เห็นทีต้อง"ใส่ชูชีพ"เอาตัวรอดกันเอง โดย นงนุช สิงหเดชะ ..... บทตวามพิเศษ/มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 19-25 ก.ค.2556

กระทู้สนทนา
เห็นการบริหารของรัฐบาลแล้วเพลียใจอย่างยิ่ง เพราะจนแล้วจนรอดก็ยังเต็มไปด้วยความมั่ว เอาแน่เอานอน
ไม่ได้ ขาดการคิดไตร่ตรองหรือวางแผนล่วงหน้าอยู่ดี ยังไม่ได้กลับเข้าร่องเข้ารอยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
แต่ประการใด อีหรอบเดียวกับวาทกรรมเรื่อง "ความปรองดอง-สมานฉันท์" (แต่ขยันหาเหตุมาจุดชนวนอยู่เรื่อย)

ความโลเลที่เห็นชัดและน่าอ่อนอกอ่อนใจที่สุดก็คือเรื่องการจำนำข้าว ที่ประกาศลดราคารับจำนำ
จาก 15,000 เหลือ 12,000 บาทต่อตัน ไปไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็กลับมาใช้ราคาเดิม อ้างว่าถูกชาวนากดดัน

ตอนแรกรัฐบาลอ้างเหตุผลที่ต้องปรับลดราคาจำนำว่าเป็นเพราะต้องการรักษาวินัยการเงินการคลัง แต่สุดท้ายดู
เหมือนว่า "คะแนนเสียง" จะมาก่อนวินัยการเงินการคลัง



ผู้ที่น่าผิดหวังเป็นคำรบที่สอง ก็คือนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง และรองนายกฯ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกฯ
ให้ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อสรุปว่าจะยังยืนยันลดราคารับจำนำหรือไม่

มีกระแสข่าวว่าในการประชุมวันดังกล่าว ฝ่ายข้าราชการได้พยายามคัดค้านและทัดทานว่าไม่สามารถกลับไปใช้
ราคา 15,000 บาทต่อตัน ได้อีกแล้วเพราะรัฐหมดเงินแล้ว ไม่ไหวจริงๆ

แต่ฝ่ายการเมืองดึงดันเพราะเกรงเสียคะแนนเสียง ในที่สุดก็มีมติกลับลำให้ไปใช้ราคาจำนำ 15,000 เท่าเดิม

ความโลเลเอาแน่เอานอนไม่ได้ จะทำให้นายกิตติรัตน์ ในฐานะรองนายกฯ ซึ่งดูแลด้านเศรษฐกิจขาดความน่าเชื่อถือ
มากขึ้นไปอีก หลังจากความน่าเชื่อถือหดหายเพราะโกหกสีขาวเรื่องตัวเลขส่งออกมาก่อนหน้านี้ เพราะตอน กขช.
(สมัยที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ยังนั่งเป็น รมว.พาณิชย์) เสนอเรื่องมาให้ลดราคาจำนำ นายกิตติรัตน์ก็ส่งเสียงเห็น
ด้วยอย่างแข็งขันบอกว่าดีแล้วเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง จนคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ลดราคาจำนำดังกล่าว

แต่พอชาวนากดดันและตัวนายกิตติรัตน์เองไปนั่งเป็นประธานการประชุม กขช. กลับมีมติกลับลำ ทำลายวินัยการเงิน
การคลังด้วยมือตัวเองเสียดื้อๆ

สิ่งนี้สะท้อนว่า ก่อนจะประกาศลดราคารับจำนำก็ไม่คิดให้รอบด้านเสียก่อน ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ควรรีบประกาศลด การกลับ
ลำในภายหลังไม่ใช่เรื่องของการยืดหยุ่น ยืดได้ หดได้ อย่างที่อ้างเพื่อให้ดูดีแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของการ
"ไม่ทำการบ้าน" เสียมากกว่า นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้รัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือ



การขาดความน่าเชื่อถือในโครงการจำนำข้าว ส่งผลสะเทือนไปยังเมกะโปรเจ็กต์อื่นๆ ที่ใช้เงินเยอะของรัฐบาล ทั้ง
โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านและโลจิสติกส์ 2 ล้านล้านเพราะประชาชนไม่แน่ใจว่า

1. จะมีการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ ใช้เงินให้คุ้มค่าสมประโยชน์แก่ประเทศหรือไม่

2. จะมีความจริงใจในการป้องกันการทุจริตหรือไม่

ที่ผ่านมารัฐบาลสอบตกทั้ง 2 ข้อ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ+ความสามารถ และการป้องกัน-ปราบการทุจริต

ดูอย่างโครงการข้าว รัฐบาลไม่เคยตอบคำถามได้อย่างกระจ่างชัดเลย ขณะที่ฝ่ายค้านและฝ่ายนักวิชาการและผู้ส่งออก
มีหลักฐานตัวเลขและเหตุผลที่น่าเชื่อถือกว่า ส่วนรัฐบาลมีเพียงคำพูดลอยๆ ไม่เคยมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาหักล้าง

จนมีคนตั้งข้อสงสัยว่าทำโครงการมูลค่า 6.6 แสนล้าน ไม่มีการทำบัญชี ลงบัญชีได้อย่างไร ขนาดบริษัทเล็กๆ มีพนักงาน
10-20 คน เขายังต้องทำบัญชีอย่างโปร่งใส ไม่อย่างนั้นถูกสรรพากรเล่นงานอาน

การที่โครงการเมกะโปรเจ็กต์ทั้งโครงการน้ำและโลจิสติกส์ 2 ล้านล้านสะดุด อย่าได้โทษใคร แต่รัฐบาลต้องโทษตัวเอง
ที่ชอบใช้ทางลัด (ไม่อยากให้ตรวจสอบการใช้เงิน) แต่ก็ไม่เคยมีประวัติที่ดีเรื่องความโปร่งใสมารองรับ แต่ถึงที่สุดการ
ใช้ทางลัดก็ยิ่งช้ากว่าหนทางปกติ

โครงการที่รัฐบาลอ้างว่าด่วนๆ รอไม่ได้อย่างโครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน เอาเข้าจริงในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถทำโครงการ
ให้เร็วได้เพราะโครงการมีลักษณะที่บังคับให้ทำตามรัฐธรรมนูญ คือประชาพิจารณ์และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เพราะเป็นโครงการที่กระทบกับประชาชน

เมื่อดื้อรั้นดึงดัน จึงสะดุดหัวทิ่มอยู่อย่างนี้



การไร้วินัยการเงินการคลังของรัฐบาลเป็นเวลายาวนาน สุดท้ายแล้วจะทำให้เกิดการก่อหนี้มหาศาล ขั้นต่อไปประเทศ
จะถูกบริษัทจัดอันดับลดความน่าเชื่อถือ กลายเป็นประเทศที่ไม่น่าลงทุน เอกชนและรัฐจะประสบความยากลำบากในการ
กู้ยืมหรือต้องกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง (เพราะเครดิตไม่ดี)

เงินทุนต่างประเทศจะทยอยไหลออกเพราะขาดความเชื่อมั่น เมื่อเงินทุนไหลออก เงินบาทก็จะอ่อนค่า อย่างที่อ่อนอยู่
ในขณะนี้ เป็นสถานการณ์คล้ายๆ ต้มยำกุ้งปี 2540 และยิ่งคล้ายเข้าไปอีก เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไทยขาดดุลบัญชี
เดินสะพัดถึง 3,361 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เกิดจากการขาดดุลการค้า 1,620 ล้านดอลลาร์ (ส่งออกได้น้อยกว่านำเข้า)
ถือเป็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดนับจากปี 2538

ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศจะไม่ดีอย่างที่คาด เพราะโครงการประชานิยมของรัฐบาลไม่สามารถเพิ่มรายได้หรือความ
มั่งคั่งอย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนมีหนี้สินพุ่งแซงรายได้ หนี้สินครัวเรือนพุ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี หรือเฉลี่ยครัวเรือนละ
1.8 แสนบาทเพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์

สาเหตุหลักที่ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเกิดจากค่าครองชีพสูง ซึ่งสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหา
ปากท้องประชาชน เมื่อค่าครองชีพสูง คนก็ใช้จ่ายน้อยลง ซื้อของน้อยลง ทำให้สุดท้ายแล้วจีดีพีก็ไม่เติบโตเพียงพอ
ที่จะทำให้รัฐบาลมีเงินมาใช้หนี้ที่ก่อไว้

เมื่อคนใช้จ่ายน้อยลง ความหวังของรัฐบาลที่ว่าจะใช้การบริโภคภายในประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจทดแทนการส่งออกก็
เป็นอันพับไป



หันไปดูภาคส่งออกรึ ร่อแร่อย่างมาก ปีนี้อย่างมากก็คงขยายตัวได้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ คงเป็นรัฐบาลแรกในรอบ 20 ปี
กระมังที่มีอัตราการส่งออกรายปีแย่ที่สุด (ปีที่แล้วส่งออกโตแค่ 3.12 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกั๊กข้าวที่รับจำนำ
ไว้ไม่ยอมส่งออก) ทั้งที่ไม่ได้มีเหตุวิกฤตใหญ่อย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เหมือนปี 2551

ส่งออกเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของไทยเพราะมีสัดส่วนเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เมื่อส่งออกทรุดหนักขนาดนี้
ประกอบกับผู้บริโภคมีหนี้สินเพิ่ม กำลังการซื้อน้อยลง แถมคนในประเทศและต่างประเทศยังไม่มั่นใจในเสถียรภาพทาง
การเมืองของไทยที่พร้อมจะติดไฟได้ทุกเมื่อโดยมีรัฐบาลเป็นมือจุดชนวน (แก้ไขรัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม)

จึงไม่แปลกที่ทุกสถาบันจะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ของไทยจากระดับ 4.8-5 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่
4-4.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

บางสำนักประเมินเลวร้ายกว่านั้น โดยอาจเลวร้ายได้ถึงขั้นเหลือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์

ดูจากอาการและสถานการณ์แล้ว คงหวังพึ่งรัฐบาลด้านเศรษฐกิจไม่ได้ วิธีรอดที่ดีที่สุดคือทุกคนต้อง "ใส่ชูชีพ"
เพื่อรับประกันการรอดชีวิตเอาเอง

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374719058&grpid=&catid=02&subcatid=0207

แต่ท่ามกลางข่าวร้าย ....ร้าย   ข่าวดีก็มีเหมือนกัน  ไม่ใช่จะเลวร้ายไปซะทั้งหมด
เอา บทความของนงนุช ...เจ้าเก่า  มาให้อ่านกัน  เพื่อสร้างภาพตัวเอง  ว่ามองรอบด้าน
เหมือนที่ "มติชน"  ที่ใครๆ  ก็ว่าเป็นสื่้อสีแดง   แต่ก็มีบทความของ นงนุช สิงหะเดชะ และ   
วศิษฐ  เดชกุญชร  มาให้อ่านกัน  เป็นประจำ อ้อ   อย่าลืมอ่านกระทู้ที่เอามาแปะ  ด้วยค่ะ

'BOI'แจงยอดขอลงทุนครึ่งปีแรก ทะลุ6.3แสนล้าน ...... ข่าวไทยรัฐออนไลน์
http://pantip.com/topic/30760437



ยิ้มสาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่