"ศรีราชา" ไม่ใช่ ซอสพริก แต่เป็น "ศรีราชา เจริญพานิช " นักกฎหมายลูกศิษย์"ดร.สมภพ โหตระกิตย์"สายเดียวกับ"ดร.อักขราทร จุฬารัตน" ประธานศาลปกครองสูงสุด วันนี้ อาจารย์สอนกฎหมายจากสุโขทัยธรรมาธิราช สวมบทผู้ตรวจการแผ่นดิน เต็มตัว กล่าวกันว่า ทัศนะความคิดของเขาไม่ประนีประนอม ไม่ตามกระแส และไม่เป็นมิตรกับ"ทักษิณ"อย่างแน่นอน
ในวันที่มีแนวคิดจะนิรโทษกรรม คนเสื้อแดง "ศรีราชา" ร้องห้ามว่า ...อย่าเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ เขา เสนอให้นายกรัฐมนตรีมาจาก"คนนอก" จนถูกล้อเลียน แต่วันนี้ เขาก็ยังยืนยันเหมือนเดิม แถมมีข้อเสนอใหม่ล่าสุดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ใครไม่รู้จัก "ศรีราชา" ต้องอ่านบทสัมภาษณ์เผ็ดร้อนต่อไปนี้ โดยพลัน
@ ผู้ตรวจการแผ่นดินเคยถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางหรือเปล่า
คงมีครับ แต่เราก็ถือว่าทำตามหน้าที่ ตามอำนาจกฏหมาย ถามว่าจะเป็นกลางหรือเปล่า เราคงไม่ตอบหรอกครับ สิ่งที่จะเป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง มันอยู่ที่เราแสดงออก
@วันนี้ องค์กรอิสระ แทบทุกแห่ง ถูกตั้งคำถามว่า เป็นกลาง จริงหรือ
ใครบ้างที่จะรู้จักว่าความยุติธรรมคืออะไร ทุกคนก็บอกหมดว่าผมทำด้วยความเป็นกลาง ความยุติธรรม แต่สิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำมันต้องพิสูจน์ ฉะนั้น ใครพูดก็พูดได้ แต่สิ่งที่จะต้องทำก็คือ เราจะวางตัวยังไง ที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งความเป็นกลางพูดลำบาก เอาว่าเราไม่เอียงหรือไม่เอื้อประโยชน์ ให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จนเสียความเป็นธรรม แต่ถ้าถามว่าลึกๆ ผมอยู่ฝ่ายไหน ผมบอกว่าผมเป็นกลาง ผมบอกว่าฝ่ายเสื้อเหลืองน่าจะถูก แต่ส่วนหนึ่งที่ทำตอนท้ายมันเกินขอบเขต ไปยึดทำเนียบฯ หรือยึดสนามบิน แต่ถ้าพูดถึงตำแหน่งเขา ที่เขาทำมาช่วงต้นๆ ผมว่ามันก็โอเค
หรือฝ่ายเสื้อแดง ถ้าทำอยู่ในกรอบ รัฐธรรมนูญ ก็โอเค แต่เมื่อทำนอกกรอบผมก็ว่าผิด ถ้าพูดกันตรงไปตรงมาก็ผิดทั้งคู่ เพียงแต่อันไหนสาหัสกว่ากัน
ไอ้นั่น(เสื้อเหลือง) แค่ยึดสนามบิน แต่ไอ้นี่(เสื้อแดง) เผาทำลายบ้านเมือง อย่างนี้ไม่ชอบด้วยเหตุผล แล้วใครจะมาบอกว่า อย่างนี้ทำไปแล้วแต่มาปรองดองกัน จะปรองดองได้ก็ต้องนิรโทษกรรม ผมว่าอันนี้หนักนะ ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาก็เอาเทคนิคทางกฏหมายมาอ้าง ซึ่งถ้าใครทำอะไรให้เสียหายแล้ว แล้วมาออกว่าจะนิรโทษกรรม ผมจะออกหนังสือค้านทันที ไม่อย่างนั้น ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่พอถึงเวลาก็มาฮั้วกัน ไม่ได้(ครับ) คนทำผิดก็ต้องรับผิด
@ แต่คนเสนอก็พยายามแยกชาวบ้านกับ ผู้ก่อความเสียหาย ออกจากกัน
คุณรู้ได้ยังไงว่าคนเหล่านั้นบริสุทธิ์ นอกเสียจากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ไปจับเขามา ถือเสมือนว่า ไม่รู้ว่าใครที่ไหน หรือก่อนจับคุณให้เซ็นต์ชื่อขึ้นรถหมดแล้ว ซึ่งเซ็นต์ชื่อมันชัดนะว่าคุณได้กระทำความผิด แต่ถ้าคุณไม่ให้เขาเซ็นต์ชื่อ ปล่อยเขากลับไปเฉยๆ แล้วไม่รู้ว่าใครทำผิด อันนั้นก็อีกเรื่อง แต่นี่ชื่ออยู่ในมือ แล้วคุณไม่จับ ผิดนะครับ มาตรา 157
@ ถ้าเช่นนั้น สงครามแห่งความขัดแย้งก็รบกันต่อไป ไม่ต้องมาปรองดองกัน
ถ้าคุณทำทั้ง 2 ข้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ 2 มาตรฐาน ผมว่าอ้างไม่ได้หรอก จะอ้างได้เพราะทำอีกฝ่าย แต่ไม่ทำอีกฝ่าย นี่แหละคือความเป็นกลาง กฏหมายต้องเป็นกฏหมาย
@ ในทัศนะ ของคุณ เราจะก้าวพ้นความขัดแย้งได้ด้วยกฏหมาย
ก็แก้ได้ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่ง คือ การทำความเข้าใจกัน แล้วต่างฝ่ายต้องลบล้างความคิดเดิมๆ ของแต่ละฝ่าย แต่ผมว่ายาก พูดได้แต่ทำยาก แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำ คือ เรียกสติคนไทยกลับคืนมา แล้วให้ทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าจะทำ แต่เอาทั้งเงินซื้อ หรืออะไรก็ตาม เพื่อเอาชนะทางการเมือง เพื่อหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง ความปรองดองก็เกิดไม่ได้
@ เลือกตั้งครั้งต่อไป จะเป็นอย่างไร
มันจะยุ่งและสลับซับซ้อนมากขึ้น ที่จริงผมมีข้อเสนอ ซึ่งคนไม่ค่อยเห็นด้วย หาว่าผมแปลกๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเสนอว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากคนนอก ก็ฮือฮากัน แต่ผมถามว่าประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุด จะนำคนนอกที่มีความเหมาะสมด้วยเหตุผล เพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้ประเทศ ทำไมไม่ได้
ฉะนั้น สิ่งที่คุณสร้างมาก็ล็อกว่า การจะเป็นนายกฯได้ต้องมาจากคน 400 คน เท่านั้น ผมไม่เห็นด้วย ถ้าเผื่อคน 400 คน มาด้วยอุดมคติ ของประชาธิปไตย เจ๋งมาทั้งนั้น โอเคเลย แต่ถ้าเผื่อคุณเลือกตั้ง ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า 90 % ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม สกปรก แล้วก็เอาคนสกปรกขึ้นมาครองเมือง มันไหวเหรอ
ฉะนั้น ผมมีข้อเสนอ คือ ผมต้องการให้อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร แยกออกจากกัน โดยที่ถ่วงดุลกันจริงๆ ส.ส. เมื่อเลือกเสร็จ มาตั้งครม. คุณก็เอาส.ส. มาเป็นรัฐมนตรี ฉะนั้น มันก็จะเกิดฝ่ายบริหาร กับฝ่ายนิติบัญญัติ มันจะตรวจสอบกันยาก เพราะคุณเอานโยบายที่คุณทำ เอาไปใส่ เอาไปออกกฏหมาย เพื่อเอื้อต่อการบริหาร ฉะนั้น กฏหมายต้องห้ามเลย คุณเป็นส.ส. แต่เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ซึ่งผมอยากจะดูว่า จะมีสักกี่คนที่อยากมาสมัครส.ส.
ส่วนฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ผมจะเสนอวิธีใหม่ก็คือ เลือกตั้งทีมบริหารไปเลย 36 คน มีชื่อหมด พรรคเสนอก็ได้ หรือกลุ่มอิสระก็ได้ สมมติผมเสนอ ใครจะเป็นนายกฯ เป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรี ก็เสนอแข่งเลย ซึ่งพรรคก็จะต้องเสนอ 2 บัญชี คือ บัญชี ส.ส. กับบัญชี ครม. ถามว่าดีตรงไหน ดีตรงที่ประชาชนจะได้ดูในรายละเอียด ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่ได้มา ไม่ได้มาตามความรู้ในกระทรวงนั้นๆ แต่มาตามโควตาพรรค คนที่มาเป็นรัฐมนตรีก็ไม่มีความรู้ ความชำนาญ
ข้อเสนอของผม เมื่อประชาชนรู้ว่าทีมไหนดีกว่ากัน เราเลือกดรีมทีมได้เลย ก็จะเลือกที่ตรงกับความสามารถแต่ละกระทรวง แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก นักการเมืองเขาคงไม่เอาหรอก แต่ข้อเสนอของผม มันจะเป็นการแก้ ถ้าเผื่อคุณยังจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สมบัติ (ธำรงธัญวงศ์) หรือใครก็ตาม แล้วยังใช้ฐานเดิมของ 2540 หรือ 2550 ผมว่า ไม่ช่วยอะไร นี่คือ ข้อแรกที่ผมเสนอ คือ แยกส.ส. กับทีม รัฐมนตรีออกจากกัน
ส่วนข้อสอง คือ ทุกวันนี้เรารู้ว่าทุกอย่างคือ เงิน ส.ส. ต้องลงทุนมหาศาล เมื่อลงแล้ว เขาก็ต้องถอนทุนคืน เช่น จากการประมูลตำแหน่งในกระทรวง หรือ ถอนคืนจากการประมูล การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ
แต่ผมเสนอวิธีที่ไม่ถอนคืน คือ เลือกตั้งโดยใช้แบบวิธีคอมมิวนิสต์เลย ไม่ต้องจ่ายเงินสักบาท ซึ่งจะเกิดสภาวะใหม่คือ คนที่มาลงส.ส. ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วก็ไม่ต้องไปเอาคืน
สมมติผมอยากลงส.ส. ผมไม่เสียสักบาท คือ รัฐบาลออกค่าโปสเตอร์ให้ ออกค่าดีเบตทางทีวี วิทยุ เท่าๆ กันหมดทุกคน ด้วยความเป็นธรรม เอาจากกองทุนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็ได้ ผมว่าถ้าทำได้ จะเปลี่ยนมิติใหม่ทางการเมือง คนจนก็ลงสมัครส.ส. ได้
ฉะนั้น ระบบที่ทำอยู่ในปัจจุบัน อยู่ในวังวนเดิมๆ แล้วเราจะไม่มีวันออกจากระบบแบบนี้ได้เลย เพราะเป็นกลไกอัตโนมัติไปแล้ว การเมืองก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป
จริงๆ รัฐธรรมนูญไม่ต้องเขียนยาวเลย แต่เขียนเฉพาะหลัก ๆ ก็พอ อย่างว่าด้วยการเลือกตั้ง ก็ให้กกต.ไปทำเลย รัฐธรรมนูญควรเป็นหลักการกำกับเท่านั้น ส่วนกกต.ไปออกรายละเอียดอย่างไรก็แล้วแต่กกต.
@ แล้วที่มาจาก วุฒิสมาชิก ตามทัศนะของคุณ ควรมาจากไหน
ผมไม่เห็นด้วยกับ ส.ว.เลือกตั้ง เพราะไม่ต่างกับส.ส. แต่ผมเห็นว่า ส.ว.ควรเป็นคนที่มีความรู้ ประสบการณ์สูงในการมาตรวจสอบกฏหมายของฝ่ายส.ส. แต่ถ้าเลือกมา ก็ไม่ต่างกัน แต่บางทีสมัครลงส.ว.ไม่ได้ ก็มาลงส.ส. ฉะนั้น ถ้าจะมีส.ว. ต้องมาจากที่มาที่ต่างกัน ต้องมาจากการสรรหา แต่ระบบสรรหาต้องดี มีหลักเกณฑ์ให้เกิดการสมดุล
@ ทุกวันนี้องค์กรอิสระในการตรวจสอบ ใช้เงินคุ้มหรือเปล่า
ผมพูดไปเดี๋ยวจะหาว่าแก้ตัว คือ ถ้าให้เงินงบประมาณมา มีการคัดสรรคนที่ดีเข้าสู่ระบบ ผมว่ามันจะมีประสิทธิภาพมาก อย่างกลไกของเรา ผมว่ารออีกสักนิด เราจะแสดงให้ดูว่าเรามีประสิทธิภาพยังไง แต่ก็ต้องให้งบประมาณด้วย
องค์กรอิสระเหล่านี้ ไม่ได้ตั้งขึ้นภายในวัน สองวัน บางประเทศตั้งมาเป็น 100 ปี แต่เราเพิ่ง 10 ปี แต่จะมาบอกให้แข็งแรง คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าให้งบประมาณที่เหมาะสม ผมจะทำให้องค์กรนี้แข็งแรงให้ดู
@ คุณมองอนาคตแดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อย่างไร
ไม่รู้สิ ...
@ หรือ ต้อง อยู่ต่างประเทศตลอดไป
ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ยกเว้นเสียแต่ว่า คุณหญิงพจมาน (ณ ป้อมเพชร) จะเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยกลับมามีเสียงข้างมาก ออกฏหมายนิรโทษกรรม แต่ผมว่าเป็นไปได้ยาก
การเมืองไทย ถ้าเชื่อตามที่ผมเสนอ มันจะเปลี่ยนโฉม ซึ่งผมก็ท้าเลย ถ้าไม่ใช้ระบอบนี้ เงินก็เป็นพระเจ้า ก็ทลายระบบเดิมไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช้เงิน เอาความดี เอาคุณสมบัติคนมาวัดกัน เมื่อนั้นมันจะเปลี่ยนมิติทางการเมือง แต่ใครจะเชื่อหรือเปล่าไม่รู้
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1276605275&catid=no
ผมไม่ชอบแนวคิด ความเป็นกลางของคุณเลย
ไม่ควรมาตรวจสอบใคร หากมีความลำเอียง
เจาะใจ"ศรีราชา"ผมเป็นกลางแต่เหลืองน่าจะถูกกว่า ................ความคิดเห็นคุณ ผมไม่ โอ นะ
"ศรีราชา" ไม่ใช่ ซอสพริก แต่เป็น "ศรีราชา เจริญพานิช " นักกฎหมายลูกศิษย์"ดร.สมภพ โหตระกิตย์"สายเดียวกับ"ดร.อักขราทร จุฬารัตน" ประธานศาลปกครองสูงสุด วันนี้ อาจารย์สอนกฎหมายจากสุโขทัยธรรมาธิราช สวมบทผู้ตรวจการแผ่นดิน เต็มตัว กล่าวกันว่า ทัศนะความคิดของเขาไม่ประนีประนอม ไม่ตามกระแส และไม่เป็นมิตรกับ"ทักษิณ"อย่างแน่นอน
ในวันที่มีแนวคิดจะนิรโทษกรรม คนเสื้อแดง "ศรีราชา" ร้องห้ามว่า ...อย่าเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ เขา เสนอให้นายกรัฐมนตรีมาจาก"คนนอก" จนถูกล้อเลียน แต่วันนี้ เขาก็ยังยืนยันเหมือนเดิม แถมมีข้อเสนอใหม่ล่าสุดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ใครไม่รู้จัก "ศรีราชา" ต้องอ่านบทสัมภาษณ์เผ็ดร้อนต่อไปนี้ โดยพลัน
@ ผู้ตรวจการแผ่นดินเคยถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางหรือเปล่า
คงมีครับ แต่เราก็ถือว่าทำตามหน้าที่ ตามอำนาจกฏหมาย ถามว่าจะเป็นกลางหรือเปล่า เราคงไม่ตอบหรอกครับ สิ่งที่จะเป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง มันอยู่ที่เราแสดงออก
@วันนี้ องค์กรอิสระ แทบทุกแห่ง ถูกตั้งคำถามว่า เป็นกลาง จริงหรือ
ใครบ้างที่จะรู้จักว่าความยุติธรรมคืออะไร ทุกคนก็บอกหมดว่าผมทำด้วยความเป็นกลาง ความยุติธรรม แต่สิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำมันต้องพิสูจน์ ฉะนั้น ใครพูดก็พูดได้ แต่สิ่งที่จะต้องทำก็คือ เราจะวางตัวยังไง ที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งความเป็นกลางพูดลำบาก เอาว่าเราไม่เอียงหรือไม่เอื้อประโยชน์ ให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จนเสียความเป็นธรรม แต่ถ้าถามว่าลึกๆ ผมอยู่ฝ่ายไหน ผมบอกว่าผมเป็นกลาง ผมบอกว่าฝ่ายเสื้อเหลืองน่าจะถูก แต่ส่วนหนึ่งที่ทำตอนท้ายมันเกินขอบเขต ไปยึดทำเนียบฯ หรือยึดสนามบิน แต่ถ้าพูดถึงตำแหน่งเขา ที่เขาทำมาช่วงต้นๆ ผมว่ามันก็โอเค
หรือฝ่ายเสื้อแดง ถ้าทำอยู่ในกรอบ รัฐธรรมนูญ ก็โอเค แต่เมื่อทำนอกกรอบผมก็ว่าผิด ถ้าพูดกันตรงไปตรงมาก็ผิดทั้งคู่ เพียงแต่อันไหนสาหัสกว่ากัน
ไอ้นั่น(เสื้อเหลือง) แค่ยึดสนามบิน แต่ไอ้นี่(เสื้อแดง) เผาทำลายบ้านเมือง อย่างนี้ไม่ชอบด้วยเหตุผล แล้วใครจะมาบอกว่า อย่างนี้ทำไปแล้วแต่มาปรองดองกัน จะปรองดองได้ก็ต้องนิรโทษกรรม ผมว่าอันนี้หนักนะ ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาก็เอาเทคนิคทางกฏหมายมาอ้าง ซึ่งถ้าใครทำอะไรให้เสียหายแล้ว แล้วมาออกว่าจะนิรโทษกรรม ผมจะออกหนังสือค้านทันที ไม่อย่างนั้น ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่พอถึงเวลาก็มาฮั้วกัน ไม่ได้(ครับ) คนทำผิดก็ต้องรับผิด
@ แต่คนเสนอก็พยายามแยกชาวบ้านกับ ผู้ก่อความเสียหาย ออกจากกัน
คุณรู้ได้ยังไงว่าคนเหล่านั้นบริสุทธิ์ นอกเสียจากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ไปจับเขามา ถือเสมือนว่า ไม่รู้ว่าใครที่ไหน หรือก่อนจับคุณให้เซ็นต์ชื่อขึ้นรถหมดแล้ว ซึ่งเซ็นต์ชื่อมันชัดนะว่าคุณได้กระทำความผิด แต่ถ้าคุณไม่ให้เขาเซ็นต์ชื่อ ปล่อยเขากลับไปเฉยๆ แล้วไม่รู้ว่าใครทำผิด อันนั้นก็อีกเรื่อง แต่นี่ชื่ออยู่ในมือ แล้วคุณไม่จับ ผิดนะครับ มาตรา 157
@ ถ้าเช่นนั้น สงครามแห่งความขัดแย้งก็รบกันต่อไป ไม่ต้องมาปรองดองกัน
ถ้าคุณทำทั้ง 2 ข้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ 2 มาตรฐาน ผมว่าอ้างไม่ได้หรอก จะอ้างได้เพราะทำอีกฝ่าย แต่ไม่ทำอีกฝ่าย นี่แหละคือความเป็นกลาง กฏหมายต้องเป็นกฏหมาย
@ ในทัศนะ ของคุณ เราจะก้าวพ้นความขัดแย้งได้ด้วยกฏหมาย
ก็แก้ได้ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่ง คือ การทำความเข้าใจกัน แล้วต่างฝ่ายต้องลบล้างความคิดเดิมๆ ของแต่ละฝ่าย แต่ผมว่ายาก พูดได้แต่ทำยาก แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำ คือ เรียกสติคนไทยกลับคืนมา แล้วให้ทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าจะทำ แต่เอาทั้งเงินซื้อ หรืออะไรก็ตาม เพื่อเอาชนะทางการเมือง เพื่อหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง ความปรองดองก็เกิดไม่ได้
@ เลือกตั้งครั้งต่อไป จะเป็นอย่างไร
มันจะยุ่งและสลับซับซ้อนมากขึ้น ที่จริงผมมีข้อเสนอ ซึ่งคนไม่ค่อยเห็นด้วย หาว่าผมแปลกๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเสนอว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากคนนอก ก็ฮือฮากัน แต่ผมถามว่าประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุด จะนำคนนอกที่มีความเหมาะสมด้วยเหตุผล เพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้ประเทศ ทำไมไม่ได้
ฉะนั้น สิ่งที่คุณสร้างมาก็ล็อกว่า การจะเป็นนายกฯได้ต้องมาจากคน 400 คน เท่านั้น ผมไม่เห็นด้วย ถ้าเผื่อคน 400 คน มาด้วยอุดมคติ ของประชาธิปไตย เจ๋งมาทั้งนั้น โอเคเลย แต่ถ้าเผื่อคุณเลือกตั้ง ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า 90 % ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม สกปรก แล้วก็เอาคนสกปรกขึ้นมาครองเมือง มันไหวเหรอ
ฉะนั้น ผมมีข้อเสนอ คือ ผมต้องการให้อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร แยกออกจากกัน โดยที่ถ่วงดุลกันจริงๆ ส.ส. เมื่อเลือกเสร็จ มาตั้งครม. คุณก็เอาส.ส. มาเป็นรัฐมนตรี ฉะนั้น มันก็จะเกิดฝ่ายบริหาร กับฝ่ายนิติบัญญัติ มันจะตรวจสอบกันยาก เพราะคุณเอานโยบายที่คุณทำ เอาไปใส่ เอาไปออกกฏหมาย เพื่อเอื้อต่อการบริหาร ฉะนั้น กฏหมายต้องห้ามเลย คุณเป็นส.ส. แต่เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ซึ่งผมอยากจะดูว่า จะมีสักกี่คนที่อยากมาสมัครส.ส.
ส่วนฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ผมจะเสนอวิธีใหม่ก็คือ เลือกตั้งทีมบริหารไปเลย 36 คน มีชื่อหมด พรรคเสนอก็ได้ หรือกลุ่มอิสระก็ได้ สมมติผมเสนอ ใครจะเป็นนายกฯ เป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรี ก็เสนอแข่งเลย ซึ่งพรรคก็จะต้องเสนอ 2 บัญชี คือ บัญชี ส.ส. กับบัญชี ครม. ถามว่าดีตรงไหน ดีตรงที่ประชาชนจะได้ดูในรายละเอียด ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่ได้มา ไม่ได้มาตามความรู้ในกระทรวงนั้นๆ แต่มาตามโควตาพรรค คนที่มาเป็นรัฐมนตรีก็ไม่มีความรู้ ความชำนาญ
ข้อเสนอของผม เมื่อประชาชนรู้ว่าทีมไหนดีกว่ากัน เราเลือกดรีมทีมได้เลย ก็จะเลือกที่ตรงกับความสามารถแต่ละกระทรวง แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก นักการเมืองเขาคงไม่เอาหรอก แต่ข้อเสนอของผม มันจะเป็นการแก้ ถ้าเผื่อคุณยังจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สมบัติ (ธำรงธัญวงศ์) หรือใครก็ตาม แล้วยังใช้ฐานเดิมของ 2540 หรือ 2550 ผมว่า ไม่ช่วยอะไร นี่คือ ข้อแรกที่ผมเสนอ คือ แยกส.ส. กับทีม รัฐมนตรีออกจากกัน
ส่วนข้อสอง คือ ทุกวันนี้เรารู้ว่าทุกอย่างคือ เงิน ส.ส. ต้องลงทุนมหาศาล เมื่อลงแล้ว เขาก็ต้องถอนทุนคืน เช่น จากการประมูลตำแหน่งในกระทรวง หรือ ถอนคืนจากการประมูล การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ
แต่ผมเสนอวิธีที่ไม่ถอนคืน คือ เลือกตั้งโดยใช้แบบวิธีคอมมิวนิสต์เลย ไม่ต้องจ่ายเงินสักบาท ซึ่งจะเกิดสภาวะใหม่คือ คนที่มาลงส.ส. ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วก็ไม่ต้องไปเอาคืน
สมมติผมอยากลงส.ส. ผมไม่เสียสักบาท คือ รัฐบาลออกค่าโปสเตอร์ให้ ออกค่าดีเบตทางทีวี วิทยุ เท่าๆ กันหมดทุกคน ด้วยความเป็นธรรม เอาจากกองทุนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็ได้ ผมว่าถ้าทำได้ จะเปลี่ยนมิติใหม่ทางการเมือง คนจนก็ลงสมัครส.ส. ได้
ฉะนั้น ระบบที่ทำอยู่ในปัจจุบัน อยู่ในวังวนเดิมๆ แล้วเราจะไม่มีวันออกจากระบบแบบนี้ได้เลย เพราะเป็นกลไกอัตโนมัติไปแล้ว การเมืองก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป
จริงๆ รัฐธรรมนูญไม่ต้องเขียนยาวเลย แต่เขียนเฉพาะหลัก ๆ ก็พอ อย่างว่าด้วยการเลือกตั้ง ก็ให้กกต.ไปทำเลย รัฐธรรมนูญควรเป็นหลักการกำกับเท่านั้น ส่วนกกต.ไปออกรายละเอียดอย่างไรก็แล้วแต่กกต.
@ แล้วที่มาจาก วุฒิสมาชิก ตามทัศนะของคุณ ควรมาจากไหน
ผมไม่เห็นด้วยกับ ส.ว.เลือกตั้ง เพราะไม่ต่างกับส.ส. แต่ผมเห็นว่า ส.ว.ควรเป็นคนที่มีความรู้ ประสบการณ์สูงในการมาตรวจสอบกฏหมายของฝ่ายส.ส. แต่ถ้าเลือกมา ก็ไม่ต่างกัน แต่บางทีสมัครลงส.ว.ไม่ได้ ก็มาลงส.ส. ฉะนั้น ถ้าจะมีส.ว. ต้องมาจากที่มาที่ต่างกัน ต้องมาจากการสรรหา แต่ระบบสรรหาต้องดี มีหลักเกณฑ์ให้เกิดการสมดุล
@ ทุกวันนี้องค์กรอิสระในการตรวจสอบ ใช้เงินคุ้มหรือเปล่า
ผมพูดไปเดี๋ยวจะหาว่าแก้ตัว คือ ถ้าให้เงินงบประมาณมา มีการคัดสรรคนที่ดีเข้าสู่ระบบ ผมว่ามันจะมีประสิทธิภาพมาก อย่างกลไกของเรา ผมว่ารออีกสักนิด เราจะแสดงให้ดูว่าเรามีประสิทธิภาพยังไง แต่ก็ต้องให้งบประมาณด้วย
องค์กรอิสระเหล่านี้ ไม่ได้ตั้งขึ้นภายในวัน สองวัน บางประเทศตั้งมาเป็น 100 ปี แต่เราเพิ่ง 10 ปี แต่จะมาบอกให้แข็งแรง คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าให้งบประมาณที่เหมาะสม ผมจะทำให้องค์กรนี้แข็งแรงให้ดู
@ คุณมองอนาคตแดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อย่างไร
ไม่รู้สิ ...
@ หรือ ต้อง อยู่ต่างประเทศตลอดไป
ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ยกเว้นเสียแต่ว่า คุณหญิงพจมาน (ณ ป้อมเพชร) จะเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยกลับมามีเสียงข้างมาก ออกฏหมายนิรโทษกรรม แต่ผมว่าเป็นไปได้ยาก
การเมืองไทย ถ้าเชื่อตามที่ผมเสนอ มันจะเปลี่ยนโฉม ซึ่งผมก็ท้าเลย ถ้าไม่ใช้ระบอบนี้ เงินก็เป็นพระเจ้า ก็ทลายระบบเดิมไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช้เงิน เอาความดี เอาคุณสมบัติคนมาวัดกัน เมื่อนั้นมันจะเปลี่ยนมิติทางการเมือง แต่ใครจะเชื่อหรือเปล่าไม่รู้
ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1276605275&catid=no
ผมไม่ชอบแนวคิด ความเป็นกลางของคุณเลย
ไม่ควรมาตรวจสอบใคร หากมีความลำเอียง