เชียงคาน...เมืองเล็กๆริมแม่น้ำโขง
เป็นอีกหนึ่งที่หมาย ที่เราได้ทักทายกันก่อนที่นางจะกลายเป็นเซเลป
หลังจากใช้เวลา 1 คืนเต็มๆ ไต่นาข้าวขั้นบันไดลงมาจากเชียงใหม่
เราก็มายืนสงบนิ่งอยู่ริมถนนกลางเมือง
รอเพียงไม่นานผู้หญิงท่าทางใจดีจากโฮมสเตย์
ก็ขี่มอไซต์ออกมารับเราที่ริมถนน
เราขับวนเข้าไปซื้อของในตลาดเล็กน้อย ก่อนจะเดินทางเข้าที่พัก
เราลงมาถึงที่นี่หลังวันหยุดยาว 1 วัน
เพื่อนร่วมบ้านหลายคนกำลังจะเช็คเอ้าท์
เราเอาสัมภาระไปเก็บก่อนจะหลบความวุ่นวาย
คว้ากล้องสะพายออกไปรอบๆหมู่บ้าน
เชียงคาน...
หมู่บ้านเล็กๆริมแม่น้ำโขง
เคยมีคนถามเราว่า ทำไมอยากจะมานักหนา
ก็เหมือนหมู่บ้านตามต่างจังหวัดทั่วไป
คนพูดมีพื้นเพเป็นคนอีสาน
แต่เราน่ะอยู่ใจกลางความเจริญของประเทศไทยมาตลอดชีวิต
ผิดเหรอ?... ที่เราโหยหาความสงบ
แปลกเหรอ?... ที่ชีวิตเรียบง่ายแบบชนบทมันตื่นตาสำหรับเรา
เราเดินชมนก ชมไม้เลาะเลียบไปตามชายโขง
ที่เห็นลิบๆคือฝั่งลาว ใกล้เหมือนจะเอื้อมมือถึง
เราห่างกันแค่แม่น้ำกั้น แต่ทำไมความต่างมันถึงสัมผัสได้ขนาดนี้
ทั้งที่มองเห็นได้ด้วยสายตาแท้ๆ
เราทิ้งภาพฝั่งลาวไว้ข้างหลัง
และใช้เวลาเพียงลำพังนั่งมองหมู่บ้านตรงหน้า
ปั่นจักรยานเพียงครึ่งวัน เรากับเชียงคานก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เชียงคานเหมือนปายเมื่อหลายปีก่อน
เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพัก แต่ก็ไม่มากนักจนกลืนคนพื้นที่
นาฬิกาที่นี่เดินเร็วกว่านาข้าวทางเหนือเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เราจะต้องซอยขาเพิ่มจังหวะการก้าวสักเท่่าไหร่
เชียงคานไม่ตื่นตา..แต่ฆ่าเวลาในวันเบื่อๆได้เป็นอย่างดี
เราน่าจะเอาหนังสือติดมือมาสักเล่ม และนั่งทอดหุ่ย
ปล่อยให้ลมจากริมโขงลวนลามสักเล็กน้อยแต่พองาม
ความเป็นจริงคือเราแบกกล้องไปทั่ว ตั้งแต่ 10 โมงยันบ่าย4
เชียงคานต่างหาก ถูกเราโลมเลียผ่านเลนส์ไปทุกซอกมุม
ตกดึกคืนนั้นเราตั้งใจจะชวนเชียงคานไปนั่งดูดาวด้วยกันที่ริมโขง
แต่ที่นี่ก็ทำให้เราแปลกใจ ทุ่มกว่าๆทุกหลังคาเรือนก็ปิดไฟ
ความหวังที่จะไปนั่งอุ่นไอชาร้อน นอนเอกเขนกดูดาวเป็นอันตกไป
เพื่อนร่วมมุ้งคืนนั้นเป็นสาวโรงงานน้ำตาลแถวๆขอนแก่น
เค้ารู้จักเราในฐานะเด็กกะโปโลที่เพิ่งจบป.ตรี
ทั้งๆที่เราเดินผ่านเวลานั้นมาเกือบ 3 ปีแล้ว
เมื่อ 48 ชั่วโมงที่แล้ว เมืองที่เพิ่งจากมาเข้าใจว่า เราเป็นคอลัมนิสต์
เราไม่ได้เป็นอะไรสักอย่างที่กล่าวมา
เราผลอยหลับไปในความมืดพร้อมคำถาม
ฉันอยากเป็นใคร? ฉันคือใครกัน?
ช่วงเวลาที่เรามาเป็นช่วงเข้าพรรษาของที่นี่
รุ่งสางทุกคนออกไปตักบาตรข้าวเหนียวหน้าบ้าน
สีส้มของชายผ้าเหลืองปลิวไสวตัดกับพื้นถนนสีเทา...
จังหวะการก้าวที่เข้ากันราวกับฝึกมา
เชียงคาน..ไม่เหงา แต่สงบ
เชียงคาน..ทำให้เราค้นพบจังหวะการก้าวในอีกแบบที่เราไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต
บางทีเชียงคานอาจจะอยากบอกเราว่า
เราไม่จำเป็นต้องวิ่งตลอดเวลา แต่ไม่ต้องถึงกับเดินช้าจนไม่ถึงไหน
ขอแค่เราย่างก้าวให้เข้าจังหวะกับการเต้นของหัวใจ
ถึงปลายทางจะอยู่ไกล แต่เราคงไปถึงในสักวัน
ขอบคุณเชียงคาน ที่สอนให้ฉันรู้จัก
,,จัง-หวะ-จะ-เดิน,,
กรกฎาคม 2552
Diary of My Journey :: Route 3 # Chiang Kan
เป็นอีกหนึ่งที่หมาย ที่เราได้ทักทายกันก่อนที่นางจะกลายเป็นเซเลป
หลังจากใช้เวลา 1 คืนเต็มๆ ไต่นาข้าวขั้นบันไดลงมาจากเชียงใหม่
เราก็มายืนสงบนิ่งอยู่ริมถนนกลางเมือง
รอเพียงไม่นานผู้หญิงท่าทางใจดีจากโฮมสเตย์
ก็ขี่มอไซต์ออกมารับเราที่ริมถนน
เราขับวนเข้าไปซื้อของในตลาดเล็กน้อย ก่อนจะเดินทางเข้าที่พัก
เราลงมาถึงที่นี่หลังวันหยุดยาว 1 วัน
เพื่อนร่วมบ้านหลายคนกำลังจะเช็คเอ้าท์
เราเอาสัมภาระไปเก็บก่อนจะหลบความวุ่นวาย
คว้ากล้องสะพายออกไปรอบๆหมู่บ้าน
เชียงคาน...
หมู่บ้านเล็กๆริมแม่น้ำโขง
เคยมีคนถามเราว่า ทำไมอยากจะมานักหนา
ก็เหมือนหมู่บ้านตามต่างจังหวัดทั่วไป
คนพูดมีพื้นเพเป็นคนอีสาน
แต่เราน่ะอยู่ใจกลางความเจริญของประเทศไทยมาตลอดชีวิต
ผิดเหรอ?... ที่เราโหยหาความสงบ
แปลกเหรอ?... ที่ชีวิตเรียบง่ายแบบชนบทมันตื่นตาสำหรับเรา
เราเดินชมนก ชมไม้เลาะเลียบไปตามชายโขง
ที่เห็นลิบๆคือฝั่งลาว ใกล้เหมือนจะเอื้อมมือถึง
เราห่างกันแค่แม่น้ำกั้น แต่ทำไมความต่างมันถึงสัมผัสได้ขนาดนี้
ทั้งที่มองเห็นได้ด้วยสายตาแท้ๆ
เราทิ้งภาพฝั่งลาวไว้ข้างหลัง
และใช้เวลาเพียงลำพังนั่งมองหมู่บ้านตรงหน้า
ปั่นจักรยานเพียงครึ่งวัน เรากับเชียงคานก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เชียงคานเหมือนปายเมื่อหลายปีก่อน
เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพัก แต่ก็ไม่มากนักจนกลืนคนพื้นที่
นาฬิกาที่นี่เดินเร็วกว่านาข้าวทางเหนือเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เราจะต้องซอยขาเพิ่มจังหวะการก้าวสักเท่่าไหร่
เชียงคานไม่ตื่นตา..แต่ฆ่าเวลาในวันเบื่อๆได้เป็นอย่างดี
เราน่าจะเอาหนังสือติดมือมาสักเล่ม และนั่งทอดหุ่ย
ปล่อยให้ลมจากริมโขงลวนลามสักเล็กน้อยแต่พองาม
ความเป็นจริงคือเราแบกกล้องไปทั่ว ตั้งแต่ 10 โมงยันบ่าย4
เชียงคานต่างหาก ถูกเราโลมเลียผ่านเลนส์ไปทุกซอกมุม
ตกดึกคืนนั้นเราตั้งใจจะชวนเชียงคานไปนั่งดูดาวด้วยกันที่ริมโขง
แต่ที่นี่ก็ทำให้เราแปลกใจ ทุ่มกว่าๆทุกหลังคาเรือนก็ปิดไฟ
ความหวังที่จะไปนั่งอุ่นไอชาร้อน นอนเอกเขนกดูดาวเป็นอันตกไป
เพื่อนร่วมมุ้งคืนนั้นเป็นสาวโรงงานน้ำตาลแถวๆขอนแก่น
เค้ารู้จักเราในฐานะเด็กกะโปโลที่เพิ่งจบป.ตรี
ทั้งๆที่เราเดินผ่านเวลานั้นมาเกือบ 3 ปีแล้ว
เมื่อ 48 ชั่วโมงที่แล้ว เมืองที่เพิ่งจากมาเข้าใจว่า เราเป็นคอลัมนิสต์
เราไม่ได้เป็นอะไรสักอย่างที่กล่าวมา
เราผลอยหลับไปในความมืดพร้อมคำถาม
ฉันอยากเป็นใคร? ฉันคือใครกัน?
ช่วงเวลาที่เรามาเป็นช่วงเข้าพรรษาของที่นี่
รุ่งสางทุกคนออกไปตักบาตรข้าวเหนียวหน้าบ้าน
สีส้มของชายผ้าเหลืองปลิวไสวตัดกับพื้นถนนสีเทา...
จังหวะการก้าวที่เข้ากันราวกับฝึกมา
เชียงคาน..ไม่เหงา แต่สงบ
เชียงคาน..ทำให้เราค้นพบจังหวะการก้าวในอีกแบบที่เราไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต
บางทีเชียงคานอาจจะอยากบอกเราว่า
เราไม่จำเป็นต้องวิ่งตลอดเวลา แต่ไม่ต้องถึงกับเดินช้าจนไม่ถึงไหน
ขอแค่เราย่างก้าวให้เข้าจังหวะกับการเต้นของหัวใจ
ถึงปลายทางจะอยู่ไกล แต่เราคงไปถึงในสักวัน
ขอบคุณเชียงคาน ที่สอนให้ฉันรู้จัก
,,จัง-หวะ-จะ-เดิน,,
กรกฎาคม 2552