ช่วงนี้ไม่สบายแต่มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง : ว่าด้วยการพูดคุยของแพทย์กับการตรวจวินิจฉัย

เนื่องจากเป็นไซนัสอักเสบชนิดเรื้อรังยังไม่รู้ต้องผ่าตัดหรือเปล่า ช่วงนี้จึงต้องพบแพทย์บ่อยพอตัวบวกกับเคยผ่าตัดซีสต์ที่มือครั้งนึงและโรคหูดที่เท้าอีกสองครั้งในรอบ สองปีจึงขอนำประสบการณ์มาเล่าบ้าง

แพทย์หลายคนสงสัยเรื่องวิธีคุยกับคนไข้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นอะไร มีอะไรที่เขาไม่บอกหรือแอบไม่บอกเราหรือเปล่าเพราะแบบนี้เราจึงเจอวิธีพูดของแพทย์ที่ต่างกันออกไปเพียงเพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่เอาจากประสบการณ์ผมขอแบ่งดังนี้

1.แพทย์ที่ทำตัวเป็นคนไข้เสียเอง วิธีพูดจะบอกว่าถ้าคุณเป็นแพทย์จะทำอย่างไร หรือทำอย่างไรกันดีล่ะ ประมาณว่าเผื่อคนไข้จะพูดอะไรออกมาแล้วเห็นพ้องต้องกันก็ว่าตามนั้น

2.แพทย์ที่พยายามฟังและบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่นพูดแบบเพื่อนนะ ผมว่า วิธีนี้คงต้องดูอายุคนไข้ด้วยว่าเขาจะว่าเหมาะไหมหรือเขานิสัยใจนักเลงหรือเปล่า ประมาณว่าสู้ กำลังใจไม่ค่อยสำคัญ

3.แพทย์ที่ดุคนไข้ บางเรื่องคนไข้ไม่พูดพูดไม่หมดหรือเห็นเป็นเรื่องหยุมหยิมยิบย่อย แพทย์จะดุเพื่อที่ว่าจะได้รู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้หรือเปล่าหรือพวกที่มาหาหมอบ่อยก็อาจจะต้องดุบ้างเพื่อให้เขากลับไปใช้ชีวิตตามปกติหาแพทย์บ่อยก็ใช้ว่าจะช่วยได้

4.แพทย์ที่มาดื้อ ๆ เลย ผมรักษาคุณไม่ได้ให้คนอื่นก็มีแต่คนไข้จะรู้สึกว่าหมอยอมรับและกำลังมีการปรึกษาหรืออย่างน้อยก็ส่งให้หมอที่น่าจะเก่งกว่าดูอาการทั้งที่มันอาจไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป

ส่วนตัวแบบไหนก็ไม่มีปัญหาช่วยฟังให้พอ ผมรู้ว่าแพทย์เก่งกว่ามากมายแต่กว่าแค่ดูด้วยตาแล้วซักไม่กี่ประโยคแล้วจ่ายยาผมจะเชื่อถือได้อย่างไร(เจอมากับแพทย์ประกันสังคม) เขาบอกว่าเขาเป็นจิตแพทย์กลายเป็นว่าผมเห็นใจ

ผมก็คนไข้จิตเวชออทิสติก ผมเห็นใจนะหมอจิตเวชนี่เครียดมาก ๆๆๆ จะดุนิดดุหน่อยผมไม่ว่าอะไรหรอกอ้าวเป็นงั้นแล้วทำไมมาทำเวชปฏิบัติทั่วไปด้วยล่ะเนี่ยงานหลักก็ท่าจะแย่อยู่แล้วทำมาแล้วอารมณ์ไม่ดี ตอนเย็นดุคนไข้จะดีหรือถึงแม้จะเก่งวินิจฉัยแม่นยำเพียงใดก็ตาม

ขอให้ฟังขอให้บอกว่าเป็นห่วงคุณนะไม่อยากให้ทานยามากไม่ดี มีอะไรให้ช่วย ฯลฯจริงอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่ร้านขายยาผมป่วยถ้ายาหมดถ้าต้องการยาผมจะพบแพทย์เพราะเขาจะให้ตามเหมาะสม ไม่ใช่ซื้อกินเองหมอไม่รู้ให้มาอีก แต่ถ้าซื้อยากินเองได้หมดเห็นทีคงไม่ต้องมีแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ฯลฯ เป็นแน่ และอย่างไรเสียคนไข้ก็รู้ว่ายาแบบไหนทานแล้วดีขึ้น หรือไม่ดีอยู่ดี ทักษะการฟังจึงจำเป็นมากทีเดียวไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือเป็นคนไข้ก็ตาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่