ที่มา :
http://www.learners.in.th/blogs/posts/414278
บทนำ
หลังจากที่พวกเรา(กลุ่มนศ.คณะทันตแพทย์ ม.ช.)ได้ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเราและได้เลือกประเด็นที่พวกเราสนใจอันผูกโยงกับโลกาภิวัฒน์กันแล้ว พวกเราก็ตั้งคำถามว่า เหตุไฉนชาวต่างชาติ (อายุไม่มากนัก) จึงแบกเป้เดินท่อมๆ ในบ้านเรา เขาเหล่านั้นไม่ต้องเรียนหนังสือ ทำงานแบบพวกเราคนไทยกันหรือ และเหตุไฉนพวกเขาบางคนจึง happy ที่มาตั้งรกรากในบ้านเรา จากนั้นพวกเราก็ได้ระดมความคิดว่าเราจะไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติกันที่ไหน และแล้วศูนย์ภาษาและคริสตจักรก็ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเราเป็นเป้าหมายแรก ที่นี่เราได้พบกับชาวต่างชาติที่เป็นชาวตะวันตก ในการสัมภาษณ์ครั้งแรกนี้ถึงแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างในเรื่องของภาษา แต่ความเป็นกันเอง ของพวกเขาก็ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนั้นพวกเราก็ยังไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย ทำให้พวกเราได้มีประสบการณ์มากขึ้นและมั่นใจที่จะไปสัมภาษณ์กับชาวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่ไนซ์ บาซาร์ ซึ่งเป็นทั้งชาวตะวันออกและชาวตะวันตกที่เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย และแต่ละคนที่ไปสัมภาษณ์ก็มีแง่มุมความคิดที่หลากหลาย โดยจะมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันในกลุ่มชาวตะวันตกด้วยกันหรือในกลุ่มชาวตะวันออกด้วยกัน แต่ก็เป็นที่สังเกตว่าทั้งสองกลุ่มนี้ มีความคิด วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
จากการไปสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยส่วนใหญ่ก็เพราะเมืองไทยสวยงาม มีศิลปะวัฒนธรรมที่ดีงามและน่าสนใจ ค่าใช้จ่ายไม่แพง คนไทยใจดี เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และคนไทยอย่างพวกเราควรส่งเสริมจุดเด่นและข้อดีเหล่านี้ของประเทศเราเพื่อที่จะได้มีชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ทำให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว มีเงินตราไหลเวียนประเทศมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศในที่สุด
ส่วนชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลานานนั้น จากการสัมภาษณ์ก็พบว่าพวกเขามีแนวคิด,มุมมองเมืองไทย และคนไทยที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งคนไทยด้วยกันเองอาจจะมองข้ามตรงจุดนี้ไป หากเราปรับปรุงข้อด้อย และส่งเสริมข้อดีนั้นแล้ว เพื่อที่จะให้ประเทศของเราพัฒนาก้าวหน้าขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น ๆ ได้
๑. เรื่องราวของชาวตะวันตก
สถานที่ที่เราได้เริ่มไปสัมภาษณ์แห่งแรกคือ ศูนย์คริสตจักรที่หน้ามช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ที่นั่น เราได้เจอกับชาวอเมริกัน 2 คน ซึ่งมาสอนศาสนาอยู่ที่นี่ Cirtis และ Bethany เขาทั้งสองคนต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี จัดแจงเอาเบาะมาให้เรานั่งล้อมวงกัน…แล้วพวกเราก็เริ่มการสัมภาษณ์….Cirtis อายุ 28 ปี จบจาก Texus A&M University สาขาการจัดการด้าน Finance เกี่ยวข้องกับการลงทุน และการออมเงินไว้ แต่ที่มาเผยแพร่ศาสนา ก็เพราะความพอใจส่วนตัว เขาพึ่งมาอยู่เมืองไทยได้ 6 เดือน แต่ก็ได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่างจากที่นี่ เขาชอบท่าแพ เพราะมี กำแพงที่เก่าแก่ไม่เหมือนที่อเมริกาที่ยังมีอายุไม่มากนัก และชอบเชียงใหม่มากกว่ากรุงเทพ เพราะมีมลพิษน้อยกว่า สำหรับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เขาเล่าว่าก็มีทั้งมหาวิทยาลัยที่เข้าได้ยากและที่ง่ายกว่า เหมือนเมืองไทยที่อเมริกาจะมีการเรียนการสอนทุกวัน และไม่มี uniform ใส่ชุดอะไรไปเรียนก็ได้ เขาได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้งรกรากในไทยว่า จะต้องมีความเคารพกฏ ประเพณี วัฒนธรรมและคนไทยอย่างมาก เพราะวัฒนธรรมของไทยแตกต่างกับของอเมริกาอย่างมาก ที่อเมริกาจะอยู่เป็นครอบครัวเล็กๆ อย่างครอบครัวเขาเองก็มีพ่อแม่พี่น้องและเขา ส่วน Bethany อายุ 18 ปี กำลังเรียนอยู่ที่ Texus A&M university เกี่ยวกับเคมี ซึ่งตอนที่พวกเราไปสัมภาษณ์เป็นช่วงหยุดซัมเมอร์พอดี เธอจึงถือโอกาสมาเที่ยว และหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เธอมาประเทศไทยครั้งแรกและมาอยู่ได้ 4 สัปดาห์ มาทำงานเกี่ยวกับการเผยแพร่ศานา ทำงานให้กับโบสถ์ เธอชอบเชียงใหม่ เพราะสวย คนไทยนิสัยดี และชอบอาหารไทย
หลังจากพวกเราสัมภาษณ์ที่คริสตจักรแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือบไปเห็นศูนย์สอนภาษา (The center) ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยเดียวกัน แต่อยู่ถัดไปอีกล็อคหนึ่ง พวกเราจึงลองเข้าไปสัมภาษณ์ ..ที่นั่น มีอาจารย์ชาวต่างชาติมากมาย เราได้ไปสัมภาษณ์ Daneal Kathy Ben และKatie ซึ่งแต่ละคนก็ให้แง่คิดมุมมองที่น่าสนใจมากมาย… Daneal ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา เป็นชาวเกาหลีใต้ แต่ได้ย้ายไปอยู่ที่แคนาดาตั้งเเต่ตอนอายุได้ 10 ขวบแล้ว เขาเล่าว่าชอบเพื่อนคนไทยมาก เพราะรู้สึกว่าเป็นมิตรและดูแลเขาเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน สำหรับชีวิตที่ต่างประเทศนั้นมีความเป็นอิสระมากกว่าบ้านเรา เช่น ไม่มี uniform คนถัดมา Kathy เธออายุ 37 ปีแล้ว มาจาก ฮาวาย สถานภาพโสด เธอบอกว่า การศึกษาที่อเมริกาจะเป็นแบบ individual (แต่ไทยจะเป็นแบบ group คือเวลาจะทำอะไรต้องมีเพื่อนไปด้วย) และมีความหิวกระหายที่จะเรียน ( hungry to learning ) ที่สำคัญคนไทยจะมีการเรียนเป็นแบบแผนเฉพาะ คือ พอจบมัธยมปลายแล้วจำเป็นจะต้องต่อมหาวิทยาลัย แต่ที่อเมริกานั้นมีคนที่ไม่ต่อมหาวิทยาลัยแล้วมาทำงานเลยก็มีเยอะแยะ เธอชอบคนไทยที่ใจดี มีความเป็นมิตร ชอบอาหารไทยด้วย ก่อนมาที่นี่เธอเคยไปอยู่อินเดียมาก่อน พอเทียบ ๆ กันดี เธอก็บอกว่ารู้สึกประทับใจในนิสัยของคนไทยมากกว่าและอยากที่จะมาอีกเมื่อมีโอกาส ส่วน Ben อายุ 20 ปี มาอยู่ไทยได้ 2 ปีกว่าแล้ว พูดไทยเก่งมาก เขาอยากจะอยู่เมืองไทยอีกสัก 5 ปีเพราะชอบที่นี่มาก ตอนนี้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ the center จบ high school แล้วมาทำงานที่นี่เลย และ Katie เธออายุ 22 ปี แวะมาเมืองไทยเนื่องจากเธอทำงานในโครงการ Youth with a mission ซึ่งเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค ถึงแม้เธอจะไม่ใช่หมอ แต่เธอก็สามารถแนะนำยาและสามารถจ่ายยาให้คนไข้ได้ ซึ่งก่อนที่จะมาเมืองไทย เธอได้ไปที่อินเดียมาก่อนโดยไปทำงานที่นั่นได้สักพักหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่าคนอินเดียนั้นเป็นคนก้าวร้าว ชอบทะเลาะวิวาทกัน คนไทยดีกว่าเพราะคนไทยสุภาพและมีน้ำใจมากกว่า เมื่อเราถามเธอเกี่ยวการเรื่องการศึกษาของเธอและระบบการศึกษาในอเมริกาว่าเป็นอย่างไร เธอบอกกับพวกเราว่า เธอไม่ได้เรียนต่อจนถึงมหาวิทยาลัย พอเธอจบมัธยมปลาย เธอก็ออกมาทำงานซึ่งที่ทำงานนั้นอยู่ไกลจากบ้านของเธอ เธอจึงต้องอยู่คนเดียว เธอบอกว่าตอนแรกก็รู้สึกกลัวมากแต่หลังจากอยู่คนเดียวได้ประมาณ 1 ปีเธอก็เริ่มรู้สึกชินและชอบชีวิตที่อิสระ เมื่อว่างจากงานเธอก็จะกลับบ้านไปหาคุณแม่ของเธอ เธอเล่าถึงระบบการศึกษาของอเมริกาว่า คนอเมริกันคิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนควรจะได้รับการศึกษา แต่คนอเมริกันก็ชอบชีวิตที่อิสระและมีอิสระในการที่จะเลือกเรียนหรือจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย ถ้าใครไม่เรียนต่อก็ออกมาทำงานหาเงินเอง ซึ่งจะต่างจากคนไทยที่จะต้องอิงถึงความคิดเห็นของผู้ปกครองในการตัดสินใจด้วย
หลังจากที่พวกเราได้สัมภาษณ์ชาวตะวันตกที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยชั่วคราวได้จำนวนหนึ่งแล้ว พวกเราก็ยังได้ไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่เมืองไทยมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ตามบ้านของพวกเขาอีกด้วย
บ้านหลังแรกที่พวกเราได้ไปสัมภาษณ์เป็นบ้านของครอบครัว Watanabe มีสมาชิกอยู่แค่ 2 คนซึ่งเป็นสามีภรรยากันคือ Mr.Derek (ชาวอเมริกัน) และ Mrs. Susia (ชาวอินโดนีเซีย) Mr.Derek อายุ 38 ปี มาจากฮาวาย สัญชาติอเมริกัน เชื้อชาติญี่ปุ่น แต่ไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้เลยเนื่องจากตระกูลของเขาได้ย้ายมาอยู่ที่ฮาวายตั้งแต่รุ่นทวดของเขาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านก็คงจะเคยได้ยินมากันบ้างแล้วว่าคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ที่ฮาวาย Mr.Derek ปัจจุบันเป็นกุ๊กของโรงแรม Legend มาอยู่เมืองไทยได้ 3 ปีแล้ว เนื่องจากได้ย้ายมาเป็นกุ๊กที่นี่ ชอบเมืองไทยตรงที่ค่าใช้จ่ายถูก เป็นประเทศที่ง่ายๆ ไม่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดมากนัก และชอบเชียงใหม่เพราะรถไม่ติด อากาศเย็นสบายไม่ร้อนมากนัก วัฒนธรรมเมืองไทยต่างจากอเมริกาที่คนไทยนิสัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าคิดรู้สึกอย่างไรจะเก็บความรู้สึกไว้ในใจ เช่น ไม่พอใจอะไรจะไม่พูดโพล่งออกมาเหมือนคนอเมริกัน ซึ่งเขามาอยู่ที่นี่ก็ต้องใช้เวลาปรับตัว เขาเล่าว่าการศึกษาที่อเมริกาก็คล้ายเมืองไทยคือมีระดับประถม มัธยม และ มหาวิทยาลัย แต่พื้นฐานทุกคนควรจะจบ high school มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่จบ high school แล้วทำงานเลย ถ้าจะเรียน college ก็จะทำงานไปด้วย และที่สำคัญเขาบอกว่าเด็กอเมริกันโตกว่าเด็กไทย ส่วน Susia ภรรยาชาวอินโดนีเซียของเขา พวกเราก็ได้ไปสัมภาษณ์เช่นกันซึ่งจะเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังในบทเรื่องราวชาวตะวันออกต่อไป
หลังจากที่เราได้ฝึกใช้ภาษาในการสัมภาษณ์ชาวต่างชาติซึ่งพอพูดภาษาไทยได้บ้างเล็กน้อยไปบ้างแล้ว เราก็ได้ไปสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวที่ไนท์บาซาร์ ซึ่งส่วนมากจะพูดภาษาไทยแทบไม่ได้เลย นักท่องเที่ยวส่วนมากมาเที่ยวเมืองไทยเพราะ เป็นเมืองที่สวยงาม ค่าใช้จ่ายไม่แพง และมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ซึ่งชาวตะวันตกที่มาเที่ยวและเราไปสัมภาษณ์นั้นก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ครอบครัวแรกที่เราไปเจอหน้าศูนย์การค้าเชียงอินทร์พลาซ่าคือครอบครัว Garris ซึ่งประกอบไปด้วย Jason and Carie Garris ทั้งคู่อายุ 29 ปี เป็นชาวอเมริกันย้ายจาก Indiana มาอยู่เมืองไทย(เชียงใหม่)ได้ 3 เดือนแล้ว และลูกอีก2 คนคือ Nadia อายุ 4 ขวบตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลวารี และ Bian อายุ 1 ขวบ Jason และ Carie มาเมืองไทยเพื่อเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมไทยก่อนโดยเรียนอยู่ที่ศูนย์ Corner stone ตั้งอยู่ที่อำเภอหางดง พวกเขาได้วางแผนไว้ว่าจะเรียนอยู่ 1 ปี และจะทำงานอยู่ที่นี่อีก 3 ปี จากนั้นค่อยดูอีกที ที่ชอบและสนใจวัฒนธรรมไทยจนถึงขั้นมาเรียนที่นี่เพราะเป็นวัฒนธรรมที่งดงามและมีเสน่ห์มาก พวกเขาชอบทุกอย่างที่เป็นแบบไทย ๆ ชอบโบราณสถาน เสื้อผ้า การแต่งกาย อาหาร และรอยยิ้มของคนไทย ทั้งคู่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เรียนเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่มหาวิทยาลัยตอนอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือแนะนำประเทศไทยในห้องสมุดจึงสนใจมากและถามไถ่จากคนที่เคยไปเมืองไทยมาแล้ว เมื่อเรียนจบและมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง จึงตัดสินใจมาเรียนรู้สัมผัสชีวิตที่เมืองไทยโดยตรง ครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งที่เราไปเจอที่ไนท์บาร์ซ่าร์คือ ครอบครัวของ Marc และ Pam เป็นครอบครัวที่มาจาก New York โดยได้มาเที่ยวทัวร์เอเชียและอยู่เมืองไทยเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งวันที่พวกเราไปสัมภาษณ์ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะอยู่เมืองไทย (หลังจากนั้นพวกเขาจะไปเที่ยวสิงคโปร์ต่อ) ทั้งคู่อายุ 35 ปีทำงานธนาคารด้วยกันทั้งคู่และได้ลาพักร้อนพาลูก ๆ อีก2 คนมาเที่ยวคือ Zach อายุ 3 ขวบ และ Jake อายุ 1 ขวบ พวกเขาบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ เป็นสังคมที่ผู้คนมีน้ำใจ แต่อย่างไรก็ตาม Pam ซึ่งเป็นคุณแม่ของครอบครัวนี้ จากการสังเกตตอนไปสัมภาษณ์ เธอจะมีความระมัดระวังสูงในเรื่องความปลอดภัย เพราะสังเกตจากที่เธอจะไม่ยอมให้ชาวเขาที่เดินขายเครื่องเงินมาเข้าใกล้ลูก ๆ เธอเลย
ชาวต่างชาติในเชียงใหม่…ภาพสะท้อนของวัฒนธรรม
บทนำ
หลังจากที่พวกเรา(กลุ่มนศ.คณะทันตแพทย์ ม.ช.)ได้ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเราและได้เลือกประเด็นที่พวกเราสนใจอันผูกโยงกับโลกาภิวัฒน์กันแล้ว พวกเราก็ตั้งคำถามว่า เหตุไฉนชาวต่างชาติ (อายุไม่มากนัก) จึงแบกเป้เดินท่อมๆ ในบ้านเรา เขาเหล่านั้นไม่ต้องเรียนหนังสือ ทำงานแบบพวกเราคนไทยกันหรือ และเหตุไฉนพวกเขาบางคนจึง happy ที่มาตั้งรกรากในบ้านเรา จากนั้นพวกเราก็ได้ระดมความคิดว่าเราจะไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติกันที่ไหน และแล้วศูนย์ภาษาและคริสตจักรก็ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเราเป็นเป้าหมายแรก ที่นี่เราได้พบกับชาวต่างชาติที่เป็นชาวตะวันตก ในการสัมภาษณ์ครั้งแรกนี้ถึงแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างในเรื่องของภาษา แต่ความเป็นกันเอง ของพวกเขาก็ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนั้นพวกเราก็ยังไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย ทำให้พวกเราได้มีประสบการณ์มากขึ้นและมั่นใจที่จะไปสัมภาษณ์กับชาวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่ไนซ์ บาซาร์ ซึ่งเป็นทั้งชาวตะวันออกและชาวตะวันตกที่เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย และแต่ละคนที่ไปสัมภาษณ์ก็มีแง่มุมความคิดที่หลากหลาย โดยจะมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันในกลุ่มชาวตะวันตกด้วยกันหรือในกลุ่มชาวตะวันออกด้วยกัน แต่ก็เป็นที่สังเกตว่าทั้งสองกลุ่มนี้ มีความคิด วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
จากการไปสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยส่วนใหญ่ก็เพราะเมืองไทยสวยงาม มีศิลปะวัฒนธรรมที่ดีงามและน่าสนใจ ค่าใช้จ่ายไม่แพง คนไทยใจดี เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และคนไทยอย่างพวกเราควรส่งเสริมจุดเด่นและข้อดีเหล่านี้ของประเทศเราเพื่อที่จะได้มีชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ทำให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว มีเงินตราไหลเวียนประเทศมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศในที่สุด
ส่วนชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลานานนั้น จากการสัมภาษณ์ก็พบว่าพวกเขามีแนวคิด,มุมมองเมืองไทย และคนไทยที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งคนไทยด้วยกันเองอาจจะมองข้ามตรงจุดนี้ไป หากเราปรับปรุงข้อด้อย และส่งเสริมข้อดีนั้นแล้ว เพื่อที่จะให้ประเทศของเราพัฒนาก้าวหน้าขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น ๆ ได้
๑. เรื่องราวของชาวตะวันตก
สถานที่ที่เราได้เริ่มไปสัมภาษณ์แห่งแรกคือ ศูนย์คริสตจักรที่หน้ามช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ที่นั่น เราได้เจอกับชาวอเมริกัน 2 คน ซึ่งมาสอนศาสนาอยู่ที่นี่ Cirtis และ Bethany เขาทั้งสองคนต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี จัดแจงเอาเบาะมาให้เรานั่งล้อมวงกัน…แล้วพวกเราก็เริ่มการสัมภาษณ์….Cirtis อายุ 28 ปี จบจาก Texus A&M University สาขาการจัดการด้าน Finance เกี่ยวข้องกับการลงทุน และการออมเงินไว้ แต่ที่มาเผยแพร่ศาสนา ก็เพราะความพอใจส่วนตัว เขาพึ่งมาอยู่เมืองไทยได้ 6 เดือน แต่ก็ได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่างจากที่นี่ เขาชอบท่าแพ เพราะมี กำแพงที่เก่าแก่ไม่เหมือนที่อเมริกาที่ยังมีอายุไม่มากนัก และชอบเชียงใหม่มากกว่ากรุงเทพ เพราะมีมลพิษน้อยกว่า สำหรับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เขาเล่าว่าก็มีทั้งมหาวิทยาลัยที่เข้าได้ยากและที่ง่ายกว่า เหมือนเมืองไทยที่อเมริกาจะมีการเรียนการสอนทุกวัน และไม่มี uniform ใส่ชุดอะไรไปเรียนก็ได้ เขาได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้งรกรากในไทยว่า จะต้องมีความเคารพกฏ ประเพณี วัฒนธรรมและคนไทยอย่างมาก เพราะวัฒนธรรมของไทยแตกต่างกับของอเมริกาอย่างมาก ที่อเมริกาจะอยู่เป็นครอบครัวเล็กๆ อย่างครอบครัวเขาเองก็มีพ่อแม่พี่น้องและเขา ส่วน Bethany อายุ 18 ปี กำลังเรียนอยู่ที่ Texus A&M university เกี่ยวกับเคมี ซึ่งตอนที่พวกเราไปสัมภาษณ์เป็นช่วงหยุดซัมเมอร์พอดี เธอจึงถือโอกาสมาเที่ยว และหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เธอมาประเทศไทยครั้งแรกและมาอยู่ได้ 4 สัปดาห์ มาทำงานเกี่ยวกับการเผยแพร่ศานา ทำงานให้กับโบสถ์ เธอชอบเชียงใหม่ เพราะสวย คนไทยนิสัยดี และชอบอาหารไทย
หลังจากพวกเราสัมภาษณ์ที่คริสตจักรแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือบไปเห็นศูนย์สอนภาษา (The center) ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยเดียวกัน แต่อยู่ถัดไปอีกล็อคหนึ่ง พวกเราจึงลองเข้าไปสัมภาษณ์ ..ที่นั่น มีอาจารย์ชาวต่างชาติมากมาย เราได้ไปสัมภาษณ์ Daneal Kathy Ben และKatie ซึ่งแต่ละคนก็ให้แง่คิดมุมมองที่น่าสนใจมากมาย… Daneal ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา เป็นชาวเกาหลีใต้ แต่ได้ย้ายไปอยู่ที่แคนาดาตั้งเเต่ตอนอายุได้ 10 ขวบแล้ว เขาเล่าว่าชอบเพื่อนคนไทยมาก เพราะรู้สึกว่าเป็นมิตรและดูแลเขาเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน สำหรับชีวิตที่ต่างประเทศนั้นมีความเป็นอิสระมากกว่าบ้านเรา เช่น ไม่มี uniform คนถัดมา Kathy เธออายุ 37 ปีแล้ว มาจาก ฮาวาย สถานภาพโสด เธอบอกว่า การศึกษาที่อเมริกาจะเป็นแบบ individual (แต่ไทยจะเป็นแบบ group คือเวลาจะทำอะไรต้องมีเพื่อนไปด้วย) และมีความหิวกระหายที่จะเรียน ( hungry to learning ) ที่สำคัญคนไทยจะมีการเรียนเป็นแบบแผนเฉพาะ คือ พอจบมัธยมปลายแล้วจำเป็นจะต้องต่อมหาวิทยาลัย แต่ที่อเมริกานั้นมีคนที่ไม่ต่อมหาวิทยาลัยแล้วมาทำงานเลยก็มีเยอะแยะ เธอชอบคนไทยที่ใจดี มีความเป็นมิตร ชอบอาหารไทยด้วย ก่อนมาที่นี่เธอเคยไปอยู่อินเดียมาก่อน พอเทียบ ๆ กันดี เธอก็บอกว่ารู้สึกประทับใจในนิสัยของคนไทยมากกว่าและอยากที่จะมาอีกเมื่อมีโอกาส ส่วน Ben อายุ 20 ปี มาอยู่ไทยได้ 2 ปีกว่าแล้ว พูดไทยเก่งมาก เขาอยากจะอยู่เมืองไทยอีกสัก 5 ปีเพราะชอบที่นี่มาก ตอนนี้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ the center จบ high school แล้วมาทำงานที่นี่เลย และ Katie เธออายุ 22 ปี แวะมาเมืองไทยเนื่องจากเธอทำงานในโครงการ Youth with a mission ซึ่งเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค ถึงแม้เธอจะไม่ใช่หมอ แต่เธอก็สามารถแนะนำยาและสามารถจ่ายยาให้คนไข้ได้ ซึ่งก่อนที่จะมาเมืองไทย เธอได้ไปที่อินเดียมาก่อนโดยไปทำงานที่นั่นได้สักพักหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่าคนอินเดียนั้นเป็นคนก้าวร้าว ชอบทะเลาะวิวาทกัน คนไทยดีกว่าเพราะคนไทยสุภาพและมีน้ำใจมากกว่า เมื่อเราถามเธอเกี่ยวการเรื่องการศึกษาของเธอและระบบการศึกษาในอเมริกาว่าเป็นอย่างไร เธอบอกกับพวกเราว่า เธอไม่ได้เรียนต่อจนถึงมหาวิทยาลัย พอเธอจบมัธยมปลาย เธอก็ออกมาทำงานซึ่งที่ทำงานนั้นอยู่ไกลจากบ้านของเธอ เธอจึงต้องอยู่คนเดียว เธอบอกว่าตอนแรกก็รู้สึกกลัวมากแต่หลังจากอยู่คนเดียวได้ประมาณ 1 ปีเธอก็เริ่มรู้สึกชินและชอบชีวิตที่อิสระ เมื่อว่างจากงานเธอก็จะกลับบ้านไปหาคุณแม่ของเธอ เธอเล่าถึงระบบการศึกษาของอเมริกาว่า คนอเมริกันคิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนควรจะได้รับการศึกษา แต่คนอเมริกันก็ชอบชีวิตที่อิสระและมีอิสระในการที่จะเลือกเรียนหรือจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย ถ้าใครไม่เรียนต่อก็ออกมาทำงานหาเงินเอง ซึ่งจะต่างจากคนไทยที่จะต้องอิงถึงความคิดเห็นของผู้ปกครองในการตัดสินใจด้วย
หลังจากที่พวกเราได้สัมภาษณ์ชาวตะวันตกที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยชั่วคราวได้จำนวนหนึ่งแล้ว พวกเราก็ยังได้ไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่เมืองไทยมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ตามบ้านของพวกเขาอีกด้วย
บ้านหลังแรกที่พวกเราได้ไปสัมภาษณ์เป็นบ้านของครอบครัว Watanabe มีสมาชิกอยู่แค่ 2 คนซึ่งเป็นสามีภรรยากันคือ Mr.Derek (ชาวอเมริกัน) และ Mrs. Susia (ชาวอินโดนีเซีย) Mr.Derek อายุ 38 ปี มาจากฮาวาย สัญชาติอเมริกัน เชื้อชาติญี่ปุ่น แต่ไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้เลยเนื่องจากตระกูลของเขาได้ย้ายมาอยู่ที่ฮาวายตั้งแต่รุ่นทวดของเขาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านก็คงจะเคยได้ยินมากันบ้างแล้วว่าคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ที่ฮาวาย Mr.Derek ปัจจุบันเป็นกุ๊กของโรงแรม Legend มาอยู่เมืองไทยได้ 3 ปีแล้ว เนื่องจากได้ย้ายมาเป็นกุ๊กที่นี่ ชอบเมืองไทยตรงที่ค่าใช้จ่ายถูก เป็นประเทศที่ง่ายๆ ไม่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดมากนัก และชอบเชียงใหม่เพราะรถไม่ติด อากาศเย็นสบายไม่ร้อนมากนัก วัฒนธรรมเมืองไทยต่างจากอเมริกาที่คนไทยนิสัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าคิดรู้สึกอย่างไรจะเก็บความรู้สึกไว้ในใจ เช่น ไม่พอใจอะไรจะไม่พูดโพล่งออกมาเหมือนคนอเมริกัน ซึ่งเขามาอยู่ที่นี่ก็ต้องใช้เวลาปรับตัว เขาเล่าว่าการศึกษาที่อเมริกาก็คล้ายเมืองไทยคือมีระดับประถม มัธยม และ มหาวิทยาลัย แต่พื้นฐานทุกคนควรจะจบ high school มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่จบ high school แล้วทำงานเลย ถ้าจะเรียน college ก็จะทำงานไปด้วย และที่สำคัญเขาบอกว่าเด็กอเมริกันโตกว่าเด็กไทย ส่วน Susia ภรรยาชาวอินโดนีเซียของเขา พวกเราก็ได้ไปสัมภาษณ์เช่นกันซึ่งจะเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังในบทเรื่องราวชาวตะวันออกต่อไป
หลังจากที่เราได้ฝึกใช้ภาษาในการสัมภาษณ์ชาวต่างชาติซึ่งพอพูดภาษาไทยได้บ้างเล็กน้อยไปบ้างแล้ว เราก็ได้ไปสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวที่ไนท์บาซาร์ ซึ่งส่วนมากจะพูดภาษาไทยแทบไม่ได้เลย นักท่องเที่ยวส่วนมากมาเที่ยวเมืองไทยเพราะ เป็นเมืองที่สวยงาม ค่าใช้จ่ายไม่แพง และมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ซึ่งชาวตะวันตกที่มาเที่ยวและเราไปสัมภาษณ์นั้นก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ครอบครัวแรกที่เราไปเจอหน้าศูนย์การค้าเชียงอินทร์พลาซ่าคือครอบครัว Garris ซึ่งประกอบไปด้วย Jason and Carie Garris ทั้งคู่อายุ 29 ปี เป็นชาวอเมริกันย้ายจาก Indiana มาอยู่เมืองไทย(เชียงใหม่)ได้ 3 เดือนแล้ว และลูกอีก2 คนคือ Nadia อายุ 4 ขวบตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลวารี และ Bian อายุ 1 ขวบ Jason และ Carie มาเมืองไทยเพื่อเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมไทยก่อนโดยเรียนอยู่ที่ศูนย์ Corner stone ตั้งอยู่ที่อำเภอหางดง พวกเขาได้วางแผนไว้ว่าจะเรียนอยู่ 1 ปี และจะทำงานอยู่ที่นี่อีก 3 ปี จากนั้นค่อยดูอีกที ที่ชอบและสนใจวัฒนธรรมไทยจนถึงขั้นมาเรียนที่นี่เพราะเป็นวัฒนธรรมที่งดงามและมีเสน่ห์มาก พวกเขาชอบทุกอย่างที่เป็นแบบไทย ๆ ชอบโบราณสถาน เสื้อผ้า การแต่งกาย อาหาร และรอยยิ้มของคนไทย ทั้งคู่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เรียนเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่มหาวิทยาลัยตอนอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือแนะนำประเทศไทยในห้องสมุดจึงสนใจมากและถามไถ่จากคนที่เคยไปเมืองไทยมาแล้ว เมื่อเรียนจบและมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง จึงตัดสินใจมาเรียนรู้สัมผัสชีวิตที่เมืองไทยโดยตรง ครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งที่เราไปเจอที่ไนท์บาร์ซ่าร์คือ ครอบครัวของ Marc และ Pam เป็นครอบครัวที่มาจาก New York โดยได้มาเที่ยวทัวร์เอเชียและอยู่เมืองไทยเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งวันที่พวกเราไปสัมภาษณ์ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะอยู่เมืองไทย (หลังจากนั้นพวกเขาจะไปเที่ยวสิงคโปร์ต่อ) ทั้งคู่อายุ 35 ปีทำงานธนาคารด้วยกันทั้งคู่และได้ลาพักร้อนพาลูก ๆ อีก2 คนมาเที่ยวคือ Zach อายุ 3 ขวบ และ Jake อายุ 1 ขวบ พวกเขาบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ เป็นสังคมที่ผู้คนมีน้ำใจ แต่อย่างไรก็ตาม Pam ซึ่งเป็นคุณแม่ของครอบครัวนี้ จากการสังเกตตอนไปสัมภาษณ์ เธอจะมีความระมัดระวังสูงในเรื่องความปลอดภัย เพราะสังเกตจากที่เธอจะไม่ยอมให้ชาวเขาที่เดินขายเครื่องเงินมาเข้าใกล้ลูก ๆ เธอเลย