
ผมมีแนวคิดอยู่ หนึ่งแนวคิดไม่รู้ว่าจะถูกต้องรือไม่นะครับ อยากให้ช่วยแสดงความเห็นกันด้วยครับ
ผมมักมีขอสงสัยว่า หลักศาสนาอันนี้ที่พระท่านพูดถูกเเล้วหรอ พระองค์ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่ หรือเรื่องข้อสงสัยทุกอย่างมักถูเเหมารวมไปกับการ ปรามาส ผมว่านั้นเป็นสิ่งที่เราควรแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงนะครับ ถึงแม้มันจะมีเส้นบางๆกั้นอยู่ เป็นเพราะเรากลัวที่จะสงสัยกันหรือเปล่าเลยมีปัญหาอย่างทุกวันนี้ เพราะอย่างผมเป็นตัวอย่าง เช่นนิกายหนึ่งในไทย ผมก็สงสัยว่า เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมถึงกระหน่ำยุคนทำบุญเพื่อหวังะได้เป็นเพียงเทวดา ซึ่งหลักการจริงๆขอศาสนาพุทธคือการได้ไปสู่นิพพานไม่ใช่หรือ แต่เวลาผมพูดออกไป คนอื่นกลับไม่กล้าที่จะคิดตามเพราะ กลัวบาป กลัวปรามาส ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในจุดนี้ ว่าเราควรสงสัยหรือตั้งข้อคำถามเพื่อพิสูจน์ความจริงจากศาสนาหรือการปฏิบัติมั่งไหม ไม่ใช่เชื่อไปซะทุกเรื่องเพราะ คำว่า "กลัวบาป"
ผมได้แยกคำทั้งสองคำออกดังนี้
-สงสัย คือการที่เราตั้งคำถาม ถึงสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง มันผิดปกติ
-ปรามาส คือการที่เรา ไปใส่ร้ายพระ หลักคำสอนต่างๆ ว่ามันไม่ได้ มันผิด มันเลว โดยที่ผ่านการพิสูจน์ที่แท้จริง
อย่างสถานะการ์ณเช่น
-สงสัย พระองค์นั้น เขาได้เงินบริจาคไปเยอะแยะ เขาเอาไปทำอะไรหมดหน้อทำไมวัดทรุดโทรมจังในเมื่อยอดกฐินได้เป็นล้าน
-ปรามาส พระองค์นี้ผมว่าต้องเอาเงินไปใช้ส่วนตัวเเน่เลย เพราะได้ยินมาว่ายอดกฐินหลายล้าน เอาไปทำอะไรหมดไม่รู้
ผมว่ามันง่ายจะตายที่จะแยกระหว่าง 2 คำนี้ แต่ทำไมสังคมไทยยังกลัวที่จะสงสัย กลัวที่จะวิพากวิจารแลกเปลี่ยนหาความจริง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันล่ะ ไม่งั้นเราคงมีเหตุการ์ณอย่างกรณี สมิงคำ อีกหลายครั้ง ถ้าเราไม่เริ่มตั้งข้อสงสัย และค้นหาความจริง หรือว่าเราควรเชื่ออย่างงมงายกันความคิดเดิมๆต่อไปว่าอะไรที่เกี่ยวกับศาสนา เป็นเรื่องสูงแตะต้องไม่ได้ มันผู้นั้นจะบาป จะตกนรก ทำอะไรไม่เจริญ ต่อไป ซึ่งผมก็ว่าคำเล่านี้มันเป็นข้ออ้างของคนที่ไม่กล้าค้นหาความจริงหรือเปล่า
สุดท้ายนี้ผมขอย้ำว่าเป็นเพียงข้อคิดเห็นนะครับ ช่วยบอกกันหน่อยว่าสิ่งที่ผมคิดถูกต้องไหม หรือว่าผมก็คือพวกนอกรีดคนหนึ่งเท่านั้น

การสงสัย และ การปรามาส
ผมมักมีขอสงสัยว่า หลักศาสนาอันนี้ที่พระท่านพูดถูกเเล้วหรอ พระองค์ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่ หรือเรื่องข้อสงสัยทุกอย่างมักถูเเหมารวมไปกับการ ปรามาส ผมว่านั้นเป็นสิ่งที่เราควรแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงนะครับ ถึงแม้มันจะมีเส้นบางๆกั้นอยู่ เป็นเพราะเรากลัวที่จะสงสัยกันหรือเปล่าเลยมีปัญหาอย่างทุกวันนี้ เพราะอย่างผมเป็นตัวอย่าง เช่นนิกายหนึ่งในไทย ผมก็สงสัยว่า เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมถึงกระหน่ำยุคนทำบุญเพื่อหวังะได้เป็นเพียงเทวดา ซึ่งหลักการจริงๆขอศาสนาพุทธคือการได้ไปสู่นิพพานไม่ใช่หรือ แต่เวลาผมพูดออกไป คนอื่นกลับไม่กล้าที่จะคิดตามเพราะ กลัวบาป กลัวปรามาส ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในจุดนี้ ว่าเราควรสงสัยหรือตั้งข้อคำถามเพื่อพิสูจน์ความจริงจากศาสนาหรือการปฏิบัติมั่งไหม ไม่ใช่เชื่อไปซะทุกเรื่องเพราะ คำว่า "กลัวบาป"
ผมได้แยกคำทั้งสองคำออกดังนี้
-สงสัย คือการที่เราตั้งคำถาม ถึงสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง มันผิดปกติ
-ปรามาส คือการที่เรา ไปใส่ร้ายพระ หลักคำสอนต่างๆ ว่ามันไม่ได้ มันผิด มันเลว โดยที่ผ่านการพิสูจน์ที่แท้จริง
อย่างสถานะการ์ณเช่น
-สงสัย พระองค์นั้น เขาได้เงินบริจาคไปเยอะแยะ เขาเอาไปทำอะไรหมดหน้อทำไมวัดทรุดโทรมจังในเมื่อยอดกฐินได้เป็นล้าน
-ปรามาส พระองค์นี้ผมว่าต้องเอาเงินไปใช้ส่วนตัวเเน่เลย เพราะได้ยินมาว่ายอดกฐินหลายล้าน เอาไปทำอะไรหมดไม่รู้
ผมว่ามันง่ายจะตายที่จะแยกระหว่าง 2 คำนี้ แต่ทำไมสังคมไทยยังกลัวที่จะสงสัย กลัวที่จะวิพากวิจารแลกเปลี่ยนหาความจริง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันล่ะ ไม่งั้นเราคงมีเหตุการ์ณอย่างกรณี สมิงคำ อีกหลายครั้ง ถ้าเราไม่เริ่มตั้งข้อสงสัย และค้นหาความจริง หรือว่าเราควรเชื่ออย่างงมงายกันความคิดเดิมๆต่อไปว่าอะไรที่เกี่ยวกับศาสนา เป็นเรื่องสูงแตะต้องไม่ได้ มันผู้นั้นจะบาป จะตกนรก ทำอะไรไม่เจริญ ต่อไป ซึ่งผมก็ว่าคำเล่านี้มันเป็นข้ออ้างของคนที่ไม่กล้าค้นหาความจริงหรือเปล่า
สุดท้ายนี้ผมขอย้ำว่าเป็นเพียงข้อคิดเห็นนะครับ ช่วยบอกกันหน่อยว่าสิ่งที่ผมคิดถูกต้องไหม หรือว่าผมก็คือพวกนอกรีดคนหนึ่งเท่านั้น