จินตนิยายสามก๊ก 2013 (ปรับปรุงใหม่)

กระทู้สนทนา
จินตนิยายสามก๊ก ที่ถือกำเนิดจากกระทู้หนึ่งของคลับสามก๊ก เมื่อหลายปีก่อน ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด การกลับมาอีกครั้ง พร้อมเนื้อเรื่องที่ถูกแก้ไข ตัดแต่งกิ่งก้าน ขุดรากถางพง กันต่อไป สามารถติดตามได้ทาง bloggang - บทประพันธ์ หรือ facebook page - จินตนิยายสามก๊ก ข้างล่างนี้

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=firehawk2550&month=07-2013&date=09&group=8&gblog=1

https://www.facebook.com/CintNiyaySamKk?ref=hl

นี่คือตัวอย่างของนิยาย ในตอนที่ 2

***

2.    สามพี่น้องร่วมสาบาน

"จ้าวลัทธิอวิชชา พลิกแผ่นฟ้าล้างแผ่นดิน จากต่ำต้อยค่อยโบยบิน กัดกินสิ้นสุดราชวงศ์"

ตำนานเล่าว่า เซียนผู้วิเศษผู้หนึ่งเผยแพร่คำทำนายสะท้านฟ้านี้ต่อจอมกษัตริย์จิ๋นซี ผู้วางรากฐาน แผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ โดยระบุว่า บทกลอนนี้คือดวงชะตาประจำอาณาจักรแห่งนี้ ซึ่งมีความหมายว่า จะเกิดผู้นำทางความคิดตั้งตนขึ้นมาก่อความวุ่นวายต่อแผ่นดินอยู่เนืองๆ และบางครั้ง อาจจะลุกลามไปถึงขั้นล้มล้างบัลลังก์ได้ด้วย ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กษัตริย์จีน ทุกยุคสมัยล้วนต้อง กริ่งเกรงต่อสามัญชนที่เป็นผู้นำนิกาย หรือลัทธิความเชื่อที่สามารถสั่งการ และระดมผู้คนได้มากมายจนเกินควร ราวกับเป็นเนื้อร้ายในร่างกายของตนเอง
ดังนั้น ลัทธิโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊กสมัยฮั่น นิกายวัชรญาณของบูเชกเทียนสมัยถัง ลัทธิฟ้าลิขิต ของโจรเหลียงซานสมัยซ่ง ลัทธิบูชาไฟของจูง่วนเจียงสมัยหยวน นิกายบัวขาวของกบฏนักมวย สมัยชิง ไปจนถึง ลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือ นิกายธรรมจักรในยุคโลกใหม่ จึงมักจะมีผลกระทบ รุนแรง และเป็นที่หวาดระแวงต่อผู้นำประเทศจนต้องถูกปราบปรามอย่างหนักในแต่ละยุคสมัย แต่บางกลุ่มก็สามารถพลิกฟ้า เปลี่ยนแผ่นดินได้จริงๆ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ปฐมกษัตริย์จิ๋นซีจึงก่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญด้วยการเผาตำราฝังปัญญาชน เพื่อ ล้มล้างกลุ่มคนที่ต่อต้านการปกครองรูปแบบใหม่ของตนเอง แต่ผลลัพท์นี้เองก็ทำให้เกิดกลุ่ม ปัญญาชน ที่นำโดยเตียวเหลียง ร่วมกันล้มล้างราชวงศ์จิ๋นในภายหลังจนได้

...

ย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ฮั่น กษัตริย์เลนเต้อ่อนแอเลอะเลือน โดนพวกขันทีคนสนิทเกาะกุม อำนาจในวังหลวง เกิดกองทัพโจรที่มักเรียกตัวเองเป็นพรรคฟ้าเหลือง มี เตียวก๊ก ผู้เป็น ประมุขพรรค เป็นที่ร่ำลือ กันว่า มีคาถาอาคมคล้ายดั่งเทพยดาผู้วิเศษที่ชุบชีวิตคนได้ เขาสร้าง กองทัพธรรมขึ้นเพื่อหวังล้มล้าง แผ่นดินฮั่นคืนความสุขให้กับราษฎร กำลังเป็นที่จับตามองว่า จะมีน้ำหนักมากน้อยเท่าไร และกองทัพ เรือนหมื่นเรือนแสนคนนั้นจะทำอะไรกับทางการได้บ้าง เพราะนับวันก็จะมีพลพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ และหลายคนนึกถึงคำทำนายสะท้านฟ้านั้นอีกครั้ง

ผู้คนบางส่วนกำลังตื่นตัวกับการระดมพลเข้ารับใช้ชาติด้วยการเข้ากองกำลังอาสาปราบโจรโพกผ้าเหลือง แต่บางคนก็อาศัยความชุลมุนวุ่นวาย ก่อเหตุการณ์ขึ้นตามใจชอบ อย่างเช่น เผิงเสียน ชายหนุ่มพเนจร คนหนึ่ง ในวัยประมาณ 25-26 ปี ผิวขาวสะอาด หน้าตาเกลี้ยงเกลา ที่ต้องการ ผดุงคุณธรรมด้วย การบุกสังหารปลัดอำเภอ เพียงเพราะได้ยินคำร่ำลือไปในทางเสียหายเชิงชู้สาว แต่แล้วเขากลับ ฉวยโอกาสนั้น เก็บริบทรัพย์สินเงินทองออกมาเต็มย่ามสะพายหลัง ราวกับเป็น ผู้ร้ายชิงทรัพย์ และกำลัง จุดไฟเผาคฤหาสน์เพื่อเป็นการทำลายหลักฐาน หากช่างโชคร้ายที่เขา พบกับมือปราบวัยกลางคนชื่อดัง ฉายา จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในอำเภอนี้ เข้าพอดี ทั้งสองจึงต้องต่อสู้กัน คนหนึ่ง สู้เพื่อเอาชีวิตรอด และรักษาเงินทองที่ได้มา คนหนึ่งสู้ เพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย และชื่อเสียงที่สั่งสม มายาวนาน

ชายหนุ่มมีพละกำลังไม่น้อย แต่เชิงชั้นวิทยายุทธ์ยังด้อยกว่า พลาดท่าโดนเกาทัณฑ์ลับปักเข้า ที่ไหล่ซ้าย จึงตัดสินใจ ย้อนกลับเข้าไปในคฤหาสน์ที่กำลังลุกไหม้นั้นอีกครั้ง มือปราบไม่กล้า ฝ่่าเปลวไฟติดตามมา ชายหนุ่มจึงหลบรอดไปได้ แต่ก็โดนเปลวไฟเผาผิวกาย และใบหน้า จนไหม้เกรียม แดงคล้ำไปทั่วทั้งร่าง เมื่อหลบรอดมาแล้ว ชายหนุ่มค่อยมีจังหวะดึงเกาทัณฑ์ลับ ออกจากไหล่ และสังเกตเห็นชื่อของฝ่ายตรงข้าม ที่จารึกไว้บนเกาทัณฑ์

"เผิงเสียนเอ๋ย จงจำรอยไหม้บนใบหน้า ร่างกายและบาดแผลลึกนี้ไว้ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า มือปราบฮองตงใช้อาวุธลับอันนี้ทำร้ายเจ้า"

ร่องรอยบาดแผลอาจฟื้นคืนสภาพได้ แต่ความแค้นในจิตใจยังฝังไว้อีกเนิ่นนาน เผิงเสียนจึง ออกเดินทางย้ายถิ่นฐานไปโดยทันที ตลอดจนจำต้องแปลงโฉม โพกผ้าคลุมผม และไว้หนวดเครา ปกปิดรอยไหม้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของมือปราบฮองตง แต่ดูเหมือนมือปราบก็ยังติดตาม ร่องรอยมาอย่างไม่ลดละ ยังดีที่เผิงเสียนมีไหวพริบดี จึงยังหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิดหลายครั้ง จนออกอุบายล่อลวงให้ฮองตงติดตามไปผิดเส้นทาง

...

หลายเดือนมาแล้วที่เจ้าสัวหนุ่ม วัยยี่สิบต้นๆ แห่งตลาดค้าเนื้อสัตว์ ร่างท้วมใหญ่ หนวดเครารุงรัง เต็มหน้า กลิ่นสุราคละคลุ้งทั่วร่างกาย นามว่าเตียวหุย จะมายืนป้วนเปี้ยนใกล้ๆจุดที่ติดป้าย ประกาศของทางการเพียงเพื่อรอคอยเสียงถอนหายใจของใครคนหนึ่ง วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ ความพยายามของเขาคงจะสูญเปล่าเช่นเคย

ทันใดนั้น เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นทางด้านหลังเบาๆ แต่นั่นคือสัญญาณอันสำคัญที่เขาเฝ้ารอ อยู่นานมากแล้ว เตียวหุยหันกลับไปพบกับชายวัยประมาณสามสิบปี แต่งกายซอมซ่อ แต่ยังดูสง่า มีราศี เบื้องหน้าคือหาบไม้ที่บรรจุเสื่อฟางและรองเท้าสาน เขามองไปที่ใบหูของชายคนนั้น ก็เพียงแต่เป็นใบหูธรรมดาๆที่พอจะเรียกว่า “ค่อนข้างยาว” กว่าคนทั่วไปเท่านั้น เขาจึงแกล้งตวาดว่า “เป็นคนปกติมือเท้าครบถ้วน ไยต้องถอนใจให้กับเหตุการณ์บ้านเมืองเล่า”

ชายคนนั้นงงงันวูบหนึ่ง ก่อนประสานมือตอบพร้อมด้วยหน้าถอดสี “ขออภัยท่านเจ้าสัว ข้าน้อย เสียดายที่มีเพียงกำลังสองมือ ไม่อาจเข้าร่วมทัพปราบโจรแผ่นดินแทนคุณให้ราชวงศ์ฮั่นได้ เท่านั้นเอง” อันที่จริงแล้ว เขาเพียงกำลังกลัดกลุ้มใจที่เพิ่งโดนท่านอาตำหนิ มาเมื่อเช้า ด้วย ไร้ความสามารถในการสร้างฐานะให้กับตนเอง หากแต่เรื่องเช่นนี้ คงไม่สะดวกจะเอ่ยถึงต่อคน ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ จึงเฉไฉไปเรื่องของสถานการณ์บ้านเมืองแทน

เตียวหุยนึกดีใจที่ได้พบคนที่รอคอย จึงกล่าวต่อ “ข้าคือเตียวหุย เป็นเจ้าของตลาดค้าเนื้อสัตว์ แห่งนี้ ส่วนท่านคือ..”

“ข้าน้อยเล่าปี่ อาชีพทอเสื่อขาย เพิ่งจะเข้ามาในเมืองนี้ไม่นาน จริงๆแล้วข้าน้อยเป็นเชื้อสาย ราชวงศ์ฮั่นด้วย แต่ดวงชะตาข้าน้อยอาภัพนัก จึงต้องพเนจรทนตกยากอยู่เช่นนี้” ชายหนุ่ม รีบตอบอย่างคล่องปาก ราวกับท่องบ่นมาหลายสิบครั้งแล้ว

เตียวหุยตาลุกวาว แม้ไม่ค่อยเชื่อถือในท่าทีและคำกล่าว หากแต่นี่คือคนที่เขาเฝ้ารอคอยมานาน จึงรีบคว้ามือเล่าปี่ออกมายืนกลางถนนทันที “ข้าดีใจนักที่ได้พบท่าน ชะตาเราต้องกันแล้ว มาร่วมกันทำงานใหญ่กันเถิด” กล่าวพลาง มองไปรอบๆเหมือนจะหาใครอีกคนหนึ่ง
เล่าปี่แปลกใจในท่าทีอันประหลาด แต่นึกในใจว่าคนรวยย่อมทำอะไรไม่ผิด อาจจะเพียงหา เพื่อนฝูงคนรู้จักละกระมัง จึงยืนกังวลอยู่ด้านข้าง จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังมาแต่ไกล “หลีกทาง หน่อย รถเข็นกำลังมา”

เตียวหุยมองไปตามเสียง เห็นเป็นชายหนุ่มใบหน้าแดงคล้ำ มีหนวดเครารกยาว โพกผ้าคลุมผม แต่งกายมอซอ กำลังเข็นรถขนสัมภาระตรงมาอย่างรวดเร็ว คล้ายหลบหนีใครมา จึงดีใจยิ่งนัก แต่กลับยืนขวางทางไว้อย่างจงใจ ทำให้ผู้ที่เข็นรถต้องดึงรถเข็นให้หยุดลง เตียวหุยจึงเปิดบทสนทนา “ท่านจะรีบร้อนไปที่ไหนกัน พวกเราสองคนกำลังจะไปปราบ โจรแผ่นดิน ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร”

ผู้มาใหม่คล้ายแปลกใจ แต่ยังคงตอบว่า  “ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับท่านทั้งสองนั้นแหละ”

“ดีแล้ว พวกเราไปนั่งคุยกันที่บ้านของข้าก่อนเถอะ” เตียวหุยชวนพลางผลักรถเข็นไปใน ทิศทางของตนเอง เล่าปี่รีบจับมือผู้มาใหม่พร้อมแนะนำตัวอีกรอบหนึ่ง

ชายหน้าแดงคล้ำ ผู้มาใหม่ ซึ่งก็คือเผิงเสียน นึกดีใจที่ได้พรรคพวกเพิ่ม และคนชวนก็ดูท่าทาง เป็นคนมีเงินทอง น่าจะช่วยเหลือเรื่องที่พักพิงได้บ้าง อย่างน้อย คงจะได้มีที่หลบซ่อนตัวจาก มือปราบฮองตงและคดีที่ติดตัวมาได้สักช่วงเวลาหนึ่ง จึงไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนแต่อย่างใด ในขณะที่เล่าปี่สอบถามชื่อแซ่ มันไม่กล้าเอ่ยชื่อแซ่จริงกับคนแปลกหน้า พลันนึกถึงชื่อ ด่านปราการที่เพิ่งผ่านมา จึงกล่าวตอบว่า "ตัวเราแซ่กวน นามว่าอู"

...

เตียวหุยตั้งวงสุราในสวนท้อหลังบ้านให้กับเล่าปี่ กวนอู จนถึงค่ำคืน พูดคุยกันจนถูกคอแล้ว จึงชักชวนให้สาบานเป็นพี่น้องกันในวันแรกที่พบนั้นเลยทีเดียว ซึ่งเล่าปี่ กวนอู ได้เห็นถึง ฐานะอันมั่นคงของเจ้าสัวน้อยคนนี้แล้ว ยอมรับในใจว่า ด้วยความสามารถของตนเอง คงมิอาจไต่เต้าขึ้นมาได้ถึงปานนี้ ทั้งสองจึงเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดว่าสำหรับตนเองแล้ว มีแต่ได้ ไม่มีเสีย

เล่าปี่เป็นพี่ใหญ่ กวนอูเป็นคนรอง เตียวหุยเป็นน้องสาม ทั้งสามจึงดื่มเหล้าร่วมสาบานกัน ต่อไปจนมึนเมาหลับฟุบไปคาวงเหล้า แต่ภายในสวนท้อนั้น ยังมีเหล่าคนรับใช้ที่คอยดูแล อาหารการกินอยู่ราวสิบคน ทั้งหมดยืนนิ่งคอยรับใช้อยู่ห่างๆ และแล้ว หนึ่งในคนรับใช้ ส่งสัญญาณ ทำนิ้วชี้และนิ้วกลางมาไขว้กัน ชี้ตรงไปข้างหน้า

มันคือสัญญาณอะไรหรือ??

... 

***

(แหม เดี๋ยวนี้ ส่งกระทู้ที ต้องมี แทก มีจำกัดตัวอักษรด้วย ทันสมัยจัง นี่ ผมไม่ได้ตั้งกระทู้มานานมากแล้วกระมัง..)
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่