...เรื่องราวทุกอย่างมันเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน เราได้รู้จักกับผู้หญิงคนนึง ได้คบกันและมาอยู่ด้วยกันที่บ้านเรา
หลังจากที่รู้จักกันได้ 1 ปี เราก็ได้ออกบวช ตั้งใจเอาไว้ว่าซัก 1 พรรษา สึกออกมาจะมาขอแต่งงานด้วย
เราได้บอกกับทางผู้ใหญ่ฝ่ายผู้หญิงไว้แล้ว แล้วก็ตัวเค้าด้วย ว่าจะมาขอ
หลังจากที่บวชมาได้ 1 เดือน (ยังไม่เข้าพรรษา) มีเหตุที่ทำให้เรากลับไปที่บ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้
เราไม่ได้พกโทรศัพท์เลย แต่ก็มียืมโทรศัพท์เพื่อนพระโทรหาญาติๆบ้าง เพราะเราอยู่วัดป่า มันไกลจากที่บ้านพอสมควร
ก็เลยไม่รู้ความเป็นไปในครอบครัว เพราะทุกคนในบ้านก็ไม่ได้พูดอะไรเลย อยากจะให้ปฏิบัติธรรมอย่างสงบ
แต่อยากจะบอกเลยว่า มันฝืนกิเลสมากๆในการจะเป็นพระ เราก็แค่โกนหัวห่มกลัด
พอกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกว่ามันแปลกๆไป ข้าวของที่อยู่ในห้องกระจัดกระจาย
พี่สาวเราก็เลยเล่าให้ฟัง หลังจากพระบวช ผู้หญิงคนนี้ก็เอาแต่ร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว
พวกพี่ๆก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่พักหลังเค้ากลับบ้านดึกบางทีไม่กลับเลย
จนในที่สุดเค้าก็ไปอบรมงานที่ต่างจังหวัด จากนั้นเค้าก็มาขนของออกไป
โดยที่คนในบ้านไม่มีใครได้เจอเค้าเลยตอนที่มาขนของ พอเรารู้เรื่องเราก็ได้โทรไปถามเค้า
แต่สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือ “ยังรอเราเหมือนเดิม” แต่เค้ากลับไปโกรธพี่สาวเรา ว่าทำไมถึงต้องเล่าให้เราฟังด้วย
แต่หลังจากที่คุยกันวันนั้น เค้าก็ไม่รับโทรศัพท์เราอีกเลย เค้าเคยบอกว่า เป็นพระไม่อยากคุย เดี๋ยวจะบาป
ซึ่งเราก็บอกแล้ว พระก็คนนะไม่ใช่จะบวชตลอดชีวิตส่ะหน่อย แต่เค้ากลับไม่ฟัง
ก่อนที่เราจะบวชเคยบอกไว้ว่า “ถ้าจะอยู่หรือจะไม่อยู่ ให้บอกกันนะ”
ต้องบอกเลยว่า เพราะมีผ้าเหลือห่มอยู่ มันเลยทำให้เรามีสติมากขึ้น
พอกลับไปถึงวัด เราก็เข้าไปอยู่ในกุฏิคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร อดข้าว ไม่นอน เพราะในหัวมันมีแต่เรื่องนี้ที่มันวนเวียน
จนเราต้องนั่งดูมันปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 วัน เราถึงออกจากกุฏิ แล้วเข้าไปกราบหลวงปู่
พอได้เจอหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า “สุดท้ายเราก็เอาอะไรไปไม่ได้” มันทำให้เราได้สติกลับมาคืนบ้าง
เราก็เลยเร่งความเพียร แต่สิ่งที่มันอยู่ในหัวก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ
เราถามตัวเองอยู่เสมอว่าการที่เรามาบวชเราได้อะไร เพื่ออะไร คำตอบมันมีอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ค่อยได้ คือธรรมมีอุปการะมาก สติ-สัมปชัญญะ
หลังจากออกพรรษา เราได้มีโอกาสไปหาญาติผู้ใหญ่ของผู้หญิงคนนั้น และบอกกับเค้าว่า ที่อาตมาเคยสัญญาไว้ก่อนบวช อาตมาทำให้ไม่นะ เพราะเราจะอาศัยโลกแค่วันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ไม่มี
จากวันบวชจนวันสึก รวมระยะเวลา 365 วัน ตอนนี้สึกมาได้ 27 วันแล้ว ความรู้สึกเหมือนจะอยู่ในโลกนี้ยากขึ้น
เพราะยังปรับตัวให้เข้ากับคนทางโลกไม่ได้ มีสิ่งนึงที่บอกตัวเองเสมอ “เราว่าเค้าไม่ได้ ถ้าเราว่าเค้าเรานี้แหละไม่ดี”
จะทำยังไงกับการอยู่ทางโลก? เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลย
สุดท้ายเราเอาอะไรไปได้บ้าง...
หลังจากที่รู้จักกันได้ 1 ปี เราก็ได้ออกบวช ตั้งใจเอาไว้ว่าซัก 1 พรรษา สึกออกมาจะมาขอแต่งงานด้วย
เราได้บอกกับทางผู้ใหญ่ฝ่ายผู้หญิงไว้แล้ว แล้วก็ตัวเค้าด้วย ว่าจะมาขอ
หลังจากที่บวชมาได้ 1 เดือน (ยังไม่เข้าพรรษา) มีเหตุที่ทำให้เรากลับไปที่บ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้
เราไม่ได้พกโทรศัพท์เลย แต่ก็มียืมโทรศัพท์เพื่อนพระโทรหาญาติๆบ้าง เพราะเราอยู่วัดป่า มันไกลจากที่บ้านพอสมควร
ก็เลยไม่รู้ความเป็นไปในครอบครัว เพราะทุกคนในบ้านก็ไม่ได้พูดอะไรเลย อยากจะให้ปฏิบัติธรรมอย่างสงบ
แต่อยากจะบอกเลยว่า มันฝืนกิเลสมากๆในการจะเป็นพระ เราก็แค่โกนหัวห่มกลัด
พอกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกว่ามันแปลกๆไป ข้าวของที่อยู่ในห้องกระจัดกระจาย
พี่สาวเราก็เลยเล่าให้ฟัง หลังจากพระบวช ผู้หญิงคนนี้ก็เอาแต่ร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว
พวกพี่ๆก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่พักหลังเค้ากลับบ้านดึกบางทีไม่กลับเลย
จนในที่สุดเค้าก็ไปอบรมงานที่ต่างจังหวัด จากนั้นเค้าก็มาขนของออกไป
โดยที่คนในบ้านไม่มีใครได้เจอเค้าเลยตอนที่มาขนของ พอเรารู้เรื่องเราก็ได้โทรไปถามเค้า
แต่สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือ “ยังรอเราเหมือนเดิม” แต่เค้ากลับไปโกรธพี่สาวเรา ว่าทำไมถึงต้องเล่าให้เราฟังด้วย
แต่หลังจากที่คุยกันวันนั้น เค้าก็ไม่รับโทรศัพท์เราอีกเลย เค้าเคยบอกว่า เป็นพระไม่อยากคุย เดี๋ยวจะบาป
ซึ่งเราก็บอกแล้ว พระก็คนนะไม่ใช่จะบวชตลอดชีวิตส่ะหน่อย แต่เค้ากลับไม่ฟัง
ก่อนที่เราจะบวชเคยบอกไว้ว่า “ถ้าจะอยู่หรือจะไม่อยู่ ให้บอกกันนะ”
ต้องบอกเลยว่า เพราะมีผ้าเหลือห่มอยู่ มันเลยทำให้เรามีสติมากขึ้น
พอกลับไปถึงวัด เราก็เข้าไปอยู่ในกุฏิคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร อดข้าว ไม่นอน เพราะในหัวมันมีแต่เรื่องนี้ที่มันวนเวียน
จนเราต้องนั่งดูมันปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 วัน เราถึงออกจากกุฏิ แล้วเข้าไปกราบหลวงปู่
พอได้เจอหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า “สุดท้ายเราก็เอาอะไรไปไม่ได้” มันทำให้เราได้สติกลับมาคืนบ้าง
เราก็เลยเร่งความเพียร แต่สิ่งที่มันอยู่ในหัวก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ
เราถามตัวเองอยู่เสมอว่าการที่เรามาบวชเราได้อะไร เพื่ออะไร คำตอบมันมีอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ค่อยได้ คือธรรมมีอุปการะมาก สติ-สัมปชัญญะ
หลังจากออกพรรษา เราได้มีโอกาสไปหาญาติผู้ใหญ่ของผู้หญิงคนนั้น และบอกกับเค้าว่า ที่อาตมาเคยสัญญาไว้ก่อนบวช อาตมาทำให้ไม่นะ เพราะเราจะอาศัยโลกแค่วันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ไม่มี
จากวันบวชจนวันสึก รวมระยะเวลา 365 วัน ตอนนี้สึกมาได้ 27 วันแล้ว ความรู้สึกเหมือนจะอยู่ในโลกนี้ยากขึ้น
เพราะยังปรับตัวให้เข้ากับคนทางโลกไม่ได้ มีสิ่งนึงที่บอกตัวเองเสมอ “เราว่าเค้าไม่ได้ ถ้าเราว่าเค้าเรานี้แหละไม่ดี”
จะทำยังไงกับการอยู่ทางโลก? เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลย