สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
" ตอนที่คุณเป็นนักศึกษาแพทย์คุณเคยรู้สึกสับสนไหม "
ไม่เคยรู้สึกสับสนครับ
เพราะเลือกที่จะมาเรียนเอง ไม่ได้มีใครบังคับ
ด้วยความรู้สึกว่าอยากช่วยคน
" เคยมีปัญหาในด้านการเรียนไหม เคยสอบตกไหม "
ด้วยความโง่ของผมเมื่อเทียบกับเพื่อนที่เรียนหมอด้วยกัน
จบม.ปลายด้วยเกรด 3.23
( น้อยมากถ้าเทียบกับนักศึกษาแพทย์ทั่วไป ส่วนใหญ่จะไม่ต่ำกว่า 3.8 )
การเรียนรู้ของผมช้ามากๆเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเรียน
ต้องอ่านหนังสือเองเยอะมากๆในขณะที่เพื่อนๆของผมเรียนรู้เรื่องตั้งแต่ในชั้นเรียน
มันทำให้ผมเป็นลูกชังของอาจารย์ในทุกๆ ward
ผมเคยสอบตกเกือบทุกชั้นปี แต่ก็พยายามสอบซ่อมจนหมด ก่อนเรียนจบ add ward Med+Sx รวม 2
เดือน สอบ national license step 1 & 3 ตก
ตอนนี้เป็น Resident แล้วครับ
" แล้วผ่านวิกฤติต่างๆมาได้อย่างไร "
กำลังใจจากครอบครัว
กำลังใจจากตัวเอง ( สร้างขึ้นมาเอง )
ฟังเพลงที่ให้กำลังใจ
อ่านบทความที่ให้กำลังใจ
การพยายามปรับตัวนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อนำความสามารถอื่นมาทดแทนสิ่งที่เราคิดว่าเสียเปรียบเพื่อน
เช่น เขียนให้เร็วขึ้น ( หลังจากเรียนจบ 1 ward ผมจะมีหนังสือที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง 1 เล่มทำสารบัญไว้เรียบร้อย )
ฝึกการใช้คอมพิวเตอร์ให้ชำนาญ ( ทำให้เราหาข้อมูลเองเป็น, อ่านหนังสือที่เป็น e-book )
ศึกษาธรรมะ ฝึกสติปัฎฐาน 4
ฝึกแบ่งเวลา หาเวลาพักผ่อนบ้าง ให้รางวัลตัวเองบ้าง
จุดที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปคือช่วงที่เป็น Extern Med
ตอนนั้นผมได้ไปฝึกงานที่รพ.รัฐแห่งหนึ่ง คนไข้เยอะมาก อาการก็หนักๆทั้งนั้น
แต่ผมไม่ไว้ใจตัวเองในการรักษาผู้ป่วยมากๆเพราะความรู้ของผมมีน้อยมากๆ
intern มีภาระหน้าที่เยอะ, staff ตามไม่ค่อยได้
extern มีสิทธิ์เต็มที่ในการสั่งการรักษาคนไข้ ( ความเป็นความตายของคนไข้อยู่ในมือเราเต็มๆ )
วันแรกผมสามารถใส่ ETT ได้ ( ถ้าใส่ไม่ได้คนไข้ตายแน่ๆ ผมจึงจำเป็นต้องใส่ได้ ยิ่งคนไข้เขียวความสามารถในการใส่ของผมจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว )
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
และเนื่องจากผมมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนไข้จริงๆ จึงเกิดความกลัว ( เหมือนที่จขกท.กำลังเป็นอยู่เลยครับ ^O^ )
ถึงเจตนาเราจะดีแต่ถ้าไม่มีความรู้ เราก็ทำคนตายได้
สิ่งที่ผมทำในตอนนั้นคือ เปิดหนังสือรักษาคนไข้
ผมไม่สนใจว่าความน่าเชื่อถือในฐานะหมอในสายตาของคนอื่นที่มองมาจะเป็นยังไงในขณะที่ผมอ่านหนังสือไปรักษาคนไข้ไป
ในหัวของผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า " คนไข้ผมต้องรอด!!! หรืออย่างน้อยที่สุดก็ห้ามตายเพราะความไม่รู้ของผม!!! "
เมื่อคิดได้ตามนี้ หลังจากวันนั้นผมไม่เคยได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลย
ถึงจะไม่ได้อยู่เวรผมก็มาดูคนไข้ของผมจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน
มาดูว่าจะมีใครที่อาจตายเพราะความไม่รู้ของผมหรือเปล่า...
เปิดตำราทุกอย่างเท่าที่ผมจะหาได้ในเวลานั้น ทั้งจากหนังสือตัวเอง หนังสือคนอื่น ชีทเรียนที่เคยเรียนมา อินเตอร์เน็ต คำแนะนำจาก staff, intern, เพือน, พยาบาลที่มีประสบการณ์ ( อะไรก็ได้ที่จะทำให้คนไข้ของผมรอด )
หลังสิ้นสุดการเป็น extern Med ความรู้ของผมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า
ฝีมือการทำหัตการฉุกเฉินเช่น on ETT, cut down, ICD ของผมเพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
"อยากจะเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ตัวเองชอบ หรือ จะยอมเรียนในสาขาอื่นที่ไม่ยากเท่า"
คุณเคยชอบอะไรมากๆๆๆหรือเปล่า ?
การที่เราชอบอะไรมากๆ
อุปสรรคมันจะกลายเป็นแค่อุปสรรคไปในทันที
ผมรู้เป้าหมายของตัวเองมานานแล้ว และรู้ด้วยว่าตัวเองเรียนรู้ช้า
ผมจึงวางแผนการอ่านหนังสือเพื่อเรียนต่อเฉพาะทางตั้งแต่เป็นนสพ.ปี 2
ระหว่างอยู่แต่ละ ward ผมก็อ่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่ผมจะเรียนเป็นพิเศษ
" ปล. ตอนนี้ยิ่งเรียน ยิ่งรู้สึกสับสน ทั้งๆที่ก็มีเป้าหมายชัดเจน
เรียนก็เรียนได้ไม่ดี พอเรียนไม่ดี มันก็จะท้อแท้และกลัว
กลัวว่า ไม่ดีพอที่จะรักษาใครในอนาคต กลัวว่าการตัดสินใจของเราถ้าผิดไปแล้ว มันเสี่ยงกับชีวิตของคนอื่น
เลยรู้สึกไม่สบายใจ อยากได้คำแนะนำและเรียนรู้ประสบการณ์จากผู้ที่อาจจะเคยผ่านช่วงเวลานั้นมา "
ถ้าความตั้งใจที่อยากจะช่วยคนไข้ของคุณเป็นของจริง
อย่ามัวแต่สับสนอยู่เลย ตามมาครับ
ผมว่าคนไข้ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการหมอที่เก่งเทพ แต่ต้องการหมอที่มีความเป็นหมอสูงมากกว่า...
ไม่เคยรู้สึกสับสนครับ
เพราะเลือกที่จะมาเรียนเอง ไม่ได้มีใครบังคับ
ด้วยความรู้สึกว่าอยากช่วยคน
" เคยมีปัญหาในด้านการเรียนไหม เคยสอบตกไหม "
ด้วยความโง่ของผมเมื่อเทียบกับเพื่อนที่เรียนหมอด้วยกัน
จบม.ปลายด้วยเกรด 3.23
( น้อยมากถ้าเทียบกับนักศึกษาแพทย์ทั่วไป ส่วนใหญ่จะไม่ต่ำกว่า 3.8 )
การเรียนรู้ของผมช้ามากๆเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเรียน
ต้องอ่านหนังสือเองเยอะมากๆในขณะที่เพื่อนๆของผมเรียนรู้เรื่องตั้งแต่ในชั้นเรียน
มันทำให้ผมเป็นลูกชังของอาจารย์ในทุกๆ ward
ผมเคยสอบตกเกือบทุกชั้นปี แต่ก็พยายามสอบซ่อมจนหมด ก่อนเรียนจบ add ward Med+Sx รวม 2
เดือน สอบ national license step 1 & 3 ตก
ตอนนี้เป็น Resident แล้วครับ
" แล้วผ่านวิกฤติต่างๆมาได้อย่างไร "
กำลังใจจากครอบครัว
กำลังใจจากตัวเอง ( สร้างขึ้นมาเอง )
ฟังเพลงที่ให้กำลังใจ
อ่านบทความที่ให้กำลังใจ
การพยายามปรับตัวนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อนำความสามารถอื่นมาทดแทนสิ่งที่เราคิดว่าเสียเปรียบเพื่อน
เช่น เขียนให้เร็วขึ้น ( หลังจากเรียนจบ 1 ward ผมจะมีหนังสือที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง 1 เล่มทำสารบัญไว้เรียบร้อย )
ฝึกการใช้คอมพิวเตอร์ให้ชำนาญ ( ทำให้เราหาข้อมูลเองเป็น, อ่านหนังสือที่เป็น e-book )
ศึกษาธรรมะ ฝึกสติปัฎฐาน 4
ฝึกแบ่งเวลา หาเวลาพักผ่อนบ้าง ให้รางวัลตัวเองบ้าง
จุดที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปคือช่วงที่เป็น Extern Med
ตอนนั้นผมได้ไปฝึกงานที่รพ.รัฐแห่งหนึ่ง คนไข้เยอะมาก อาการก็หนักๆทั้งนั้น
แต่ผมไม่ไว้ใจตัวเองในการรักษาผู้ป่วยมากๆเพราะความรู้ของผมมีน้อยมากๆ
intern มีภาระหน้าที่เยอะ, staff ตามไม่ค่อยได้
extern มีสิทธิ์เต็มที่ในการสั่งการรักษาคนไข้ ( ความเป็นความตายของคนไข้อยู่ในมือเราเต็มๆ )
วันแรกผมสามารถใส่ ETT ได้ ( ถ้าใส่ไม่ได้คนไข้ตายแน่ๆ ผมจึงจำเป็นต้องใส่ได้ ยิ่งคนไข้เขียวความสามารถในการใส่ของผมจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว )
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
และเนื่องจากผมมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนไข้จริงๆ จึงเกิดความกลัว ( เหมือนที่จขกท.กำลังเป็นอยู่เลยครับ ^O^ )
ถึงเจตนาเราจะดีแต่ถ้าไม่มีความรู้ เราก็ทำคนตายได้
สิ่งที่ผมทำในตอนนั้นคือ เปิดหนังสือรักษาคนไข้
ผมไม่สนใจว่าความน่าเชื่อถือในฐานะหมอในสายตาของคนอื่นที่มองมาจะเป็นยังไงในขณะที่ผมอ่านหนังสือไปรักษาคนไข้ไป
ในหัวของผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า " คนไข้ผมต้องรอด!!! หรืออย่างน้อยที่สุดก็ห้ามตายเพราะความไม่รู้ของผม!!! "
เมื่อคิดได้ตามนี้ หลังจากวันนั้นผมไม่เคยได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลย
ถึงจะไม่ได้อยู่เวรผมก็มาดูคนไข้ของผมจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน
มาดูว่าจะมีใครที่อาจตายเพราะความไม่รู้ของผมหรือเปล่า...
เปิดตำราทุกอย่างเท่าที่ผมจะหาได้ในเวลานั้น ทั้งจากหนังสือตัวเอง หนังสือคนอื่น ชีทเรียนที่เคยเรียนมา อินเตอร์เน็ต คำแนะนำจาก staff, intern, เพือน, พยาบาลที่มีประสบการณ์ ( อะไรก็ได้ที่จะทำให้คนไข้ของผมรอด )
หลังสิ้นสุดการเป็น extern Med ความรู้ของผมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า
ฝีมือการทำหัตการฉุกเฉินเช่น on ETT, cut down, ICD ของผมเพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
"อยากจะเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ตัวเองชอบ หรือ จะยอมเรียนในสาขาอื่นที่ไม่ยากเท่า"
คุณเคยชอบอะไรมากๆๆๆหรือเปล่า ?
การที่เราชอบอะไรมากๆ
อุปสรรคมันจะกลายเป็นแค่อุปสรรคไปในทันที
ผมรู้เป้าหมายของตัวเองมานานแล้ว และรู้ด้วยว่าตัวเองเรียนรู้ช้า
ผมจึงวางแผนการอ่านหนังสือเพื่อเรียนต่อเฉพาะทางตั้งแต่เป็นนสพ.ปี 2
ระหว่างอยู่แต่ละ ward ผมก็อ่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่ผมจะเรียนเป็นพิเศษ
" ปล. ตอนนี้ยิ่งเรียน ยิ่งรู้สึกสับสน ทั้งๆที่ก็มีเป้าหมายชัดเจน
เรียนก็เรียนได้ไม่ดี พอเรียนไม่ดี มันก็จะท้อแท้และกลัว
กลัวว่า ไม่ดีพอที่จะรักษาใครในอนาคต กลัวว่าการตัดสินใจของเราถ้าผิดไปแล้ว มันเสี่ยงกับชีวิตของคนอื่น
เลยรู้สึกไม่สบายใจ อยากได้คำแนะนำและเรียนรู้ประสบการณ์จากผู้ที่อาจจะเคยผ่านช่วงเวลานั้นมา "
ถ้าความตั้งใจที่อยากจะช่วยคนไข้ของคุณเป็นของจริง
อย่ามัวแต่สับสนอยู่เลย ตามมาครับ
ผมว่าคนไข้ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการหมอที่เก่งเทพ แต่ต้องการหมอที่มีความเป็นหมอสูงมากกว่า...
แสดงความคิดเห็น
อยากถามคนที่เป็นหมอว่า ตอนที่คุณเป็นนักศึกษาแพทย์คุณเคยรู้สึกสับสนไหม
เช่น เคยมีปัญหาในด้านการเรียนไหม เคยสอบตกไหม แล้วผ่านวิกฤติต่างๆมาได้อย่างไร
อยากจะเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ตัวเองชอบ หรือ จะยอมเรียนในสาขาอื่นที่ไม่ยากเท่า และ ปลอดภัยกว่าไม่มีความเสี่ยงสูง
ปล. ตอนนี้ยิ่งเรียน ยิ่งรู้สึกสับสน ทั้งๆที่ก็มีเป้าหมายชัดเจน
เรียนก็เรียนได้ไม่ดี พอเรียนไม่ดี มันก็จะท้อแท้และกลัว
กลัวว่า ไม่ดีพอที่จะรักษาใครในอนาคต กลัวว่าการตัดสินใจของเราถ้าผิดไปแล้ว มันเสี่ยงกับชีวิตของคนอื่น
เลยรู้สึกไม่สบายใจ อยากได้คำแนะนำและเรียนรู้ประสบการณ์จากผู้ที่อาจจะเคยผ่านช่วงเวลานั้นมา
ขอบคุณทุกความคิดเห็น