อะแฮ่มๆ ออกตัวก่อนนะคะว่าเราพึ่งเคยรีวิวการท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้เป็นได้แค่คนดู แล้วก็นั่งกัดผ้าเช็ดหน้ากระซิกๆ อยากไปเที่ยวจังเลย


แต่พ่อแม่ฮ้วงงงงงงงง หวงงงงง ลูกสาวประหนึ่งอิชั้นเป็นนางสาวศรีสยาม จึ่งไม่ยอมให้ไปไหน เพราะกลัวคุณชายพุฒิภัทรจะมาฉุดไป
หารู้ไป ลูกสาวคนนี้เนี่ยแหละจะไปลากเขามาเอง โฮะๆๆๆๆๆๆ
แต่แล้วฤกษ์งามยามเคราะห์ก็มาถึง หลังจากเป็นคนซุ่มดูอยู่นาน เราก็ได้โอกาสไปเที่ยวมั่งแล้วววว
พึ่งไปมาสดๆร้อนๆไม่นานมานี้ค่ะ งบนักศึกษา ราคาน่ารัก แถมไปพักบ้านญาติ เลยประหยัดไปมากทีเดียว
ทริปนี้เราไปกับรถไฟไทยนะคะ เดินทางโดยตั๋วชั้นสอง ตู้นอนแอร์
ระยะเวลา 4 วัน 3 คืนค่ะ รวมไปกลับ
*แจ้งนิดนึงว่า การไปเที่ยวของเราครั้งนี้ เราไม่ได้เน้นสถานที่ท่องเที่ยวฮิตๆ เนื่องจากมันเป็นหน้ามรสุม ประกอบกับเราเป็นมนุษย์ที่ชอบอะไรที่ชอบบ้านไม่ชอบ เวลาไปไหน เราเลยชอบดูพวกตัวเมือง ตลาด การใช้ชีวิตมากกว่า และการเดินทางในตรัง กรณีตัวคนเดียว ถ้าจะข้ามไปจังหวัดอื่นในหน้ามรสุมแบบนี้ เราว่ามันค่อนข้างเปลี่ยวเกินไปค่ะ เพราะแต่ละอำเภอห่างกันไม่น้อย มีรถตู้ก็จริง แต่คนขึ้นไม่เยอะเท่าที่ควร ถ้าอยากไปเที่ยว แนะนำไปกับทัวร์ดีกว่า มีร้านขายทัวร์อยู่เต็มตัวเมืองไปหมด*
*ข้อมูลการเดินทางส่วนใหญ่ ได้มากจากในพันทิพนี่แหละค่ะ ขอบคุณสำหรับรีวิวเมืองตรังก่อนหน้านี้ทุกอันเลยนะคะ ที่ทำให้เราไม่หลงทาง ก๊ากกกกกกกก*
เริ่มแรกเลย คือมาขึ้นสถานีรถไฟ ณ สถานีกรุงเทพ/หัวลำโพงนั่นเองจ้า เดินทางสะดวกทีเดียว แค่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน จากหมอชิตมาโผล่ที่ปลายสถานีก็ได้แล้ว
เดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะมาถึงชานชาลาด้านใน ขบวนไหนไปไหนจะมีป้ายปักบอกทางอยู่
จริงๆก่อนหน้านี้ มีคนเชียร์ให้ไปเครื่องบิน เพราะราคาใกล้ๆกัน แถมยังรวดเร็วกว่า
แต่เราบอก "ไม่" อาจจะฟังแปลก แต่เราหลงเสน่ห์รถไฟไทยมากค่ะ

รู้สึกว่ามันเป็นการเดินทางแบบ "หวานเย็น" ดีจริงๆ
ป้ายบอกรถออก 17.05 น.
แต่เอาเข้าจริง ยังไม่ทันออกจากขบวน เจ้าหน้าที่ก็เดินมาบอกเราว่า "รถเสียเวลานะฮาฟฟฟฟฟ"
หัวรถจักรที่เก่าแก่ไปตามกาลเวลา
เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆเพื่อตามหาโบกี้ตามที่เราซื้อในตั๋ว
เจอแล้ววววววววววววว โบกี้ที่ 9 เลขสวยแท้หนอ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไปตามหาที่นั่งบนรถไฟได้เลยค่ะ
ที่เก้าอี้จะมีตัวเลขบอกไว้ เตียงบนเลขคี่ เตียงล่างเลขคู่จ้า
ที่นั่งจะมีหน้าตาแบบนี้ ถ้าของไม่เยอะ แค่เป้ใบเดียวอย่างเรา นั่งสบายมากมายค่ะ
วางของเสร็จแล้วเราก็แอบเดินมาสำรวจตู้เสบียง หน้าตาดูดีกว่าที่คิดไว้เลย
แต่ของกินแพงเว่อร์ แนะนำถ้าอยากประหยัด ซื้อของกินจากข้างล่างเถอะนะคะ
เพราะเมนูบนรถไฟ แค่ข้าวต้มธรรมดาก็ล่อไปเกือบร้อยบาทแล้ว
แต่ถ้าใครอยากกินเอาบรรยากาศ ลองสักนิดย่อมไม่เสียหาย
ส่วนตัวเราไม่ได้ลอง เพราะงบเราน้อยนิด เลยแอบมาส่องห้องเสบียงก็พอ
กฎของห้องเสบียงคือ ห้ามเอาอาหารใดๆมาทานนะคะ และถ้าจะนั่ง ควรสั่งอาหารด้วยจ้า
พอรถไฟเริ่มออกจากชานชาลา เราก็หยิบเพื่อนคู่ใจมายลโฉม
ที่หัวลำโพงคนยังขึ้นไม่เยอะเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะอยู่บางซื่อกันซะมาก
อันนี้คือหน้าตาของตั๋วรถไฟนะคะ เก็บไว้ห้ามหาย เดี๋ยวเขาจะมาตรวจตั๋วเราค่ะ
รถไฟเริ่มเคลื่อนที่เรื่อยๆแล้ว พอถึงสถานีนครปฐม จะราวๆทุ่มกว่าพอดี ตอนนี้ เจ้าหน้าที่จะเริ่มมากางเตียง
อันนี้สภาพของเตียงบนค่ะ ดูเล็ก แต่ว่านอนสบายพอดู แถมมันรู้สึกสนุกดีพิลึก
แนะนำเตียงบนค่ะถ้าใครชอบอะไรที่มันต้องปีนๆป่ายๆ(?) แต่คนนอนดิ้นอย่างเสี่ยงนะ 555
ถ้าเตียงล่างก็สะดวกสบายไปอีกแบบ แถมดีตรงที่ตื่นมาตอนเช้าได้นั่งมองวิวข้างรถไฟด้วย
เจ้าหน้าที่มากางเตียงแล้ว อยากบอกว่า ถ้ามีรางวัลโหวตพนักงานดีเด่น เราจะโหวตพี่คนนี้ค่ะ!
คุยสนุก บริการดี และเฟรนด์ลี่มาก ถามอะไรก็ตอบหมดเลย
สภาพภายในโบกี้หลังจากปูเตียงเสร็จแล้ว ใครขี้หนาว แพ้อากาศเย็น เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยนะคะ เพราะหนาวบัดซบ
หลังจากนั้นเราก็ปีนขึ้นเตียงนอน เกลือกกลิ้ง อ่านหนังสือ
สักพักราวๆสามทุ่มกว่า รถมาถึงสถานีราชบุรีค่ะ
เราที่กำลังเคลิ้มๆใกล้กลับ ได้ยินเสียงจากพนักงานห้องเสบียง เขาเดินผ่านไปมาแล้วพูดว่า
"มีคนตาย"
มีคนตายจริงๆค่ะ ทำให้รถไฟเสียเวลาอีกชั่วโมงกว่า
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเนื่องจาก ผู้ตายขึ้นมาส่งญาติบนรถไฟ แล้วไม่ยอมกลับลงไปค่ะ พอรถไฟออกจากสถานีแล้ว ก็พยายามกระโดดลง
แต่คงมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จึงเกิดอุบัติเหตุ
(ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตนะคะ)
แล้วก็เป็นอุทาหรณ์ด้วย อย่าเสี่ยงด้วยการไปยืนเกาะที่ประตูเลยค่ะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเนอะ
ตื่นเช้ามาก็เจอสถานีนี้แล้ว จำไม่ได้ว่าสถานีอะไร แต่เริ่มมีคนขึ้นมาขายของบ้างแล้วค่ะ
ใครขึ้นรถไฟสายใต้ ไม่ต้องกลัวอดเลยจ้า มีของกิน ของฝากขึ้นมาขายตลอดทาง
แม้จะรู้ว่าอันตราย แต่จขกท ก็ยังแอบซนมาถ่ายรูป - _ -
อันนี้เป็นสภาพของตลาดข้างทางรถไฟค่ะ เสียดายจอดแวะแค่แปบเดียว ใจจริงเราอยากเดินลงไปหาของกินมาก
ปกติไม่ใช่คนหิวบ่อย แต่เหมือนว่ารถไฟมันเขย่าจนลำไส้ปั่นป่วนไปหมด
รถไฟขบวนตรัง จะแวะจอดที่สถานีทุ่งสงนานประมาณ 5-10 นาที ระหว่างนี้จะมีไก่ทอดข้าวเหนียวมาขาย ถึงตรงนี้คนจะลงจนเกือบหมดแล้ว
เพราะเขาจะตัดขบวนอีกเส้นไปทางหาดใหญ่หรือยังไงนี่แหละ พอพ้นทุ่งสง ก็จะวิ่งยาวอีกราวชั่วโมงกว่า
หน้าตาสถานีทุ่งสง มีไก่ทอดข้้าวเหนียวด้วย แต่ไม่ได้ซื้อ ซึ่่งพลาดมากกกก เพราะรถไฟเสียเวลาไปประมาณ 3 ชั่วโมง
จริงๆต้องถึงตรังตั้งแต่ 8.05 แต่เวลาจริงปาไป 11 โมงแน่ะ
ระหว่างรอเติมน้ำมัน สับขบวน เราก็กระโดดลงมาถ่ายรูปสักนิด
ถึงตอนนี้รถไฟก็วิ่งยิงยาวแล้วค่ะ เราหนีไปนั่งที่ห้องเสบียงด้วย เนื่องจากไม่มีผู้โดยสารแล้ว
พนักงานก็ไม่ว่าอะไร เลยนั่งกินลมชมวิวเรื่อยเปื่อย ตลอดข้างทางมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า วัวควาย ภูเขา
ใครไม่รีบ ใครอินดี้ ใครชอบอะไรชิวๆ รถไฟไทยเป็นอะไรที่ได้ใจมากขอบอกกกกกก
แล้วก็มาถึงสถานีรถไฟตรังแล้วววววววววววววววว
ถึงตอนนั้นก็หิวจนหน้ามืด รีบเดินทางเข้าบ้านญาติโดยพลัน ฟาดของกินเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เดี๋ยวดึกๆแวะมาเพิ่มนะคะ ตอนนี้ขอตัวไปหาอะไรใส่หลุมดำในท้องก่อน
ปฐมบทแห่งการตะลอนทัวร์ : เดินๆนัวๆมั่วๆ ณ "เมืองตรัง" Part 1
ก่อนหน้านี้เป็นได้แค่คนดู แล้วก็นั่งกัดผ้าเช็ดหน้ากระซิกๆ อยากไปเที่ยวจังเลย
แต่พ่อแม่ฮ้วงงงงงงงง หวงงงงง ลูกสาวประหนึ่งอิชั้นเป็นนางสาวศรีสยาม จึ่งไม่ยอมให้ไปไหน เพราะกลัวคุณชายพุฒิภัทรจะมาฉุดไป
หารู้ไป ลูกสาวคนนี้เนี่ยแหละจะไปลากเขามาเอง โฮะๆๆๆๆๆๆ
แต่แล้วฤกษ์งามยามเคราะห์ก็มาถึง หลังจากเป็นคนซุ่มดูอยู่นาน เราก็ได้โอกาสไปเที่ยวมั่งแล้วววว
พึ่งไปมาสดๆร้อนๆไม่นานมานี้ค่ะ งบนักศึกษา ราคาน่ารัก แถมไปพักบ้านญาติ เลยประหยัดไปมากทีเดียว
ทริปนี้เราไปกับรถไฟไทยนะคะ เดินทางโดยตั๋วชั้นสอง ตู้นอนแอร์
ระยะเวลา 4 วัน 3 คืนค่ะ รวมไปกลับ
*แจ้งนิดนึงว่า การไปเที่ยวของเราครั้งนี้ เราไม่ได้เน้นสถานที่ท่องเที่ยวฮิตๆ เนื่องจากมันเป็นหน้ามรสุม ประกอบกับเราเป็นมนุษย์ที่ชอบอะไรที่ชอบบ้านไม่ชอบ เวลาไปไหน เราเลยชอบดูพวกตัวเมือง ตลาด การใช้ชีวิตมากกว่า และการเดินทางในตรัง กรณีตัวคนเดียว ถ้าจะข้ามไปจังหวัดอื่นในหน้ามรสุมแบบนี้ เราว่ามันค่อนข้างเปลี่ยวเกินไปค่ะ เพราะแต่ละอำเภอห่างกันไม่น้อย มีรถตู้ก็จริง แต่คนขึ้นไม่เยอะเท่าที่ควร ถ้าอยากไปเที่ยว แนะนำไปกับทัวร์ดีกว่า มีร้านขายทัวร์อยู่เต็มตัวเมืองไปหมด*
*ข้อมูลการเดินทางส่วนใหญ่ ได้มากจากในพันทิพนี่แหละค่ะ ขอบคุณสำหรับรีวิวเมืองตรังก่อนหน้านี้ทุกอันเลยนะคะ ที่ทำให้เราไม่หลงทาง ก๊ากกกกกกกก*
เริ่มแรกเลย คือมาขึ้นสถานีรถไฟ ณ สถานีกรุงเทพ/หัวลำโพงนั่นเองจ้า เดินทางสะดวกทีเดียว แค่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน จากหมอชิตมาโผล่ที่ปลายสถานีก็ได้แล้ว
เดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะมาถึงชานชาลาด้านใน ขบวนไหนไปไหนจะมีป้ายปักบอกทางอยู่
จริงๆก่อนหน้านี้ มีคนเชียร์ให้ไปเครื่องบิน เพราะราคาใกล้ๆกัน แถมยังรวดเร็วกว่า
แต่เราบอก "ไม่" อาจจะฟังแปลก แต่เราหลงเสน่ห์รถไฟไทยมากค่ะ
ป้ายบอกรถออก 17.05 น.
แต่เอาเข้าจริง ยังไม่ทันออกจากขบวน เจ้าหน้าที่ก็เดินมาบอกเราว่า "รถเสียเวลานะฮาฟฟฟฟฟ"
หัวรถจักรที่เก่าแก่ไปตามกาลเวลา
เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆเพื่อตามหาโบกี้ตามที่เราซื้อในตั๋ว
เจอแล้ววววววววววววว โบกี้ที่ 9 เลขสวยแท้หนอ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไปตามหาที่นั่งบนรถไฟได้เลยค่ะ
ที่เก้าอี้จะมีตัวเลขบอกไว้ เตียงบนเลขคี่ เตียงล่างเลขคู่จ้า
ที่นั่งจะมีหน้าตาแบบนี้ ถ้าของไม่เยอะ แค่เป้ใบเดียวอย่างเรา นั่งสบายมากมายค่ะ
วางของเสร็จแล้วเราก็แอบเดินมาสำรวจตู้เสบียง หน้าตาดูดีกว่าที่คิดไว้เลย
แต่ของกินแพงเว่อร์ แนะนำถ้าอยากประหยัด ซื้อของกินจากข้างล่างเถอะนะคะ
เพราะเมนูบนรถไฟ แค่ข้าวต้มธรรมดาก็ล่อไปเกือบร้อยบาทแล้ว
แต่ถ้าใครอยากกินเอาบรรยากาศ ลองสักนิดย่อมไม่เสียหาย
ส่วนตัวเราไม่ได้ลอง เพราะงบเราน้อยนิด เลยแอบมาส่องห้องเสบียงก็พอ
กฎของห้องเสบียงคือ ห้ามเอาอาหารใดๆมาทานนะคะ และถ้าจะนั่ง ควรสั่งอาหารด้วยจ้า
พอรถไฟเริ่มออกจากชานชาลา เราก็หยิบเพื่อนคู่ใจมายลโฉม
ที่หัวลำโพงคนยังขึ้นไม่เยอะเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะอยู่บางซื่อกันซะมาก
อันนี้คือหน้าตาของตั๋วรถไฟนะคะ เก็บไว้ห้ามหาย เดี๋ยวเขาจะมาตรวจตั๋วเราค่ะ
รถไฟเริ่มเคลื่อนที่เรื่อยๆแล้ว พอถึงสถานีนครปฐม จะราวๆทุ่มกว่าพอดี ตอนนี้ เจ้าหน้าที่จะเริ่มมากางเตียง
อันนี้สภาพของเตียงบนค่ะ ดูเล็ก แต่ว่านอนสบายพอดู แถมมันรู้สึกสนุกดีพิลึก
แนะนำเตียงบนค่ะถ้าใครชอบอะไรที่มันต้องปีนๆป่ายๆ(?) แต่คนนอนดิ้นอย่างเสี่ยงนะ 555
ถ้าเตียงล่างก็สะดวกสบายไปอีกแบบ แถมดีตรงที่ตื่นมาตอนเช้าได้นั่งมองวิวข้างรถไฟด้วย
เจ้าหน้าที่มากางเตียงแล้ว อยากบอกว่า ถ้ามีรางวัลโหวตพนักงานดีเด่น เราจะโหวตพี่คนนี้ค่ะ!
คุยสนุก บริการดี และเฟรนด์ลี่มาก ถามอะไรก็ตอบหมดเลย
สภาพภายในโบกี้หลังจากปูเตียงเสร็จแล้ว ใครขี้หนาว แพ้อากาศเย็น เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยนะคะ เพราะหนาวบัดซบ
หลังจากนั้นเราก็ปีนขึ้นเตียงนอน เกลือกกลิ้ง อ่านหนังสือ
สักพักราวๆสามทุ่มกว่า รถมาถึงสถานีราชบุรีค่ะ
เราที่กำลังเคลิ้มๆใกล้กลับ ได้ยินเสียงจากพนักงานห้องเสบียง เขาเดินผ่านไปมาแล้วพูดว่า
"มีคนตาย"
มีคนตายจริงๆค่ะ ทำให้รถไฟเสียเวลาอีกชั่วโมงกว่า
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเนื่องจาก ผู้ตายขึ้นมาส่งญาติบนรถไฟ แล้วไม่ยอมกลับลงไปค่ะ พอรถไฟออกจากสถานีแล้ว ก็พยายามกระโดดลง
แต่คงมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จึงเกิดอุบัติเหตุ
(ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตนะคะ)
แล้วก็เป็นอุทาหรณ์ด้วย อย่าเสี่ยงด้วยการไปยืนเกาะที่ประตูเลยค่ะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเนอะ
ตื่นเช้ามาก็เจอสถานีนี้แล้ว จำไม่ได้ว่าสถานีอะไร แต่เริ่มมีคนขึ้นมาขายของบ้างแล้วค่ะ
ใครขึ้นรถไฟสายใต้ ไม่ต้องกลัวอดเลยจ้า มีของกิน ของฝากขึ้นมาขายตลอดทาง
แม้จะรู้ว่าอันตราย แต่จขกท ก็ยังแอบซนมาถ่ายรูป - _ -
อันนี้เป็นสภาพของตลาดข้างทางรถไฟค่ะ เสียดายจอดแวะแค่แปบเดียว ใจจริงเราอยากเดินลงไปหาของกินมาก
ปกติไม่ใช่คนหิวบ่อย แต่เหมือนว่ารถไฟมันเขย่าจนลำไส้ปั่นป่วนไปหมด
รถไฟขบวนตรัง จะแวะจอดที่สถานีทุ่งสงนานประมาณ 5-10 นาที ระหว่างนี้จะมีไก่ทอดข้าวเหนียวมาขาย ถึงตรงนี้คนจะลงจนเกือบหมดแล้ว
เพราะเขาจะตัดขบวนอีกเส้นไปทางหาดใหญ่หรือยังไงนี่แหละ พอพ้นทุ่งสง ก็จะวิ่งยาวอีกราวชั่วโมงกว่า
หน้าตาสถานีทุ่งสง มีไก่ทอดข้้าวเหนียวด้วย แต่ไม่ได้ซื้อ ซึ่่งพลาดมากกกก เพราะรถไฟเสียเวลาไปประมาณ 3 ชั่วโมง
จริงๆต้องถึงตรังตั้งแต่ 8.05 แต่เวลาจริงปาไป 11 โมงแน่ะ
ระหว่างรอเติมน้ำมัน สับขบวน เราก็กระโดดลงมาถ่ายรูปสักนิด
ถึงตอนนี้รถไฟก็วิ่งยิงยาวแล้วค่ะ เราหนีไปนั่งที่ห้องเสบียงด้วย เนื่องจากไม่มีผู้โดยสารแล้ว
พนักงานก็ไม่ว่าอะไร เลยนั่งกินลมชมวิวเรื่อยเปื่อย ตลอดข้างทางมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า วัวควาย ภูเขา
ใครไม่รีบ ใครอินดี้ ใครชอบอะไรชิวๆ รถไฟไทยเป็นอะไรที่ได้ใจมากขอบอกกกกกก
แล้วก็มาถึงสถานีรถไฟตรังแล้วววววววววววววววว
ถึงตอนนั้นก็หิวจนหน้ามืด รีบเดินทางเข้าบ้านญาติโดยพลัน ฟาดของกินเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เดี๋ยวดึกๆแวะมาเพิ่มนะคะ ตอนนี้ขอตัวไปหาอะไรใส่หลุมดำในท้องก่อน