คำว่า"มะเร็ง" คิดว่าใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก และหวาดกลัวกันทั้งนั้น เพราะจากคำบอกเล่า
บทความต่างๆ หรือในภาพยนตร์ ทำให้ไม่แปลกที่พวกเราจะเกลียดคำนี้มาก
ซึ่งเราก็ยังเผชิญกับมัน และยังคงเผชิญอยููู่่นะค่ะ จะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
จะได้แชร์ประสบการณ์ในการดีลกับมันให้ได้
>>> ยาวนิดนึงนะค่ะ เพราะอยากจะเล่าให้ละเอียดจะได้เป็นความรู้
แก่คนที่ต้องเผชิญปัญหาเดียวกัน
อาการออก
เมื่อราว พ.ค. ปี 55 คุณแม่มีอาการเลือดออก ที่ช่องคลอด ทั้งๆ ที่คุณแม่หมดประจำเดือนแล้ว
โดยคุณแม่มีอาการเลือดออก และมีไข้ต่ำๆ อยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อคุณแม่บอกเรา
แว่บแรกก็คิดนะค่ะ ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะด้วยอายุ ด้วยอาการที่อ่านเจอ ผสมกับการที่คุณแม่
ไม่ค่อยดูแลตัวเอง สูบบุหรี่ กินกาแฟ เราเลยฟันธง(ในใจ) ไปแล้วว่าึคุณแม่ ต้องเข้าข่ายมะเร็งปากมดลูกแน่นอน
แต่จะเป็นมากน้อยแค่ไหนนั้น ต้องไปลุ้นกันดู
เราเลยพาคุณแม่ไปแผนกสูติ-นรีเวช ที่โรงพยาบาลเกษมราษฏร์ รัตนาธิเบศร์เพราะอยู่ใกล้บ้าน
ไปถึงก็ทำการตรวจภายใน และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ โดยคุณหมอได้กระซิบบอกกับเราว่าำไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะค่ะ
(คิดในใจ โป๊ะเชะ..!!! ) แต่ว่าขอดูผล Lab ประมาณ 1 สัปดาห์
ผลตรวจ Lab ชิ้นเนื้อ
ในระหว่างรอ เราก็หาอ่านบทความถึงวิธีการรักษาต่าง ๆ บทความที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าแน่นมาก
ข้อมูล ต่างๆ นานา (ช่วงนั้นบอกตามตรงถึงแม้จะเตรียมใจ ถึงเวลาจริงๆ มันโหดมากค่ะ
และการที่เราเป็นลูกคนโต ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเวลา ตอนนั้นหัวหมุนมากค่ะ
รู้ไว้ว่า...ทำประกันไว้ดีเสมอค่ะ ) ซึ่งแม่เราไม่ได้ทำ
กลับมาที่การไปรับผลแล๊ป เราก็ไปกับคุณแม่ พร้อมน้องชายและน้องสาวนะค่ะ มีแค่นี้ค่ะ ตามประสา
ครอบครัว Single Mom คุณหมอก็แจ้งว่า คุณแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก ขั้นที่ 3
(ณ เวลาตอนนั้น มันเกินบรรยายจริงๆ นะค่ะ นิ่งทั้งคุณแม่ น้องชาย และน้องสาว)
คุณหมอก็แนะนำว่า จะรักษาที่ไหนต่อ เพราะค่าใช้จ่ายสูง ทั้งการฉายรังสี การให้คีโม
ผ่าตัด คุณหมอเลยแนะนำให้เข้าระบบ 30 บาท ของโรงพยาบาลรัฐฯ ดีกว่า เพราะนอกจาก
จะเซฟค่าใช้จ่าย เครื่องไม้เครื่องมือยังพร้อมกว่าอีกด้วย
เราก็เลยขอผลตรวจเนื้อ ทุกอย่างมาจาก รพ.เกษมราษฏร์ รัตนาธิเบศร์ เพื่อนำมาวาง
แผนต่อไป
วันนั้นเราก็ส่งคุณแม่กลับบ้านนะค่ะ ให้กำลังใจท่าน กอดท่าน บอกว่า ต้องสู้ไปด้วยกัน
มันเกิดมาแล้วก็ต้องรักษาต่อไป (ก็ปั้นหน้าเข้มแข็งไปตามเรื่อง ตามราวค่ะ)
พอแยกกับคุณแม่ เพราะต้องไปทำงานต่อ นั่งรถตู้ ร้องไห้เลยค่ะ ร้องจริงจังมาก
คนข้างๆ มองเลย แต่ตอนนั้น มัน Weak แล้วค่ะ ปั้นหน้าไม่ไหว น้ำตามันไหลออกมาเต็ม
ชนิดแฟนโทรหา ก็ไม่รับ
เข้าใจเพื่อน ๆ พี่ๆ ที่มีญาติเป็นมะเร็งขึ้นมา 100 % เลยค่ะ ....
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะค่ะ
เมื่อคนที่คุณรักที่สุดเป็นมะเร็ง ! สิ่งที่ต้องทำคือเผชิญหน้า Pt.1
บทความต่างๆ หรือในภาพยนตร์ ทำให้ไม่แปลกที่พวกเราจะเกลียดคำนี้มาก
ซึ่งเราก็ยังเผชิญกับมัน และยังคงเผชิญอยููู่่นะค่ะ จะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
จะได้แชร์ประสบการณ์ในการดีลกับมันให้ได้
>>> ยาวนิดนึงนะค่ะ เพราะอยากจะเล่าให้ละเอียดจะได้เป็นความรู้
แก่คนที่ต้องเผชิญปัญหาเดียวกัน
อาการออก
เมื่อราว พ.ค. ปี 55 คุณแม่มีอาการเลือดออก ที่ช่องคลอด ทั้งๆ ที่คุณแม่หมดประจำเดือนแล้ว
โดยคุณแม่มีอาการเลือดออก และมีไข้ต่ำๆ อยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อคุณแม่บอกเรา
แว่บแรกก็คิดนะค่ะ ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะด้วยอายุ ด้วยอาการที่อ่านเจอ ผสมกับการที่คุณแม่
ไม่ค่อยดูแลตัวเอง สูบบุหรี่ กินกาแฟ เราเลยฟันธง(ในใจ) ไปแล้วว่าึคุณแม่ ต้องเข้าข่ายมะเร็งปากมดลูกแน่นอน
แต่จะเป็นมากน้อยแค่ไหนนั้น ต้องไปลุ้นกันดู
เราเลยพาคุณแม่ไปแผนกสูติ-นรีเวช ที่โรงพยาบาลเกษมราษฏร์ รัตนาธิเบศร์เพราะอยู่ใกล้บ้าน
ไปถึงก็ทำการตรวจภายใน และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ โดยคุณหมอได้กระซิบบอกกับเราว่าำไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะค่ะ
(คิดในใจ โป๊ะเชะ..!!! ) แต่ว่าขอดูผล Lab ประมาณ 1 สัปดาห์
ผลตรวจ Lab ชิ้นเนื้อ
ในระหว่างรอ เราก็หาอ่านบทความถึงวิธีการรักษาต่าง ๆ บทความที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าแน่นมาก
ข้อมูล ต่างๆ นานา (ช่วงนั้นบอกตามตรงถึงแม้จะเตรียมใจ ถึงเวลาจริงๆ มันโหดมากค่ะ
และการที่เราเป็นลูกคนโต ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเวลา ตอนนั้นหัวหมุนมากค่ะ
รู้ไว้ว่า...ทำประกันไว้ดีเสมอค่ะ ) ซึ่งแม่เราไม่ได้ทำ
กลับมาที่การไปรับผลแล๊ป เราก็ไปกับคุณแม่ พร้อมน้องชายและน้องสาวนะค่ะ มีแค่นี้ค่ะ ตามประสา
ครอบครัว Single Mom คุณหมอก็แจ้งว่า คุณแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก ขั้นที่ 3
(ณ เวลาตอนนั้น มันเกินบรรยายจริงๆ นะค่ะ นิ่งทั้งคุณแม่ น้องชาย และน้องสาว)
คุณหมอก็แนะนำว่า จะรักษาที่ไหนต่อ เพราะค่าใช้จ่ายสูง ทั้งการฉายรังสี การให้คีโม
ผ่าตัด คุณหมอเลยแนะนำให้เข้าระบบ 30 บาท ของโรงพยาบาลรัฐฯ ดีกว่า เพราะนอกจาก
จะเซฟค่าใช้จ่าย เครื่องไม้เครื่องมือยังพร้อมกว่าอีกด้วย
เราก็เลยขอผลตรวจเนื้อ ทุกอย่างมาจาก รพ.เกษมราษฏร์ รัตนาธิเบศร์ เพื่อนำมาวาง
แผนต่อไป
วันนั้นเราก็ส่งคุณแม่กลับบ้านนะค่ะ ให้กำลังใจท่าน กอดท่าน บอกว่า ต้องสู้ไปด้วยกัน
มันเกิดมาแล้วก็ต้องรักษาต่อไป (ก็ปั้นหน้าเข้มแข็งไปตามเรื่อง ตามราวค่ะ)
พอแยกกับคุณแม่ เพราะต้องไปทำงานต่อ นั่งรถตู้ ร้องไห้เลยค่ะ ร้องจริงจังมาก
คนข้างๆ มองเลย แต่ตอนนั้น มัน Weak แล้วค่ะ ปั้นหน้าไม่ไหว น้ำตามันไหลออกมาเต็ม
ชนิดแฟนโทรหา ก็ไม่รับ
เข้าใจเพื่อน ๆ พี่ๆ ที่มีญาติเป็นมะเร็งขึ้นมา 100 % เลยค่ะ ....
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะค่ะ