ระบบเงินดอลล่ากำลังจะพังทลาย เมื่อหลายชาติกำลังรวมหัวกันทิ้ง !!!

บทความโดย http://www.deerfreedom.blogspot.com/2013/07/blog-post.html#more

ล่าสุดมีการรายงานข่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า รัฐบาลจีนกำลังจะเลิกใช้เงินดอลล่าเป็นสกุลอ้างอิงและใช้ทองคำเป็นมาตรฐานหนุนหลังเงินหยวนเพื่อปฏิวัติระบบการเงินโลกใหม่....

http://rbth.asia/business/2013/07/17/china_reportedly_planning_to_back_the_yuan_with_gold_47997.html

จากภาพจะเห็นว่าในยุคที่ระบบการเงินโลกใช้ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีจำกัดเป็นสินทรัพย์หนุนหลังเงินกระดาษ ทำให้ระบบเงินเฟ้อของโลกอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ เพราะทองคำมีจำกัด



สมัยก่อนจะพิมพ์ธนบัตรออกใช้ได้ จะต้องมีทองคำอย่างเดียวเท่านั้นเป็นทุนสำรอง 100% ประเทศอังกฤษนับเป็นประเทศแรกที่ใช้มาตรฐานทองคำ ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1821 ทำให้เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษเป็นเงินตราสกุลหลักที่มีเสถียรภาพและทรงมูลค่ามากที่สุดในยุคนั้นเพราะว่าใช้ ทองคำบริสุทธิ์หนุนไว้ในการผลิตธนบัตร แต่ละประเทศก็พยายามรักษาเสถียรภาพและคุณค่าของเงินตราประเทศตนเองไว้ และในหลายๆประเทศเริ่มประกาศใช้มาตรฐานทองคำแบบเช่นอังกฤษในช่วงปี 1876 ในช่วงนั้นแต่ละประเทศก็ใช้ทองคำหนุนหลัง 100% ดังเช่นอังกฤษเป็นต้นมา

หลังจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจในสมัยนั้นจากผู้นำในการชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงทำให้สหรัฐเป็นผู้นำของโลกนับแต่นั้นมา อำนาจในมือของสหรัฐล้นเหลืออย่างหาที่สุดไม่ได้ จนกระทั่งปี 1971ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐ ได้ออกมาประกาศยกเลิกการใช้ทองคำหนุนหลังธนบัตร

การประกาศยกเลิกนั้นทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นเพียงชาติเดียวที่สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเป็นปริมาณเท่าใดก็ได้ และในปี 2008 เกิดวิกฤติอสังหาแตกในอเมริกา และ FED ก็ได้พิมพ์เงินดอลล่าออกมาใช้มากกว่าระดับปกติถึง 3 เท่าตัว เพื่อเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงเศรษฐกิจเพราะ รัฐบาลเองประสบปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่สามารถใช้นโยบายการคลังอุ้มได้แล้ว



ตั้งแต่มีการตั้ง FED ในปี 1913 และประธานาธิบดีนิกสันยกเลิกผูกเงินดอลล่ากับทองคำในปี 1971  FED เองก็มีหน้าที่ในการควบคุมการผลิตเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจอเมริกาและจะเห็นว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาภาวะเงินเฝืดก็แทบไม่เคยปรากฏบบเศรษฐกิจอเมริกาอีกเลย และด้วยเงินดอลล่าคือสกุลเงินหลักของโลก ทำให้ภาวะข้าวของแพงระบาดหนักไปทั่วโลก

และมันเป็นจุดเริ่มความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอเมริกันในทศวรรษหน้า

จากคอลัมน์ เดินคนละฟาก  โดย กมล กมลตระกูล  ประชาชาติธุรกิจ  วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550 กล่าวว่า

การซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกกำลังจะเปลี่ยนไปใช้เงินตราสกุลอื่น เช่น ยูโร หรือเยน ที่เกิดจากการผลักดัน ของประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา และล่าสุด ในการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันหรือโอเปก (OPEC) ครั้งที่ 146 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่เมืองอาบู ดาบี ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ผ่านมานี้ อิหร่านได้กระโดดเข้ามาผลักดันแนวคิดนี้อย่างจริงจัง โดยเสนอให้ตั้งธนาคารโอเปกขึ้นมา และให้เลิกซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกด้วยเงินดอลลาร์

ทำไมการเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นการคุกคามเศรษฐกิจอเมริกา

ปีที่แล้วอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (current account deficit) $811 พันล้านเหรียญ - 8.11 ล้านล้านเหรียญ หรือ 6% ของจีดีพี ตัวเลขนี้ คือ รายจ่ายที่มากกว่ารายรับ

การที่อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่สามารถ ขาดดุลชำระเงินและขาดดุลการค้าได้มากขนาดนี้ หรือ เรียกว่า "การขึ้นรถฟรี (free rider)" ก็เพราะได้ใช้อิทธิพลทำข้อตกลงกับกลุ่มประเทศโอเปกเมื่อปี 1971 ให้การซื้อขายน้ำมันโลกใช้เงินดอลลาร์เพียงสกุลเดียว

ข้อตกลงนี้ทำให้ทุกประเทศที่บริโภคน้ำมัน ต้องสะสมเงินดอลลาร์เพื่อใช้ในการซื้อน้ำมันเข้าประเทศ และการซื้อขายน้ำมันโลกร้อยละ 85 ซื้อขายกันนอกประเทศสหรัฐอเมริกา และหมุนเวียนกันอยู่ภายนอกอเมริกา

ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกลางสหรัฐจึงสามารถพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาได้อย่างไม่จำกัด (ตามข้อตกลงของไอเอ็มเอฟ โดยที่ไม่ต้องมีทองคำมาสำรองตามจำนวนที่พิมพ์ออกมา) และไม่ต้องหวั่นว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นภายในประเทศ

เงินที่พิมพ์ออกมานี้ก็คือเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าหรือจ่ายหนี้ให้ประเทศที่อเมริกานำเข้าสินค้า มาตรฐานชีวิตคนอเมริกัน จึงสูงที่สุดในโลก เพราะพิมพ์เงินออกมาซื้อฟรี กินฟรีสินค้าจาก ทั่วโลก หรือลงทุนในประเทศอื่นๆเพื่อหากำไร ส่งกลับเข้าประเทศ ประเทศที่ขายสินค้าให้ อเมริกาก็นำเงินดอลลาร์มาเป็นเงินสำรอง หรือนำมาไว้ใช้ซื้อน้ำมันมาบริโภค และเพื่อนำเข้ามาผลิตสินค้าไว้ขายอเมริกาต่อไปเป็นวงจร

หรือไม่ก็นำมาซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอเมริกัน (U.S. Treasury Bonds) ซึ่งก็คือ นำเงินที่ขายสินค้าได้ดุลมาให้อเมริกาที่เป็นผู้บริโภคกู้เพื่อนำมาซื้อสินค้ากลับไปกินไปใช้ใหม่ (recycle)

ตัวเลขในปี 2007 จีน ถือพันธบัตรอเมริกันไว้ทั้งสิ้น 396.7 พันล้านเหรียญ หรือเกือบๆ 4 แสนล้านเหรียญ ส่วนญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ที่สุดของอเมริกา คือ 582.2 พันล้านเหรียญ หรือเกือบ 6 แสนล้านเหรียญ

ประเทศผู้ขายน้ำมันก็นำเงินดอลลาร์มาขาย ในตลาดเงิน - Foreign Exchange Markets (Forex) เช่น ที่ลอนดอน หรือนิวยอร์ก สิงคโปร์ ให้ประเทศที่ต้องการบริโภคน้ำมันซื้อไปเพื่อใช้ซื้อน้ำมันต่อไป

เงินดอลลาร์จึงหมุนเวียนอยู่ภายนอกอเมริกาเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีติดต่อกันมา

แต่วงจรนี้กำลังจะถูกทำให้สะดุด และอเมริกาจะยอมไม่ได้ เพราะว่าถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้น หนี้สินจำนวน 8.11 ล้านล้านเหรียญที่อเมริกา เป็นหนี้ชาวโลก ก็ต้องหามาจ่าย และอเมริกาก็ไม่มีเงินนี้จ่าย นอกจากจะต้องขายทรัพย์สิน หรือบริษัทไปสักครึ่งประเทศ

ประธานาธิบดีซัดดัมแห่งอิรักบังอาจท้าทาย ความเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของอเมริกา โดยขายน้ำมันของตน ด้วยเงินยูโรแทนดอลลาร์ ในปี 2000 และเปลี่ยนเงินสำรองประเทศของตนเป็นยูโรด้วย ทำให้หลายๆ ประเทศ ที่ซื้อน้ำมัน จากอิรักต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

ความต้องการ (demand) ดอลลาร์ในตลาดโลกจึงทยอยลดลง ในปี 2002 เงินดอลลาร์ มีค่าลดลงร้อยละ 18 พอถึงปี 2003 อเมริกา จึงบุกอิรัก โดยอ้างว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ (อิหร่าน อาจจะโดนเช่นเดียวกัน) จากนั้นก็เปลี่ยนการ ซื้อขายน้ำมันของอิรักจากเงินยูโรกลับมาเป็น เงินดอลลาร์ใหม่

อิหร่านเริ่มยุติการซื้อขายน้ำมันของตนจากเงินดอลลาร์มาเป็นเงินยูโรแทนเมื่อปี 2003 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่าเงินดอลลาร์ก็ลดลงแล้วถึงร้อยละ 30 ในวันนี้ ตามหลักความต้องการซื้อ (demand) และความต้องการขาย (supply) เมื่อความต้องการซื้อลดลง ราคาของสิ่งนั้นก็ลดตามด้วย

การแก้เกมของอเมริกาคือ การปั่นราคาน้ำมันโลกให้สูงขึ้นเพื่อสร้างความต้องการซื้อดอลลาร์ให้อยู่ในระดับเดิม ทุกวันนี้ราคาน้ำมันจึงพุ่งทะยานขึ้นเกือบแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว

ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล อเมริกาอาจจะตัดสินใจ โจมตีอิหร่านเหมือนเช่นที่ทำกับอิรักด้วยเหตุผลเดียวกันคือ กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยใช้ยุทธวิธี "โจมตีก่อนแล้วพิสูจน์ทีหลัง" (pre-emptive strike )

อย่างไรก็ตามอิหร่านเป็นประเทศใหญ่กว่าอิรักมาก มีประชากรมากกว่า ถ้าอเมริกาโจมตี และเข้ายึดครอง ก็อาจจะเป็นสงครามยืดเยื้อกว่าสงครามอิรัก และอาจจะต้องลงทุนด้วยชีวิต ทหารอเมริกันมากกว่าอิรักอีกหลายเท่า

คนอเมริกันจำนวนมากจึงไม่เห็นด้วย รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ รัฐบาล และสื่อมวลชน ดังนั้นจึงมีรายงานวิจัย เผยแพร่ออกมาว่าอิหร่านได้ยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาแล้วตั้งแต่ปี 2003 เพื่อป้องกัน ไม่ให้ประธานาธิบดีบุชโจมตีอิหร่านเสียก่อน แล้วพิสูจน์ทีหลัง

ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ก็ยุติการขาย น้ำมันของตนด้วยเงินดอลลาร์ไปแล้ว แต่ขายเป็นเงินยูโรแทน ดังนั้นโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่ากลับมามีอิทธิพลในตลาดเงินโลกเหมือนเดิมจึงมีโอกาสน้อย หรือเป็นไป ไม่ได้เลย

สถานการณ์ข้างต้นเป็นสัญญาณขาลงของอภิมหาอำนาจที่ครองความเป็นเจ้ามาเป็นเวลาเกือบ 60 ปี ซึ่งสั้นกว่ายุคล่าอาณานิคมที่ยาวนานเป็นร้อยปี

ปัจจุบัน FED มีแผนจะหยุดพิมพ์เงินเข้าระบบเศรษฐกิจเมื่อเห็นสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว ... แต่สัญญาณที่ว่ามันยังเลือนลางมาก สิ่งที่เป็นหายนะตามมาคือ ปัจจุบัน FED พิมพ์เงินออกมาซื้อตราสาร MBS และ Long-Term Bond เพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยายาว ดังนั้นถ้าตลาดไม่เชื่อฟังอย่างเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา 10 Year Treasury Yield กระโดดจาก 1.5 ไป 2.7 ตัว FED เองจะขาดทุนจากตราสารหนี้ที่ถือมหาศาล

และปัจจุบันแบงค์ในอเมริกามีเงินสำรองมากกว่า require reserve ถึง 16 เท่า แสดงว่าเงินจำนวนมากกองไว้ที่แบงค์ เพราะภาคเอกชนไม่ยอมกู้เงิน ทำให้เงินไม่ไหลไปสู่เศรษฐกิจจริง ดังนั้นเมื่อใดที่เอกชนกลับมากู้เงินอีกครั้งและ FED สูบเงินออกจากระบบเศรษฐกิจจริงไม่ทัน หายนะจะมาเยือนชาวโลกแน่นอน เพราะมันจะเกิดภาวะ Hyperinflation ....!!

จีนจะเปลี่ยนโลกได้ ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจจีนเชื่อมโยงกับโลกมากพอ แล้ววันนั้นโลกจะใช้เงินหยวนเป็นทุนสำรองของทุกชาติอัตโนมัติ เพราะทุนสำรองเป็นที่เก็บสินทรัพย์เพื่อการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นเมื่อทุกประเทศค้าขายกับจีนมากขึ้น เงินหยวนจะครองโลกเอง

เมื่อจีนเป็นใหญ่ ระเบียบโลกใหม่จะเปลี่ยน

อ้างอิง http://www.deerfreedom.blogspot.com/2013/07/blog-post.html#more
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่