ข่าว top

กระทู้สนทนา
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- เสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 00:00:34 น.
บริษัทไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)ผู้นำธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย บริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไทยออยล์ และ บริษัท Trading ชั้นนำของญี่ปุ่นที่มีเครือข่ายการค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญต่อยอดธุรกิจเป็นผู้บุกเบิกด้านการผลิตสาร LAB ที่ครบวงจรที่สุดรายแรกของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเปิดตัวบริษัทร่วมทุนในนาม บริษัท ลาบิกซ์ จำกัด ในฐานะผู้ผลิตสาร LAB (Linear Alkyl Benzene)ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและการซักล้างด้วยนวัตกรรมล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเงินลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาท


การร่วมทุนในครั้งนี้จัดเป็นโครงการใหญ่ระดับชาติระหว่างไทยและญี่ปุ่นของปีนี้ นอกจากจะทำให้เกิดการสร้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวแล้วยังช่วยลดการขาดดุลการค้าและค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสาร LAB ถึง 3,500-4,000 ล้านบาท ต่อปี และสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างน้อย 6,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้มากขึ้นเพื่อรองรับการเข้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี แล้วยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยญี่ปุ่นชื่นชมประเทศไทยว่ามีไมตรีจิตมิตรภาพ นอกเหนือจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มากด้วยศักยภาพ

นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า "ด้วยความมุ่งมั่นของเครือไทยออลย์ ในการเป็นผู้นำธุรกิจเชิงบูรณาการด้านการกลั่น และปิโตรเคมีที่มีความต่อเนื่องอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กอรปกับพันธกิจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่บนพื้นฐานแห่งความเชื่อมั่นเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน มุ่งเน้นหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคมตลอดระยะเวลาในการทำธุรกิจเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนบริษัทฯ โดยบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไทยออยล์ ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จึงได้จับมือกับ บริษัท มิตซุย แอนด์คัมปนี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ค้า สาร LAB(Linear Alkyl Benzene)รายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการก่อตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อผลิตสาร LAB ได้เป็นรายแรกของประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าสารดังกล่าวจากต่างประเทศแล้วยังสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างน้อย 6,000 ล้านบาทต่อปี ช่วยสร้างงานและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่ชุมชน"

"เครือไทยออยล์ได้เริ่มทำการศึกษาเพิ่มมูลค่าสารเบนซีน และพบว่าอนุพันธ์ของสารเบนซีน(Bezene Derivative)ที่มีศักยภาพทางธุรกิจและเหมาะสมกับเครือไทยออยล์ที่สุด คือ สาร LAB ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารซักล้างโครงการผลิตสาร LAB ใช้วัตถุดิบหลัก คือสารเบนซีน(Bezene)และน้ำมันก๊าด(Kerosene)ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของเครือไทยออยล์ โดยกระบวนการผลิตทั้งหมดจะถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับโครงสร้างการผลิตของเครือไทยออยล์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะทำให้โครงการมีความได้เปรียบในด้านการผลิตเมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่นๆ นอกจากนี้เครือไทยออยล์ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตของบริษัท UOP ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมีความปลอดภัยสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในอุตสาหกรรม LAB และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาขึ้นล่าสุด เพื่อให้ได้หน่วยผลิต LAB ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีต้นทุนการผลิตต่ำและช่วยเพิ่มขีดความในการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้สถานที่ตั้งโครงการอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากสามารถขนส่งสินค้าได้ทั้งทางทะเล และทางรถยนต์ ทำให้บริษัทสามารถขนส่งผลิตภัณฑ์ไปยังลูกค้าทั้งในประเทศและส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ"นายวีรศักดิ์ กล่าวเสริม

นายคาซุยะ โอกามูระ เจ้าหน้าที่และประธานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี จำกัด กล่าวว่า "มิตซุยแอนด์คัมปนี  ประวัติยาวนานกว่า 40 ปีในการค้า LAB โดยทางบริษัทได้สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าบนพื้นฐานของความไว้วางใจ โดยไม่มีบริษัทอื่นใดที่สามารถทำการตลาดมาได้อย่างยาวนานเช่นมิตซุยแอนด์คัมปนี โดยในปัจจุบัน ทางบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนการตลาดได้เกินกว่า 40% สำหรับตลาดในประเทศไทย จากความรู้,ประสบการณ์,บุคลากรและการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ทางบริษัทได้ประยุกต์สร้างธุรกิจผ่านการร่วมลงทุนล่าสุดกับไทยออยล์ใน LABIX ทางบริษัทจะเข้าทำการสนับสนุนทางด้านการขายและการตลาด แม้ว่าเราไม่สามารถที่จะเจาะจงถึงลูกค้าได้ในวันนี้ กล่าวได้ว่าลูกค้าที่สำคัญจะเป็นกลุ่มผู้ผลิตผงซักฟอกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น เวียตนาม,ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยพม่านั้นจะเป็นจุดต่อไปในอนาคต"

"LABIX จะเป็นโรงงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ผลิตวัตถุดิบสำหรับผงซักฟอกโดยทางบริษัทรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงทุนรวมถึงมีส่วนร่วมในโครงการนี้กับไทยออยล์ จากการใช้วัตถุดิบจากโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน รวมถึงเป็นการผลิตภายในประเทศเพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมในประเทศ ทำให้ลักษณะการประกอบกิจการมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง ทั้งยังได้รับการขับเคลื่อนจากพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยทางด้านการปฏิบัติการจากไทยออยล์ และด้านการตลาดจากมิตซุยแอนด์คัมปนี โดยทางบริษัทมีความเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก อันเนื่องจากเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เคมีพื้นฐานจากโรงกลั่น รวมถึงเป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนในบริเวณนั้นด้วย โดยทาง LABIX จะเริ่มจำหน่าย LAB ให้กับลูกค้าในช่วงเวลาเดียวกับที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเริ่มต้นขึ้นในปี 2015 ทางบริษัทอยากที่จะเน้นย้ำว่าโครงการนี้จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับไทยออยล์และมิตซุยแอนด์คัมปนี รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่น"นายโอกามูระ กล่าวเพิ่มเติม

"ตลาดของสาร LAB มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการสารทำความสะอาดและซักล้าง โดยความต้องการสาร LAB ในตลาดโลกปี 2555 อยู่ในราว 3.2 ล้านตันต่อปี โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 2-3% ต่อปี หรือมีความต้องการเพิ่มขึ้นประมาณ 70,000-100,000 ตันต่อปี โดยเอเชียมีอัตราการเติบโตสูงสุด เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก และเริ่มมีการยกระดับคุณภาพการดำรงชีวิต ความต้องการสาร LAB ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2555 อยู่ในราว 400,000 ตันต่อปี โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 3% ต่อปี ผู้บริโภครายใหญ่คือประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และไทย โดยโรงงานผลิตสาร LAB ในภูมิภาคฯนี้มีการนำเข้าสาร LAB สูงถึง 250,000 ตันต่อปี ฉะนั้นบริษัท ลาบิกซ์ จำกัดจะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน"นายคาซุยะ โอกามูระ กล่าวเสริม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่