เกร็ดสามก๊ก
เจ้าเมืองวาสนาน้อย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อครั้งที่โจโฉหนีตั๋งโต๊ะจากเมืองลกเอี๋ยง ไปรวบรวมพลพรรคอยู่ที่เมืองตันลิวนั้น มีเจ้าเมืองยกทหารมาเข้าร่วมขบวนการด้วยถึงสิบเจ็ดหัวเมือง แล้วก็ยกให้ อ้วนเสี้ยว เจ้าเมือง โห้ลาย เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกพลไปตีเมืองลกเอี๋ยงจะปลดแอกพระเจ้าเหี้ยนเต้ จากการยึดครองของตั๋งโต๊ะ แต่ไม่สำเร็จเพราะขาดความสามัคคี ต่างก็แก่งแย่งอยากใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น จึงแยกย้ายกันกลับไปบ้านเมืองของตนในที่สุด
แล้วเจ้าเมืองเหล่านั้น ก็หายหน้าค่าชื่อไปจากสารบัญสามก๊ก เป็นส่วนมาก ที่ยังมีบทบาทต่อไปก็คือซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสา เมื่อยกทัพของตนกลับเมืองกังตั๋ง ได้ยึดเอาตราหยกของฮ่องเต้ ที่เก็บได้จากศพในพระราชวัง ไว้เป็นสมบัติของตน แต่ภายหลังรบแพ้เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ถึงแก่ความตายในสมรภูมิ ตราหยกจึงตกเป็นของซุนเซ็กบุตรชายคนโต
ต่อมาซุนเซ็กเอาตราหยกไปจำนำไว้กับอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ขอทหารไปรบกับคู่แค้นของบิดา อ้วนสุดจึงอยากจะตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ แต่ยกทัพไปรบกับลิโป้ก็แพ้ รบกับโจโฉก็แพ้ ถูกเผาเมืองต้องหนีไปอยู่ที่ตำบลห้วยหนำ เข้าใจว่าจะเป็นเพราะวาสนาของตนน้อย ไม่คู่ควรกับตราหยก อันเป็นของสำหรับฮ่องเต้ ต่อมาเล่าปี่เข้าเป็นพวกกับโจโฉ และอาสามารบกับอ้วนสุด คราวนี้อ้วนสุดก็แพ้อีก ต้องถอยไปอยู่ตำบลกังเต๋ง ขาดแคลนเสบียงอาหาร แม้จะกินข้าวก็ติดคอกลืนมิใคร่ลง เลยอาเจียนเป็นโลหิตตายไปอีกคนหนึ่ง
ฝ่ายเล่าต้ายเจ้าเมืองอิวจิ๋วขาดแคลนเสบียงอาหาร ให้ทหารไปยืมเสบียงจากเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิวไม่ได้ ก็โกรธถึงเวลากลางคืนก็ยกทหารไปตีค่าย และฆ่าเตียวเมาตาย จับเชลยได้ทั้งค่าย แล้วก็ยกกลับไปเมืองของตนเสีย
ส่วนม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงอยู่ทางชายแดนด้านเหนือ เมื่อแยกย้ายกันแล้วภายหลังได้เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ในเมืองหลวง เห็นโจโฉซึ่งเป็นมหาอุปราชทำกิริยาอาจเอื้อมต่อฮ่องเต้ จึงเข้าเป็นพวกกับตังสินพี่ชายของนางตังกุยหุยสนมเอก คิดกำจัดโจโฉ แต่ก็ไม่ได้ลงมือสักที จึงกลับไปเมืองเสเหลียง ภายหลังโจโฉจับตังสินและพรรคพวกอีกห้าคน ประหารชีวิตหมดทั้งหกโคตร แล้วทราบว่าม้าเท้งกับเล่าปี่ ก็เข้าชื่อร่วมขบวนการขบถครั้งนี้ด้วย จึงลวงให้ม้าเท้งเข้ามาเฝ้าฮ่องเต้ แล้วจับตัวมาประหารเสียอีก คงหนีรอดไปเพียงคนเดียวคือเล่าปี่
ข้างฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้น เมื่อแยกออกจากกองทัพปลดแอกครั้งนั้นแล้ว ก็กลับมาที่เมืองของตนตามเดิม ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองโห้ลายของอ้วนเสี้ยว ต่อมาอ้วนเสี้ยวขาดแคลนเสบียง อาหาร ฮันฮกเห็นว่าเคยเป็นแม่ทัพใหญ่มาก่อน ก็ช่วยเหลือเจือจานส่งเสบียงให้มิได้ขาด วันหนึ่งก็มีหนังสือจากอ้วนเสี้ยวส่งมาให้ฮันฮก แจ้งว่ากองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งจะยกทัพมาตีเมืองกิจิ๋ว ฮันฮกก็ตกใจหารือกับที่ปรึกษาว่าจะทำประการใดดี
ซุนซิมที่ปรึกษาคนหนึ่ง ก็ให้ความเห็นว่า
“…….ซึ่งกองซุนจ้านจะตีเอาเมืองเรานั้น เห็นจะยกทหารมาเป็นอันมาก แล้ว เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็จะมาด้วย กำลังทหารเรานั้นน้อยเห็นจะสู้ไม่ได้ แล้วอ้วนเสี้ยวนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญา แล้วมีทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก ขอให้มีหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาอยู่รักษาเมือง จะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกัน เห็นอ้วนเสี้ยวจะมีเมตตาต่อท่าน ซึ่งกองซุนจ้านจะยกมากระทำย่ำยีเมืองเรานั้น ก็เกรงอ้วนเสี้ยวอยู่……..”
ฮันฮกก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือจะให้ถือไปเชิญอ้วนเสี้ยวตามที่กุนซือแนะนำ แต่เก๋งบูที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย คัดค้านว่า
“……..อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งเสบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้ว ทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ฝูงเนื้อทั้งปวงก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง…….”
ฮันฮกก็แก้ว่า
“……ตัวเราเมื่อแรกจะได้เป็นขุนนาง ก็เพราะแซ่อ้วนว่ากล่าว จึงได้มาเป็นเจ้าเมือง เราเห็นว่าสติปัญญาอ้วนเสี้ยวดีกว่าเรา อนึ่งโบราณว่าไว้ ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้ผู้ความคิดน้อยคำนับผู้มีปัญญา แลท่านมาทักเราให้ผิดโบราณดังนี้ เราไม่เห็นด้วย……”
แล้วก็สั่งให้ผู้ถือหนังสือ ไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาตามความคิดเดิม คราวนั้นขุนนางผู้ไม่เห็นด้วย ขอลาออกจากราชการไปเลี้ยงหลานถึงสามสิบสองคน
อ้วนเสี้ยวได้รับหนังสือเชิญจากฮันฮกแล้ว ก็จัดแจงทหารยกไปเมืองกิจิ๋ว พอจะเข้าประตูเมืองก็เจอเก๋งบูกับก้วนซุน คอยดักจะฆ่าอ้วนเสี้ยว แต่ไม่สำเร็จถูกทหารเอกของอ้วนเสี้ยวฟันตายทั้งสองคน
ฮันฮกก็ออกมารับอ้วนเสี้ยวเข้าไปในเมือง อ้วนเสี้ยวก็จัดการปกครองใหม่ ปลดขุนนางเก่าออกหมด แล้วเอาคนของตนเข้าสวมตำแหน่ง และตั้งให้ฮันฮกเป็นนายทหารเอก แต่ฮันฮกได้คิดว่าอำนาจการปกครองบ้านเมือง เป็นสิทธิ์ขาดแก่อ้วนเสี้ยวหมดสิ้นแล้ว ซึ่งตนจะอยู่ในเมืองนี้กับอ้วนเสี้ยว สืบไปเมื่อหน้าเห็นจะเกิดอันตรายเป็นมั่นคง จึงทิ้งบุตรภรรยาหนีไปอยู่ที่เมืองตันลิวแต่ผู้เดียว
ความจริงฮันฮกไม่รู้ว่าหนังสือของอ้วนเสี้ยวนั้น เป็นอุบายที่ตกลงกับกองซุนจ้านแล้ว ว่าจะแบ่งเมืองกิจิ๋วกันคนละครึ่ง ครั้นอ้วนเสี้ยวยึดครองได้ก่อน ก็บิดพริ้วไม่ทำตามข้อตกลง จึงต้องรบพุ่งกับกองซุนจ้าน จนกองซุนจ้านพ่ายแพ้ต้องตายไป แล้วสุดท้ายอ้วนเสี้ยวก็ถูกโจโฉปราบปรามเสียจนตายหมดทั้งตระกูลเช่นกัน
อีกรายหนึ่งคือโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว เป็นคนมีน้ำใจอารีกว้างขวาง และนับถือโจโฉอยู่ เมื่อได้ข่าวว่าโจโฉซึ่งแยกจากกองทัพประชาชนแล้ว ได้ไปเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว แล้วจัดคนไปรับโจโก๋ผู้บิดาที่เมืองตันลิว ผ่านมาทางเมืองชีจิ๋วก็ยินดี ออกไปคำนับรับบิดาของโจโฉเข้ามาพักในเมือง แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่สองวัน แล้วก็จัดทหารห้าร้อยคน คุมขบวนคาราวานของโจโก๋ ซึ่งบรรทุกทรัพย์สินสิ่งของมีค่า ใส่เกวียนร้อยเล่ม กับญาติพี่น้องและพรรคพวกอีกสองร้อยคน ให้ไปส่งถึงเมืองกุนจิ๋ว กะว่าจะได้ความดีความชอบจากโจโฉเป็นอันมาก
แต่เตียวคีซึ่งเป็นตัวนายคุมทหารของโตเกี๋ยมนั้น เมื่อก่อนเคยเป็นโจรโพกผ้าเหลือง พอถูกทหารหลวงปราบปราม ก็หลบมาอยู่กับโตเกี๋ยม เห็นทรัพย์สินของโจโก๋มีมากมาย จึงเกิดความโลภตามสันดานเดิม พอเดินทางมาจนใกล้ค่ำฝนตกอย่างหนัก ต้องหยุดพักหลบฝนอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง รอให้ถึงเวลาเที่ยงคืน จึงชวนทหารของตนปล้นเกวียนที่พวกตนคุมมาเสียเอง โจโก๋ได้ยินเสียงอื้ออึง จะพาภรรยาน้อยหนีไปก็มิทัน จึงถูกเตียวคีฆ่าตายพร้อมกับครอบครัวและพรรคพวกอีกหลายคน แล้วเตียวคีก็จุดเพลิงเผาวัดนั้นเสีย และลากเกวียนทรัพย์สินเข้าป่าไปอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อโจโฉรู้ข่าวก็เสียใจถึงกับเป็นลมตกจากเก้าอี้ และโกรธแค้นโตเกี๋ยมยิ่งนัก ประกาศว่า
“……ซึ่งโตเกี๋ยมทำกลอุบายมาฆ่าบิดาเราเสียนั้น เราจะยกทหารไปเหยียบเมือง ชีจิ๋ว ให้ราบเป็นแผ่นดินจึงจะหายความแค้น……”
แล้วโจโฉก็ยกพลกว่าสิบหมื่นไปล้างแค้นแทนบิดาที่เมืองชีจิ๋ว และสั่งกองหน้าว่า ถ้าตีเมืองชีจิ๋วได้แล้วให้ฆ่าหญิงชายชาวเมืองเสียให้สิ้น
ครั้นโตเกี๋ยมรู้เรื่อง ก็มีความเศร้าหมองร้องไห้รักราษฎรทั้งปวง แล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งนั้นว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะกรรมของเรามาตามทัน ชาวเมืองจะพลอยล้มตายด้วยเป็นอันมาก
โจป้าทหารเอกก็ว่าท่านหาความผิดมิได้ โจโฉยกมาทำอัตรายทั้งนี้จะนิ่งไว้มิได้ ต้องยกทหารออกไปรบพุ่งต้านทานไว้จึงจะควร โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารเปิดประตูเมืองยกออกไป เห็นทหารโจโฉนั้นตั้งอยู่เป็นอันมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร
โจโฉก็สั่งให้ทหารทั้งปวงขยายแถวออกเป็นหน้ากระดาน แล้วขับม้าขึ้นมาข้างหน้าทหาร โตเกี๋ยมเห็นดังนั้นก็ย่างม้าขึ้นไป แล้วย่อตัวลงคำนับโจโฉบอกว่า
“……..เดิมข้าพเจ้าคิดว่าจะไปทำราชการด้วยท่าน ครั้นรู้ว่าบิดาท่านมาถึงเมือง ชีจิ๋ว ข้าพเจ้าได้รับเข้ามาเลี้ยงดูแล้ว แต่งให้เตียวคีคุมทหารไปส่งหวังจะทำความชอบไว้ต่อท่าน แลเตียวคีนั้นเอาใจออหห่างข้าพเจ้า ฆ่าบิดากับพรรคพวกท่านเสีย แลข้าพเจ้าจะได้คิดอ่านเป็นกลอุบายให้เตียวคีทำร้ายนั้นหามิได้ ซึ่งท่านโกรธข้าพเจ้า ยกมาฆ่าชาวเมืองซึ่งหาความผิดมิได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร……”
แต่โจโฉไม่ฟังเสียง ด่าโตเกี๋ยมเป็นข้อหยาบช้า แล้วสั่งทหารให้จับโตเกี๋ยมให้ได้ ทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู้รบกันเป็นสามารถ แต่เกิดพายุฝนกระหน่ำลงมาห่าใหญ่ ทหารทั้งสองข้างจึงแยกกันไป โตเกี๋ยมกลับเข้าเมืองแล้วก็บอกแก่ทหารว่า
“…….เห็นเราจะสู้โจโฉมิได้ ซึ่งจะคิดรบพุ่งไปฉะนี้ ทหารเลวแลชาวเมืองก็จะพลอยตายเสียสิ้น ท่านทั้งปวงจงเอาตัวเรามัดออกไปส่งให้โจโฉ ทหารแลชาวเมืองจึงจะรอดชีวิต…”
บิต๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาก็อาสา ไปขอกองทัพจากขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ และอีกทางหนึ่งก็ให้ตันเต๋ง ไปขอทหารจากเต๊งไก๋เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว มาช่วยรบกับโจโฉด้วย
ขณะเมื่อบิต๊กมาถึงเมืองปักไฮนั้น เล่าปี่ได้มาช่วยขงหยงรบกับพวกโจรโพกผ้า เหลืองอยู่ เมื่อได้ชัยชนะแล้วจึงชวนเล่าปี่ไปช่วยโตเกี๋ยมรบกับโจโฉอีกแรงหนึ่ง
เมื่อทั้งสามยกพลไปถึงเมืองชีจิ๋วนั้น กองทัพของโจโฉตั้งล้อมเมืองอยู่ เล่าปี่จึงให้กวนอูกับจูล่งคุมทหารสามพัน อยู่ช่วยขงหยงกับเต๊งไก๋ภายนอก ตนเองกับเตียวหุยคุมทหารพันเศษรบฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปในเมือง โตเกี๋ยมก็มีความยินดีต้อนรับเล่าปี่อย่างแข็งแรง และมีความศรัทธาเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งพูดจาก็มีอารีเห็นน้ำใจจะกว้างขวาง จึงให้บิต๊กเอาตราประจำตำแหน่งเจ้าเมืองมามอบให้ เล่าปี่ก็ตกใจถามว่าเอาเอาตราตำแหน่งนี้มาให้ด้วยเหตุใด โตเกี๋ยมก็บอกว่า
“…….ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติ พระชันษานั้นยังเยาว์อยู่ ขุนนางที่มิได้มีใจสัตย์ซื่อนั้นมักทำจลาจลต่าง ๆ แผ่นดินได้ความเดือดร้อนเนือง ๆ มา ข้าพเจ้าก็แก่ชราแล้วจะคิดการบำรุงแผ่นดินต่อไปนั้นก็ขัดสน ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ แล้วก็มีสติปัญญาโอบอ้อมอารี ควรที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ข้าพเจ้าจึงเอาตราสำหรับที่มาให้ หวังจะเชิญให้ท่านเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว จะได้คิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติต่อไป…….”
เล่าปี่ก็คำนับขอบคุณโตเกี๋ยมแล้วปฏิเสธว่า
“…….เรานี้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่สติปัญญาน้อย ทำราชการยังหาความชอบข้อใหญ่มิได้ เป็นแต่เจ้าเมืองจัตวา เรายังคิดเกรงอยู่ว่าจะไม่สมควรกับสติปัญญา ซึ่งเรายกมาทั้งนี้เพราะมีน้ำใจหวังจะช่วยท่านรบโจโฉ หรือท่านแคลงอยู่ว่าเราจะมาชิงเอาเมืองชีจิ๋ว ถ้าเราคิดดังนั้นก็ขออย่าให้เทพดารักษาชีวิตเราเลย…….”
โตเกี๋ยมก็ว่าซึ่งตนจะยกเมืองให้เล่าปี่นี้ เป็นความสุจริตใช่จะคิดสงสัยล่อลวงสิ่งใดหามิได้ แต่โตเกี๋ยมอ้อนวอนมอบเมืองให้เล่าปี่เป็นหลายครั้ง เล่าปี่ก็ไม่ยอมรับ บิต๊กจึงว่าทัพโจโฉมาตั้งประชิดเมืองอยู่ เล่าปี่ก็มาช่วยทำศึก ควรจะเร่งคิดทำการสงครามให้สำเร็จก่อน แล้วจึงค่อยมอบเมืองให้เล่าปี่ต่อภายหลัง
ขณะนั้นเจ้าเมืองตันลิวก็ใช้ให้ลิโป้ อัศวินผู้เร่ร่อนซึ่งพ่ายแพ้ แก่ลูกน้องของตั๋งโต๊ะ ที่ยกมาแก้แค้นแทนนาย ที่ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของลิโป้ ต้องหนีมาอยู่ที่เมืองตันลิว ให้ยกทหารไปตีเมืองกุนจิ๋วของโจโฉจนแตก โจโฉจึงต้องถอนทัพกลับไป โดยที่ยังไม่ได้ชำระความแค้น โตเกี๋ยมก็เชิญเจ้าเมืองที่มาช่วยรบเข้ามาฉลองชัย แล้วกล่าวมอบเมืองให้เล่าปี่อีก เล่าปี่ก็บ่ายเบี่ยงว่า
“……..เดิมขงหยงให้เรามาช่วยโตเกี๋ยม เราเห็นกับไมตรีเราจึงมา บัดนี้โตเกี๋ยมจะมอบเมืองชีจิ๋วให้แก่เรา แลราษฎรทั้งปวงซึ่งไม่แจ้ง ก็จะครหานินทาเรา ว่าเป็นคนโลภเห็นแก่ทรัพย์…..”
บิต๊กว่าเมืองชีจิ๋วมีเมืองขึ้นเป็นอันมาก มีทรัพย์สินประมาณร้อยหมื่น จะได้เป็นที่ตั้งคิดการต่อไป ตันเต๋งก็ว่าโตเกี๋ยมนั้นเป็นคนชรามีโรคเบียดเบียน น่าจะเอ็นดูแก่ราษฎรรับเป็นเจ้าเมืองเสีย เล่าปี่ถามว่าอ้วนเสี้ยวเป็นขุนนางมาสี่ชั่วคน เป็นไฉนมิมอบเมืองให้ ขงหยงตอบว่าอ้วนเสี้ยวนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม นับวันจะเปื่อยโทรมไป ทั้งสติปัญญาก็ไม่มี จะนับถือให้เป็นผู้ใหญ่สืบไปนั้นมิได้ โตเกี๋ยมเห็นเล่าปี่ยืนยันว่าไม่รับก็ร้องไห้เสียใจ บอกว่าถ้าเล่าปี่ไม่รับเป็นเจ้าเมือง ตนก็คงจะตายไม่ปกติเพราะมีกังวลอยู่ และบอกว่า
“…….จงเอ็นดูข้าพเจ้าไปอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย เมืองนั้นก็ขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว ถ้าข้าพเจ้ามีทุกข์ร้อนสิ่งใดจะได้อาศัยท่าน…….”
เกร็ดสามก๊ก ๑๗ ก.ค.๕๖
เจ้าเมืองวาสนาน้อย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อครั้งที่โจโฉหนีตั๋งโต๊ะจากเมืองลกเอี๋ยง ไปรวบรวมพลพรรคอยู่ที่เมืองตันลิวนั้น มีเจ้าเมืองยกทหารมาเข้าร่วมขบวนการด้วยถึงสิบเจ็ดหัวเมือง แล้วก็ยกให้ อ้วนเสี้ยว เจ้าเมือง โห้ลาย เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกพลไปตีเมืองลกเอี๋ยงจะปลดแอกพระเจ้าเหี้ยนเต้ จากการยึดครองของตั๋งโต๊ะ แต่ไม่สำเร็จเพราะขาดความสามัคคี ต่างก็แก่งแย่งอยากใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น จึงแยกย้ายกันกลับไปบ้านเมืองของตนในที่สุด
แล้วเจ้าเมืองเหล่านั้น ก็หายหน้าค่าชื่อไปจากสารบัญสามก๊ก เป็นส่วนมาก ที่ยังมีบทบาทต่อไปก็คือซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสา เมื่อยกทัพของตนกลับเมืองกังตั๋ง ได้ยึดเอาตราหยกของฮ่องเต้ ที่เก็บได้จากศพในพระราชวัง ไว้เป็นสมบัติของตน แต่ภายหลังรบแพ้เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ถึงแก่ความตายในสมรภูมิ ตราหยกจึงตกเป็นของซุนเซ็กบุตรชายคนโต
ต่อมาซุนเซ็กเอาตราหยกไปจำนำไว้กับอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ขอทหารไปรบกับคู่แค้นของบิดา อ้วนสุดจึงอยากจะตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ แต่ยกทัพไปรบกับลิโป้ก็แพ้ รบกับโจโฉก็แพ้ ถูกเผาเมืองต้องหนีไปอยู่ที่ตำบลห้วยหนำ เข้าใจว่าจะเป็นเพราะวาสนาของตนน้อย ไม่คู่ควรกับตราหยก อันเป็นของสำหรับฮ่องเต้ ต่อมาเล่าปี่เข้าเป็นพวกกับโจโฉ และอาสามารบกับอ้วนสุด คราวนี้อ้วนสุดก็แพ้อีก ต้องถอยไปอยู่ตำบลกังเต๋ง ขาดแคลนเสบียงอาหาร แม้จะกินข้าวก็ติดคอกลืนมิใคร่ลง เลยอาเจียนเป็นโลหิตตายไปอีกคนหนึ่ง
ฝ่ายเล่าต้ายเจ้าเมืองอิวจิ๋วขาดแคลนเสบียงอาหาร ให้ทหารไปยืมเสบียงจากเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิวไม่ได้ ก็โกรธถึงเวลากลางคืนก็ยกทหารไปตีค่าย และฆ่าเตียวเมาตาย จับเชลยได้ทั้งค่าย แล้วก็ยกกลับไปเมืองของตนเสีย
ส่วนม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงอยู่ทางชายแดนด้านเหนือ เมื่อแยกย้ายกันแล้วภายหลังได้เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ในเมืองหลวง เห็นโจโฉซึ่งเป็นมหาอุปราชทำกิริยาอาจเอื้อมต่อฮ่องเต้ จึงเข้าเป็นพวกกับตังสินพี่ชายของนางตังกุยหุยสนมเอก คิดกำจัดโจโฉ แต่ก็ไม่ได้ลงมือสักที จึงกลับไปเมืองเสเหลียง ภายหลังโจโฉจับตังสินและพรรคพวกอีกห้าคน ประหารชีวิตหมดทั้งหกโคตร แล้วทราบว่าม้าเท้งกับเล่าปี่ ก็เข้าชื่อร่วมขบวนการขบถครั้งนี้ด้วย จึงลวงให้ม้าเท้งเข้ามาเฝ้าฮ่องเต้ แล้วจับตัวมาประหารเสียอีก คงหนีรอดไปเพียงคนเดียวคือเล่าปี่
ข้างฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้น เมื่อแยกออกจากกองทัพปลดแอกครั้งนั้นแล้ว ก็กลับมาที่เมืองของตนตามเดิม ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองโห้ลายของอ้วนเสี้ยว ต่อมาอ้วนเสี้ยวขาดแคลนเสบียง อาหาร ฮันฮกเห็นว่าเคยเป็นแม่ทัพใหญ่มาก่อน ก็ช่วยเหลือเจือจานส่งเสบียงให้มิได้ขาด วันหนึ่งก็มีหนังสือจากอ้วนเสี้ยวส่งมาให้ฮันฮก แจ้งว่ากองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งจะยกทัพมาตีเมืองกิจิ๋ว ฮันฮกก็ตกใจหารือกับที่ปรึกษาว่าจะทำประการใดดี
ซุนซิมที่ปรึกษาคนหนึ่ง ก็ให้ความเห็นว่า
“…….ซึ่งกองซุนจ้านจะตีเอาเมืองเรานั้น เห็นจะยกทหารมาเป็นอันมาก แล้ว เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็จะมาด้วย กำลังทหารเรานั้นน้อยเห็นจะสู้ไม่ได้ แล้วอ้วนเสี้ยวนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญา แล้วมีทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก ขอให้มีหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาอยู่รักษาเมือง จะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกัน เห็นอ้วนเสี้ยวจะมีเมตตาต่อท่าน ซึ่งกองซุนจ้านจะยกมากระทำย่ำยีเมืองเรานั้น ก็เกรงอ้วนเสี้ยวอยู่……..”
ฮันฮกก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือจะให้ถือไปเชิญอ้วนเสี้ยวตามที่กุนซือแนะนำ แต่เก๋งบูที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย คัดค้านว่า
“……..อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งเสบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้ว ทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ฝูงเนื้อทั้งปวงก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง…….”
ฮันฮกก็แก้ว่า
“……ตัวเราเมื่อแรกจะได้เป็นขุนนาง ก็เพราะแซ่อ้วนว่ากล่าว จึงได้มาเป็นเจ้าเมือง เราเห็นว่าสติปัญญาอ้วนเสี้ยวดีกว่าเรา อนึ่งโบราณว่าไว้ ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้ผู้ความคิดน้อยคำนับผู้มีปัญญา แลท่านมาทักเราให้ผิดโบราณดังนี้ เราไม่เห็นด้วย……”
แล้วก็สั่งให้ผู้ถือหนังสือ ไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาตามความคิดเดิม คราวนั้นขุนนางผู้ไม่เห็นด้วย ขอลาออกจากราชการไปเลี้ยงหลานถึงสามสิบสองคน
อ้วนเสี้ยวได้รับหนังสือเชิญจากฮันฮกแล้ว ก็จัดแจงทหารยกไปเมืองกิจิ๋ว พอจะเข้าประตูเมืองก็เจอเก๋งบูกับก้วนซุน คอยดักจะฆ่าอ้วนเสี้ยว แต่ไม่สำเร็จถูกทหารเอกของอ้วนเสี้ยวฟันตายทั้งสองคน
ฮันฮกก็ออกมารับอ้วนเสี้ยวเข้าไปในเมือง อ้วนเสี้ยวก็จัดการปกครองใหม่ ปลดขุนนางเก่าออกหมด แล้วเอาคนของตนเข้าสวมตำแหน่ง และตั้งให้ฮันฮกเป็นนายทหารเอก แต่ฮันฮกได้คิดว่าอำนาจการปกครองบ้านเมือง เป็นสิทธิ์ขาดแก่อ้วนเสี้ยวหมดสิ้นแล้ว ซึ่งตนจะอยู่ในเมืองนี้กับอ้วนเสี้ยว สืบไปเมื่อหน้าเห็นจะเกิดอันตรายเป็นมั่นคง จึงทิ้งบุตรภรรยาหนีไปอยู่ที่เมืองตันลิวแต่ผู้เดียว
ความจริงฮันฮกไม่รู้ว่าหนังสือของอ้วนเสี้ยวนั้น เป็นอุบายที่ตกลงกับกองซุนจ้านแล้ว ว่าจะแบ่งเมืองกิจิ๋วกันคนละครึ่ง ครั้นอ้วนเสี้ยวยึดครองได้ก่อน ก็บิดพริ้วไม่ทำตามข้อตกลง จึงต้องรบพุ่งกับกองซุนจ้าน จนกองซุนจ้านพ่ายแพ้ต้องตายไป แล้วสุดท้ายอ้วนเสี้ยวก็ถูกโจโฉปราบปรามเสียจนตายหมดทั้งตระกูลเช่นกัน
อีกรายหนึ่งคือโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว เป็นคนมีน้ำใจอารีกว้างขวาง และนับถือโจโฉอยู่ เมื่อได้ข่าวว่าโจโฉซึ่งแยกจากกองทัพประชาชนแล้ว ได้ไปเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว แล้วจัดคนไปรับโจโก๋ผู้บิดาที่เมืองตันลิว ผ่านมาทางเมืองชีจิ๋วก็ยินดี ออกไปคำนับรับบิดาของโจโฉเข้ามาพักในเมือง แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่สองวัน แล้วก็จัดทหารห้าร้อยคน คุมขบวนคาราวานของโจโก๋ ซึ่งบรรทุกทรัพย์สินสิ่งของมีค่า ใส่เกวียนร้อยเล่ม กับญาติพี่น้องและพรรคพวกอีกสองร้อยคน ให้ไปส่งถึงเมืองกุนจิ๋ว กะว่าจะได้ความดีความชอบจากโจโฉเป็นอันมาก
แต่เตียวคีซึ่งเป็นตัวนายคุมทหารของโตเกี๋ยมนั้น เมื่อก่อนเคยเป็นโจรโพกผ้าเหลือง พอถูกทหารหลวงปราบปราม ก็หลบมาอยู่กับโตเกี๋ยม เห็นทรัพย์สินของโจโก๋มีมากมาย จึงเกิดความโลภตามสันดานเดิม พอเดินทางมาจนใกล้ค่ำฝนตกอย่างหนัก ต้องหยุดพักหลบฝนอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง รอให้ถึงเวลาเที่ยงคืน จึงชวนทหารของตนปล้นเกวียนที่พวกตนคุมมาเสียเอง โจโก๋ได้ยินเสียงอื้ออึง จะพาภรรยาน้อยหนีไปก็มิทัน จึงถูกเตียวคีฆ่าตายพร้อมกับครอบครัวและพรรคพวกอีกหลายคน แล้วเตียวคีก็จุดเพลิงเผาวัดนั้นเสีย และลากเกวียนทรัพย์สินเข้าป่าไปอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อโจโฉรู้ข่าวก็เสียใจถึงกับเป็นลมตกจากเก้าอี้ และโกรธแค้นโตเกี๋ยมยิ่งนัก ประกาศว่า
“……ซึ่งโตเกี๋ยมทำกลอุบายมาฆ่าบิดาเราเสียนั้น เราจะยกทหารไปเหยียบเมือง ชีจิ๋ว ให้ราบเป็นแผ่นดินจึงจะหายความแค้น……”
แล้วโจโฉก็ยกพลกว่าสิบหมื่นไปล้างแค้นแทนบิดาที่เมืองชีจิ๋ว และสั่งกองหน้าว่า ถ้าตีเมืองชีจิ๋วได้แล้วให้ฆ่าหญิงชายชาวเมืองเสียให้สิ้น
ครั้นโตเกี๋ยมรู้เรื่อง ก็มีความเศร้าหมองร้องไห้รักราษฎรทั้งปวง แล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งนั้นว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะกรรมของเรามาตามทัน ชาวเมืองจะพลอยล้มตายด้วยเป็นอันมาก
โจป้าทหารเอกก็ว่าท่านหาความผิดมิได้ โจโฉยกมาทำอัตรายทั้งนี้จะนิ่งไว้มิได้ ต้องยกทหารออกไปรบพุ่งต้านทานไว้จึงจะควร โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารเปิดประตูเมืองยกออกไป เห็นทหารโจโฉนั้นตั้งอยู่เป็นอันมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร
โจโฉก็สั่งให้ทหารทั้งปวงขยายแถวออกเป็นหน้ากระดาน แล้วขับม้าขึ้นมาข้างหน้าทหาร โตเกี๋ยมเห็นดังนั้นก็ย่างม้าขึ้นไป แล้วย่อตัวลงคำนับโจโฉบอกว่า
“……..เดิมข้าพเจ้าคิดว่าจะไปทำราชการด้วยท่าน ครั้นรู้ว่าบิดาท่านมาถึงเมือง ชีจิ๋ว ข้าพเจ้าได้รับเข้ามาเลี้ยงดูแล้ว แต่งให้เตียวคีคุมทหารไปส่งหวังจะทำความชอบไว้ต่อท่าน แลเตียวคีนั้นเอาใจออหห่างข้าพเจ้า ฆ่าบิดากับพรรคพวกท่านเสีย แลข้าพเจ้าจะได้คิดอ่านเป็นกลอุบายให้เตียวคีทำร้ายนั้นหามิได้ ซึ่งท่านโกรธข้าพเจ้า ยกมาฆ่าชาวเมืองซึ่งหาความผิดมิได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร……”
แต่โจโฉไม่ฟังเสียง ด่าโตเกี๋ยมเป็นข้อหยาบช้า แล้วสั่งทหารให้จับโตเกี๋ยมให้ได้ ทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู้รบกันเป็นสามารถ แต่เกิดพายุฝนกระหน่ำลงมาห่าใหญ่ ทหารทั้งสองข้างจึงแยกกันไป โตเกี๋ยมกลับเข้าเมืองแล้วก็บอกแก่ทหารว่า
“…….เห็นเราจะสู้โจโฉมิได้ ซึ่งจะคิดรบพุ่งไปฉะนี้ ทหารเลวแลชาวเมืองก็จะพลอยตายเสียสิ้น ท่านทั้งปวงจงเอาตัวเรามัดออกไปส่งให้โจโฉ ทหารแลชาวเมืองจึงจะรอดชีวิต…”
บิต๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาก็อาสา ไปขอกองทัพจากขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ และอีกทางหนึ่งก็ให้ตันเต๋ง ไปขอทหารจากเต๊งไก๋เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว มาช่วยรบกับโจโฉด้วย
ขณะเมื่อบิต๊กมาถึงเมืองปักไฮนั้น เล่าปี่ได้มาช่วยขงหยงรบกับพวกโจรโพกผ้า เหลืองอยู่ เมื่อได้ชัยชนะแล้วจึงชวนเล่าปี่ไปช่วยโตเกี๋ยมรบกับโจโฉอีกแรงหนึ่ง
เมื่อทั้งสามยกพลไปถึงเมืองชีจิ๋วนั้น กองทัพของโจโฉตั้งล้อมเมืองอยู่ เล่าปี่จึงให้กวนอูกับจูล่งคุมทหารสามพัน อยู่ช่วยขงหยงกับเต๊งไก๋ภายนอก ตนเองกับเตียวหุยคุมทหารพันเศษรบฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปในเมือง โตเกี๋ยมก็มีความยินดีต้อนรับเล่าปี่อย่างแข็งแรง และมีความศรัทธาเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งพูดจาก็มีอารีเห็นน้ำใจจะกว้างขวาง จึงให้บิต๊กเอาตราประจำตำแหน่งเจ้าเมืองมามอบให้ เล่าปี่ก็ตกใจถามว่าเอาเอาตราตำแหน่งนี้มาให้ด้วยเหตุใด โตเกี๋ยมก็บอกว่า
“…….ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติ พระชันษานั้นยังเยาว์อยู่ ขุนนางที่มิได้มีใจสัตย์ซื่อนั้นมักทำจลาจลต่าง ๆ แผ่นดินได้ความเดือดร้อนเนือง ๆ มา ข้าพเจ้าก็แก่ชราแล้วจะคิดการบำรุงแผ่นดินต่อไปนั้นก็ขัดสน ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ แล้วก็มีสติปัญญาโอบอ้อมอารี ควรที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ข้าพเจ้าจึงเอาตราสำหรับที่มาให้ หวังจะเชิญให้ท่านเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว จะได้คิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติต่อไป…….”
เล่าปี่ก็คำนับขอบคุณโตเกี๋ยมแล้วปฏิเสธว่า
“…….เรานี้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่สติปัญญาน้อย ทำราชการยังหาความชอบข้อใหญ่มิได้ เป็นแต่เจ้าเมืองจัตวา เรายังคิดเกรงอยู่ว่าจะไม่สมควรกับสติปัญญา ซึ่งเรายกมาทั้งนี้เพราะมีน้ำใจหวังจะช่วยท่านรบโจโฉ หรือท่านแคลงอยู่ว่าเราจะมาชิงเอาเมืองชีจิ๋ว ถ้าเราคิดดังนั้นก็ขออย่าให้เทพดารักษาชีวิตเราเลย…….”
โตเกี๋ยมก็ว่าซึ่งตนจะยกเมืองให้เล่าปี่นี้ เป็นความสุจริตใช่จะคิดสงสัยล่อลวงสิ่งใดหามิได้ แต่โตเกี๋ยมอ้อนวอนมอบเมืองให้เล่าปี่เป็นหลายครั้ง เล่าปี่ก็ไม่ยอมรับ บิต๊กจึงว่าทัพโจโฉมาตั้งประชิดเมืองอยู่ เล่าปี่ก็มาช่วยทำศึก ควรจะเร่งคิดทำการสงครามให้สำเร็จก่อน แล้วจึงค่อยมอบเมืองให้เล่าปี่ต่อภายหลัง
ขณะนั้นเจ้าเมืองตันลิวก็ใช้ให้ลิโป้ อัศวินผู้เร่ร่อนซึ่งพ่ายแพ้ แก่ลูกน้องของตั๋งโต๊ะ ที่ยกมาแก้แค้นแทนนาย ที่ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของลิโป้ ต้องหนีมาอยู่ที่เมืองตันลิว ให้ยกทหารไปตีเมืองกุนจิ๋วของโจโฉจนแตก โจโฉจึงต้องถอนทัพกลับไป โดยที่ยังไม่ได้ชำระความแค้น โตเกี๋ยมก็เชิญเจ้าเมืองที่มาช่วยรบเข้ามาฉลองชัย แล้วกล่าวมอบเมืองให้เล่าปี่อีก เล่าปี่ก็บ่ายเบี่ยงว่า
“……..เดิมขงหยงให้เรามาช่วยโตเกี๋ยม เราเห็นกับไมตรีเราจึงมา บัดนี้โตเกี๋ยมจะมอบเมืองชีจิ๋วให้แก่เรา แลราษฎรทั้งปวงซึ่งไม่แจ้ง ก็จะครหานินทาเรา ว่าเป็นคนโลภเห็นแก่ทรัพย์…..”
บิต๊กว่าเมืองชีจิ๋วมีเมืองขึ้นเป็นอันมาก มีทรัพย์สินประมาณร้อยหมื่น จะได้เป็นที่ตั้งคิดการต่อไป ตันเต๋งก็ว่าโตเกี๋ยมนั้นเป็นคนชรามีโรคเบียดเบียน น่าจะเอ็นดูแก่ราษฎรรับเป็นเจ้าเมืองเสีย เล่าปี่ถามว่าอ้วนเสี้ยวเป็นขุนนางมาสี่ชั่วคน เป็นไฉนมิมอบเมืองให้ ขงหยงตอบว่าอ้วนเสี้ยวนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม นับวันจะเปื่อยโทรมไป ทั้งสติปัญญาก็ไม่มี จะนับถือให้เป็นผู้ใหญ่สืบไปนั้นมิได้ โตเกี๋ยมเห็นเล่าปี่ยืนยันว่าไม่รับก็ร้องไห้เสียใจ บอกว่าถ้าเล่าปี่ไม่รับเป็นเจ้าเมือง ตนก็คงจะตายไม่ปกติเพราะมีกังวลอยู่ และบอกว่า
“…….จงเอ็นดูข้าพเจ้าไปอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย เมืองนั้นก็ขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว ถ้าข้าพเจ้ามีทุกข์ร้อนสิ่งใดจะได้อาศัยท่าน…….”