคโนโลยีล้ำหน้า จึงกลายเป็นการพัฒนาแบบเสื่อมถอย มองทางไหนก็ดูเบลอๆ เลอะเลือนไปเสียสิ้น เปรียบเสมือน ‘หมอกสีเศร้า’ ปกคลุมไปทุกพื้นที่ ส่งผลต่อสวัสดิภาพ คุณภาพชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะชีวิตเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกำลังของชาติในอนาคต
ส่วนภาคสอง เจาะจงลงไปที่สถาบันครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยเล็กสุดของสังคม แต่ก็สำคัญที่สุด ผู้เขียนได้เน้นในเรื่องความผูกพัน ความรัก ความเข้าใจ ระหว่างพ่อ แม่ ลูก ในแง่มุมต่างๆ หลากหลายมิติ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เปราะบาง เพราะไม่เพียงเลี้ยงดูฟูมฟักด้านร่างกาย หากต้องดูแลจิตใจ ความรู้สึกควบคู่ไปด้วย ถึงแม้คนในครอบครัวเดียวกัน ใกล้ชิดกัน แต่กลับมีหมอกในใจจนมองไม่เห็นปัญหา ผู้เขียนพยายามฉายภาพปัญหาออกมาให้เห็น บางเรื่องรู้สึกสะท้อนใจ บางประเด็นรู้สึกสะเทือนอารมณ์ และก่อให้เกิดแง่คิดหลากหลายประการ
ด้านศิลปะการประพันธ์ นอกจากใช้ ‘กลอนแปด’ เป็นพาหนะในขับเคลื่อนกองเกวียนบรรทุกตัวอักษรส่งต่อเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบันแล้ว ผู้เขียนยังมีความโดดเด่นในเชิงกวีโวหาร ช่ำชองในการใช้ภาษา มีทักษะในเชิงวรรณศิลป์ มีลูกล่อลูกชน เล่นคำเล่นความอย่างลงตัว และแทรกอารมณ์ขันเป็นระยะ ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ผู้เขียนใช้โวหารเชิงเปรียบเทียบได้ดี ทั้งในแง่เนื้อหาที่เป็นรูปธรรมและใช้ ‘หมอก’ เป็นตัวบอกนัยยะ จึงทำให้ “บ้านในหมอก” มีเสน่ห์ และกระตุ้นให้ตระหนักคิด ชวนติดตาม
ผู้ออกแบบเส้นขอบฟ้า : จเด็จ กำจรเดช
“ผู้ออกแบบเส้นขอบฟ้า” เป็นบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ หรือบทร้อยกรองอิสระ (free verse) ของ “จเด็จ กำจรเดช” นักเขียนหนุ่มรุ่นใหม่ ผู้เล่าเรื่องได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยความแปลกใหม่ของเนื้อหาและเรื่องราวที่พาผู้อ่านก้าวข้ามมิติของห้วงเวลาและยุคสมัย ทะลุพื้นที่และพรมแดนความเป็นจริงไปสู่โลกในจินตนาการอันเพริดแพร้ว ด้วยความสามารถและชั้นเชิงการประพันธ์ในการจัดวางจังหวะคำได้อย่างทรงพลัง ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย แต่ชวนคิด ลุ่มลึก เต็มไปด้วยแง่คิดเชิงปรัชญา มีปริศนาให้ตีความ และสะท้อนอารมณ์หลากหลายของมนุษย์ ซึ่งเป็นทั้งผู้กระทำและถูกกระทำ
เสน่ห์ในบทร้อยกรองอิสระเล่มนี้คือ การตีแผ่จิตวิญญาณอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนของมนุษย์ ผ่านเรื่องเล่าหลากหลายบริบท ที่เปิดให้ตีความอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ทั้งเรื่องเล็กๆใกล้ตัว แสนจะธรรมดาสามัญ ไปจนถึงพลังเหนือธรรมชาติ และปรากฏการณ์โพ้นจักรวาล แต่ทั้งหมดนั้นยังยึดโยงอยู่กับความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง ของมนุษย์
“ผู้ออกแบบเส้นขอบฟ้า” เป็นกวีนิพนธ์เปี่ยมล้นด้วยคำถามต่อชีวิต ที่กำลังแสวงหาและรอคอย ท่ามกลางเหตุและปัจจัยต่างๆ จึงมีครบรส ทั้งความสุข ความเจ็บปวด ความขมขื่นสิ้นหวัง และบางอารมณ์ก็เย้ยหยันเสียดสีสิ่งที่พบเห็นระหว่างเส้นขอบฟ้า หลายบทเปี่ยมด้วยอารมณ์สะเทือนใจ นำพาจินตนาการไปสู่ดินแดนที่เราไม่รู้ ด้วยกวีโวหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และในที่สุดก็ทำให้เราได้ค้นพบคำตอบว่า ที่จริงแล้ว ชีวิตนี้ช่างกลวงเปล่า ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารเลย ทั้งโลกภายในและภายนอก สิ่งที่มนุษย์เผชิญอยู่จึงเป็นอนัตตา คือสภาพว่างเปล่า ไม่มีอยู่จริง
เมฆาจาริก : ธมกร
เมฆาจาริก ของธมกร กระตุ้นให้ผู้อ่านได้สัมผัสถึงแง่มุมของการเดินทางทั้งภายนอกและภายใน ด้วยมุมมองของมิติที่กว้างไกลและลึกซึ้ง เป็นการ “เดินทาง” แสวงบุญ ด้วยความหมายที่เปิดกว้าง ให้มนุษย์บรรลุถึง ความดี ความงาม ความจริง จนค้นพบบทสรุปที่ว่า ทุกร่องรอยที่ปรากฏจากการเดินทางอันสงบสง่าและงดงามมายาวนาน ทุกร่องรอยแห่งการเรียนรู้ จากความมั่นคงแห่งอารมณ์และความรู้สึก จนบรรจบไปยังจุดเปลี่ยนผ่าน การเดินทางไปพร้อมๆกับหมู่เมฆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เมฆเห็น ตระหนักรู้ทุกอย่างที่เมฆตระหนัก แท้ที่จริงแล้วทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นจากการเดินทางล้วนเป็น “อนิจจัง” คือความ “ไม่แน่นอน”
โดยภาพรวม ทำให้ผู้อ่านตระหนักรู้ว่า ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเดินทางคือ ความไม่แน่นอน ซึ่งก็คือ “ธรรมดาของชีวิต” เป็นหลักธรรมชาติพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต ที่มีแง่งามของวรรณศิลป์เป็นตัวเชื่อมโยง
นอกจากความรู้สึกอันดื่มด่ำ จากรสคำและรูปรอยการเดินทางหรือ “จาริก” ที่สวยงาม ราวได้มีส่วนร่วมเดินทางในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับผู้เขียนแล้ว ความโดดเด่นอันเป็นคุณค่าสำคัญของกวีนิพนธ์เล่มนี้ ซึ่งจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การจินตภาพอันงดงาม ภายใต้ฉันทลักษณ์เรียบง่าย ให้ปรากฏอยู่ภายในจิตวิญญาณของผู้เขียนส่งผ่านมายังผู้อ่าน ทุกขณะที่ชำแรกสายตาลงสู่รายละเอียดของเนื้อหา ให้รู้สึกมีความสุข เบิกบาน คล้อยตามวรรณศิลป์ที่งดงาม สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเสียง จังหวะ ลีลา และตัวอักษรที่เบาสบายแต่ลึกซึ้งในทุกอณูวลี สามารถสนองคุณค่าทางสุนทรียะได้อย่างสมบูรณ์ บางขณะของฉันทลักษณ์แสดงความอ่อนโยน บางขณะราวปรากฏซุ้มเสียงของสายฝนพรำฉ่ำชื่นกระทบหลังคาส่งมาบาดลึกคลี่ขั้วใจให้ไหวเต้นตาม บางขณะอ่อนโยนอ่อนไหวดุจสายหมอกยามอรุณรุ่งของเหมันต์ฤดู บางขณะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ที่เป็นเอกภาพ
เมฆาจาริก เป็นบทกวีที่ลึกล้ำทางความคิด การมองโลกมองชีวิตอย่างรู้เท่าทัน มีพลังอารมณ์และพลังปัญญาอันเข้มข้น ครบถ้วนสมบูรณ์
โลกใบเล็ก : พลัง เพียงพิรุฬ
รวมบทกวี โลกใบเล็ก ของพลัง เพียงพิรุฬห์ ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งหมู่บ้านในกาลสมัยของความเปลี่ยนแปลง ด้วยลีลาภาษาที่เป็นวรรณศิลป์ ทั้งการส่งสัมผัสเสียง การสร้างจังหวะคำ และการใช้คำเพื่อสร้างภาพและสื่อความหมาย พลังทางภาษาใน “โลกใบเล็ก” เป็นไปอย่างอ่อนโยน หากทว่าทรงพลัง ผู้เขียนใช้ลีลาการประพันธ์ที่มีทั้งบทตอนอ่อนหวานผสานไปกับการแสดงความเข้มข้นกล้าแกร่งในวิถีแห่งการเผชิญโลก เกิดเป็นสุนทรียศิลป์ที่กระทบอารมณ์ และสัมผัสใจ
รวมบทกวี “โลกใบเล็ก” แบ่งออกเป็น ๔ ภาค คือ รัก เศร้า เหงา สู้ โดยแต่ละภาคคล้ายเป็นบทตอนที่แสดงถึงสุข ทุกข์ ร้อน หนาว เฉกเช่นฤดูกาลนานยาวแห่งชีวิต ท่ามกลางการดิ้นรนและแสวงหาคุณค่าแห่งยุคสมัยของผู้คน เรื่องราวของ “โลกใบเล็ก” นี้ ผู้เขียนนำเราไปสัมผัสกับหมู่บ้านในกลิ่นอายแห่งอดีต ขณะเดียวกันก็เปิดประเด็นให้ครุ่นคิดถึงเรื่องราวของหมู่บ้านในปัจจุบันสมัย ผลพวงจากการพัฒนาในวิถีบริโภคนิยม ในกระแสการเปลี่ยนแปลง หมู่บ้านมิได้หยุดนิ่งอยู่กับความบริสุทธิ์หรือวิถีวัฒนธรรมอันงาม หากแต่ปรับตัวและเคลื่อนไหวไปตามโลก โลกที่ผู้เขียนเปิดให้เห็นทั้งด้านมืดและมุมสว่าง ทั้งความกลมกลืนและความแปลกแยก ครุ่นคิดอยู่ในใจของผู้คนร่วมสมัย
ใน “โลกใบเล็ก” ผู้เขียนได้ถ่ายทอดปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมิได้มองโลกในแง่ร้าย หรือเลือกมองโลกแต่ในแง่ดี หากแต่เลือกที่จะมองโลกอย่างมีความหวัง ด้วยเชื่อมั่นและศรัทธาในจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ รวมบทกวี “โลกใบเล็ก” ของพลัง เพียงพิรุฬห์ บอกเราเช่นนั้น