‘ดาวเรือง’ ละครน้ำดีช่อง 3 สะท้อนอะไรสังคมไทย???

เครดิต : http://www.isranews.org/component/content/article/22490-



‘ดาวเรือง’ ละครน้ำดีช่อง 3 สะท้อนอะไรสังคมไทย???
วันเสาร์ที่ 20 กรกฏาคม 2013 เวลา 00:39 น. เขียนโดย พราวกระซิบ หมวด เรื่องเด่น

ความสำเร็จของ ‘ดาวเรือง’ ผลงานประพันธ์ ‘ทมยันตี’ ที่ออนแอร์ทางช่อง 3 กำลังสะท้อนความเป็นไปบางอย่างในสังคมไทย หลายคำพูดล้วนถูกรังสรรค์และหยิบยกขึ้นถ่ายทอดเพื่อหวังให้คนไทยได้ฉุกคิด



ออกอากาศไม่กี่สัปดาห์ ดูเหมือนละคร ‘ดาวเรือง’ จากปลายปากกาของศิลปินแห่งชาติ ‘ทมยันตี’ แห่งค่าย โนพรอบเบลม ที่คุณแหม่ม-ธิติมา สังขพิทักษ์ ผู้จัดลูกหม้อช่อง 3 คุมบังเหียน จะได้รับกระแสตอบรับที่ดี ด้วยคู่พระนางอย่าง ‘ปอ ทฤษฎี สหวงษ์’ รับบท ปลัดจินตวัฒน์ และ ‘ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์’ รับบท ดาวเรือง โชว์ฝีไม้ลายมือเคมีทางการแสดงช่างลงตัว จนป้า ๆ แถวบ้านติดกันงอมแงม โดยเฉพาะประโยคฮิตติดหู ‘เชื่อหัวไอ้เรือง’ นอกจากนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘หมอก้อง สรวิชญ์ สุบุญ’ ที่ถ่ายทอดบทบาท ‘ไอ้วรรณ’ จนทิ้งภาพหมอในชีวิตจริงได้สิ้นคราบ ยังไม่นับรวมนักแสดงรุ่นเก๋าที่ร่วมทัพสร้างความสนุกอย่างคับคั่งยิ่งทำให้ละครเรื่องนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

‘ดาวเรือง’ เป็นเรื่องราวของเด็กสาวแก่นเซี้ยวที่ทำงานเพื่อเลี้ยงดู ‘บานชื่น’ ผู้เป็นแม่ และส่งเสีย ‘พฤกษ์’พี่ชายคนเดียวเรียนหนังสือ โดยมีสหายคู่ใจอย่างไอ้เพี้ยนคอยเป็นสมุนสร้างปั่นป่วนอีกแรงหนึ่ง จนมีกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความเจ้าเล่ห์ ซุกซนไปทั่วหมู่บ้าน โดยเฉพาะการต้มเหล้าเถื่อนขาย แม้ ‘จ่าแม่น’ จะคอยไล่จับก็แพ้หัวไอ้เรืองทุกครั้ง

กระทั่งปลัดหนุ่มไฟแรงจากกรุงเทพฯ ‘ปลัดจินตวัฒน์’ มารับงานดูแลท้องถิ่นนี้ ได้เริ่มพัฒนาหมู่บ้านเรื่อยมา และพยายามหาทางให้ดาวเรืองหยุดต้มเหล้าเถื่อนขาย โดยบังคับให้เป็นผู้ช่วยของตนเอง และจุดนี้เองได้นำมาสู่ความรักความผูกพันของพระนางทั้งสอง ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวเบาสมอง แต่แฝงแง่คิดคับจอแก้ว

ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า  2 แง่คิดที่ถ่ายทอดออกมาจากละครอย่างเด่นชัดนั้นช่างสอดคล้องและประจวบเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันในสังคมไทยอย่างยิ่ง...

‘เกษตรอินทรีย์’ ถูกสอดแทรกในเรื่องราวค่อนข้างมาก จนแทบจะเป็นแกนหลักที่ต้องการสื่อสารไปยังคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกร ให้ดำรงอยู่ภายใต้วิถีพอเพียง หันมาเพาะปลูกและบริโภคพืชผักสวนครัวแบบเกษตรอินทรีย์ปลอดสารเคมี ผ่านโครงการดี ๆ ของ ‘ปลัดจินตวัฒน์’ แม้ระยะแรกชาวบ้านจะไม่เชื่อว่าการทำเกษตรแบบอินทรีย์นั้น จะเกิดผลดีต่อผลิตผลได้ แต่อย่างน้อยตัวเอกของเรื่องอย่าง ‘ดาวเรือง’ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หล่อนเลี้ยงเป็ดแบบอินทรีย์ได้

อย่างไรก็ตาม โครงการเกษตรอินทรีย์ของปลัดหนุ่มกลับถูกผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้าน อย่าง ‘เสี่ยกำพล’ และ ‘ผู้ใหญ่ผัน’ ขัดขวาง เพียงหวังจะขายสารเคมีทางการเกษตรแก่ชาวบ้านเพื่อเอากำไรเท่านั้น ทั้งที่รู้แก่ใจว่าการใช้สารเคมีไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่กลับจะให้โทษมากกว่า

นอกจากนี้ ปัญหาคอร์รัปชั่น ได้ถูกถ่ายทอดแฝงในตัวละคร ‘ปลัดจินตวัฒน์’ และ ‘จ่าแม่น’ ต่อเนื่อง แทบทุกสัปดาห์ที่มีการออกอากาศ โดยฉายภาพการทำหน้าที่ของข้าราชการ 2 คนที่ตั้งใจทำงานอย่าง รอบคอบ ไม่เข้าข้างฝ่ายใด นอกจากความถูกต้องและเที่ยงตรง แม้จะได้รับการร้องขอจากบุคคลรอบข้างที่สนิทสนม พวกเขาก็ยังเข้มแข็งและมุ่งมั่นยึดหลักจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างมั่นคง

ผิดกับ ‘กำจร’ ผู้ช่วยปลัดหนุ่มที่พยายามไหลตามน้ำเพื่อความอยู่รอดของตนเอง แต่สุดท้ายเมื่อหัวเรือใหญ่อย่าง ‘ปลัดจินตวัฒน์’ ปฏิเสธการคอร์รัปชั่นแล้ว ทำให้ ‘กำจร’ เกิดความมั่นใจและศรัทธาในตัวผู้นำคนนี้ จนไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ๆ นอกจากการหันมายึดแบบอย่างปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เที่ยงตรง และเที่ยงธรรม ดังเช่นเจ้านายของตนเอง

นับเป็นเรื่องราวที่เรียกว่าอาจเป็นความตั้งใจทีมงานละครเรื่องนี้ ที่มุ่งถ่ายทอดมุมมองข้อเท็จจริงในสังคมไทยให้แฝงไว้ในคำพูดของตัวละคร ที่เชื่อว่าจะโน้มน้าวใจของผู้ชมให้ฉุกคิดถึงความเป็นไปในสังคมไทยปัจจุบันได้บ้าง

เพราะโลกแห่งความจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยกำลังประสบปัญหามากมายหลากหลายคล้ายคลึงกับละคร โดยเฉพาะปัญหาการคอร์รัปชั่นที่เห็นได้เป็นดอกเห็ดในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ตั้งแต่โครงการระดับเล็กในชุมชน จนถึงโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติ แม้แต่ในสถานศึกษาก็ไม่เว้น อย่างไรก็ตาม เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลและองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ที่รณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่น หากแต่ความจริงดูเหมือนเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์ที่ขาดความเป็นรูปธรรมเท่านั้น

นอกจากนี้การส่งเสริมให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร เพื่อหวังลดต้นทุนการผลิตและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย ทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เพราะหลายคนยังไม่เชื่อว่า วิธีการแบบอินทรีย์นั้น จะช่วยให้ผลผลิตของตนเองดีขึ้นได้ จนในที่สุดวงโคจรชีวิตเกษตรกรเดิม ๆ ยังคงวงเวียนต่อไปไม่มีจุดจบ พร้อมคำว่า ‘หนี้’ ติดตัวไปตลอดชีวิต

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคตรัฐบาลคงมีนโยบายขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ภายใต้วิถีความพอเพียงอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตราบใดที่ไทยยังต้องการเป็นแหล่งผลิตอาหารอันดับต้น ๆ ของโลก เพื่อเลี้ยงประชากรกว่า 9,000 ล้านคนในอนาคต แนวคิดข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ท้ายที่สุด สำนวนที่ว่า “ดูละครแล้วย้อนดูตัว” ได้พิสูจน์ไว้เป็นแบบอย่างในละครเรื่องนี้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและประเทศชาติอย่างถูกทาง...เอวัง .
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่