กับดักและวังวน ของพวกมิจฉาทิฐิ(อภิธรรมเม็ดมะขาม)

ความน่าสมเพชประการหนึ่งของพวกเม็ดมะขาม ก็คือ คนพวกนี้จะมีความพยายามอย่างยิ่งในการ "แถกแถ"
เอาสีข้างเข้าถู เพื่อบิดเบือนพุทธพจน์ หรือ เบี่ยงเบนประเด็น(ที่เป็นใจความหลัก) เพื่อให้ในท้ายที่สุดแล้ว
พวกมันยังคงสามารถ "รักษา" แนวคิดมิจฉาทิฐิ ของพวกมัน ให้แทรกซึมอยู่ในพระพุทธศาสนาต่อไปได้



ตัวอย่างเช่น   นายชาวมหาวิหาร ผู้ซึ่งมีความเห็นผิดแบบพวกสัสสตทิฐิว่า
ตนเป็นผู้ทำกรรม และตน(อีกนั่นแหละ)ที่จะเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำนั้น
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ใน อเจลกัสสปสูตร ความว่า หากใครก็ตาม มีความเชื่อว่า
(๑) มีผู้ทำกรรม และ (๒) มีผู้รับผลวิบากแห่งกรรมนั้น ซึ่งเป็นคนเดียวกัน ก็ย่อมได้ชื่อว่า สัสสตทิฐิ !



คำถาม ก็คือ

พุทธพจน์จาก อเจลกัสสปสูตร  ยังชัดเจนไม่พอ อีกละหรือ ?

แต่แทนที่คนพวกนี้ จะมีความสำนึกผิดชอบชั่วดี ในบาปกรรมชั่ว
มันกลับแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะ "บิดเบือน" พระธรรมวินัย
ให้ออกนอกลู่นอกทาง สอดคล้องกับความคิดความเชื่อของพวกมัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้พวกมัน แถกแถ อย่างไรๆ
ก็ไม่มีทางที่จะพ้นไปจากความเป็น มิจฉาทิฐิ ไปได้เลย !



ทีนี้เรามาดูการ "แถกแถ" ของนายชาวมหาวิหาร กันนะครับ

ด้วยเหตุที่นายคนนี้ ได้กล่าววาจาแสดงความเป็นมิจฉาทิฐิออกมาว่า
เมื่อนาย ก. ทำกรรมไว้ นาย ก. ก็ต้องเป็นผู้รับผล
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า ความคิดแบบนั้นเป็น สัสสตทิฐิ

แต่เขาคนนี้ ได้พยายามจะเลี่ยงบาลี ในทำนองว่า
นาย ก. ที่เขาพูดถึงนี้ เป็น สมมุติบัญญัติ
หมายถึง กระแสการเกิดดับของ ขันธ์ ๕ ชุดหนึ่งๆ

แต่ปัญหามันเกิดเพิ่มขึ้นมา ก็เพราะคำอธิบายโง่ๆ ของมันนี้แหละครับ
ท่านทั้งหลายพึงสังเกตให้ดีว่า การที่นายคนนี้กล่าวว่า
นาย ก. หมายถึง กระแสการเกิดดับของ ขันธ์ ๕ ชุดหนึ่งๆ นี้เป็นการอธิบายที่มีปัญหามาก

คำว่า ขันธ์ ๕ ชุดหนึ่งๆ นี้หมายความว่าอะไรครับ ?

๑) ถ้ามันหมายถึง มีขันธ์ ๕ อยู่ชุดเดียว แต่มีอาการเกิดดับไปเรื่อยๆ ในขันธ์ ๕ ชุดเดิมนี่แหละ
อธิบายแบบนี้ มันก็ยังเป็น สัสสตทิฐิ อยู่ดี เนื่องจากมันจะกลายเป็นว่า มีขันธ์ ๕ ชุดหนึ่ง สมมุติว่าเป็น นาย ก.
ส่วนการ เกิดดับ เป็นเพียง อาการ หรือ กิริยา ที่เป็นเพียงแค่ มายาภาพ แต่ในความเป็นจริง ขันธ์ ๕ ชุดนี้ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม
และมันก็ยังสมมุติเรียกขันธ์ ๕ ชุดเดิมนี้ว่า นาย ก. ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นแนวคิดของ สังกราจารย์ นะครับ

๒) ถ้ามันหมายความว่า นาย ก. เป็นสมมุติบัญญัติ ใช้เรียก ขันธ์ ๕ แต่ขันธ์ ๕ นี้ไม่เที่ยง มีการเกิดดับ
ขันธ์ ๕ ชุดแรก(ที่เคยสมมุติว่าเป็น นาย ก.)ดับไป เกิดมีขันธ์ ๕ ชุดใหม่ขึ้นมา โดยที่นายคนนี้ ก็สมมุติเรียกว่า นาย ก. อีก
ด้วยคำอธิบายแบบนี้ จะมีความหมายว่า นาย ก.(สมมุติเรียกจาก ขันธ์ ๕ ชุดแรก) เป็นผู้ทำกรรม
โดยมี นาย ก.(สมมุติเรียกจาก ขันธ์ ๕ ชุดสอง) เป็นผู้รับผลของการกระทำนั้น

ปัญหาจึงมีอยู่ว่า บนเงื่อนไข ที่ว่า ขันธ์ ๕ ทั้งสองชุดนี้ มิได้เป็น ขันธ์อันเดียวกัน
คุณมีความเข้าใจต่อความสัมพันธ์ระหว่าง นาย ก. และขันธ์ ๕ ทั้งสองชุดนั้นว่าอย่างไร ?

(๒.๑) หากเข้าใจว่า นาย ก. ที่สมมุติเรียก ขันธ์ ทั้ง ๒ ชุดนั้นเป็นคนๆ เดียวกัน
นั่นย่อมเท่ากับ กำลังกล่าวว่า นาย ก. เป็นผู้ท่องเที่ยวไป แล่นไป จากขันธ์ชุดหนึ่งไปสู่ขันธ์อีกชุดหนึ่ง
หรือพูดแบบภาษาชาวบ้านได้ว่า  นาย ก. ได้ย้ายออกจากร่างหนึ่ง ไปสิงสู่ในอีกร่างหนึ่ง นั่นเอง

ถ้ามีความคิดความเชื่ออย่างนี้ ก็ไม่ต่างไปจากความเชื่องมงายไสยศาสตร์ เลยนะครับ
และแน่นอนว่า นี่เป็นแนวคิด สัสสตทิฐิ แบบผีๆ สางๆ อย่างไม่ต้องสงสัย !

(๒.๒) ถ้าเข้าใจว่า นาย ก. ในขันธ์ชุดที่ ๑ เป็นคนละคนกับ นาย ก. ในขันธ์ชุดที่ ๒
นั่นย่อมหมายความว่า โดยเนื้อแท้แล้ว "สมมุติ" ที่ใช้เรียกขันธ์หนึ่งใดว่า นาย ก.
เป็นเพียงการบัญญัติที่ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะไม่ว่า ขันธ์ ไหนๆ คุณก็เรียกว่า นาย ก. ได้หมด
เนื่องจากมิได้มีความจำเพาะเจาะจงว่า ต้องหมายถึงขันธ์นี้ๆ ในขณะนี้ๆ เท่านั้น

ซึ่งเมื่อ สมมุติ ทั้งหมด เป็นการบัญญัติที่ไร้ความหมาย คำถาม ก็คือ
แล้วจะกล่าวได้อย่างไรว่าการกระทำของสมมุติหนึ่งซึ่งไม่จำเพาะเจาะจง
จะสามารถส่งผลไปสู่ อีกสมมุติหนึ่ง ซึ่งไม่มีความจำเพาะเจาะจงใดๆ เลยเช่นกัน

อีกทั้ง หากกล่าวว่า นาย ก. ซึ่งเป็นสมมุติเรียกขันธ์ชุดแรก
มิได้เป็นคนเดียวกันกับ นาย ก. ซึ่งเป็นสมมุติเรียกขันธ์ชุดที่ ๒
นั่นเท่ากับเป็นการกล่าวว่า คนหนึ่งทำ แต่อีกคนหนึ่งรับผล
ก็กลายเป็นแนวคิดแบบ อุจเฉททิฐิ ไปเสียอีก !

ไม่ งง ใช่ไหม ?



แท้ที่จริง ปัญหาที่เป็น กับดัก และ วังวน ของพวกมิจฉาทิฐิพวกนี้
ท่านปยุตโต ได้อธิบายว่า มันเกิดจาก "จุดพลาด" ร่วมกันประการหนึ่งของพวกมิจฉาทิฐิเหล่านี้
กล่าวคือ เพราะคนพวกนี้ มีความเชื่อเป็นพื้นเดิมอยู่แล้วว่า ต้องมี สัตว์บุคคล ฯ เป็นตัวแท้ตัวจริงอยู่ก่อน
ต่างกันก็แต่ว่า พวกหนึ่งเห็นว่า สัตว์บุคคลฯ ดังกล่าว เที่ยงแท้อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วดับสูญไป(อุจเฉททิฐิ)
ส่วนอีกพวกหนึ่งเชื่อว่า สัตว์บุคคลฯ ดังกล่าว เที่ยงแท้ ตลอดอนันตกาล(สัสสตทิฐิ) นั่นเอง !



ท่านปยุตโต ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า เมื่อกล่าวสำหรับพระพุทธศาสนาแล้ว
หากเข้าใจตามความเป็นจริง(จริงๆ) อย่างไม่มีการสอดไส้ "มิจฉาทิฐิ" ของตนเข้าไปในพุทธธรรม
ก็ต้องเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายเป็นกระบวนธรรม เกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ประมวลกันขึ้น และเป็นไปตามเหตุปัจจัย

(๑) ก็ย่อมไม่มีทั้งตัวตนที่จะเที่ยงแท้ยั่งยืน และทั้งตัวตนที่จะดับสิ้นขาดสูญ
(๒) แม้แต่ในขณะที่เป็นอยู่นี้ ก็ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน ฯลฯ



ซึ่งถ้าหากท่านทั้งหลาย จะพิจารณา มหาจัตตารีสกสูตร อย่างรอบคอบถี่ถ้วน อีกสักนิด
ท่านย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า แท้ที่จริง พระพุทธเจ้า ได้ตรัสเงื่อนไขสำคัญ
ของการเป็น สัมมาทิฐิ ระดับโลกียะ เอาไว้แล้ว ดังนี้ว่า

สัมมาทิฐิ ที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ .............. ให้ผลแก่ "ขันธ์"

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลาย จะได้เห็นข้อความดังกล่าว อย่างชัดเจนแล้วนะครับ
ว่าพระพุทธเจ้า มิได้ตรัสเลยว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ที่ตรัสว่ามีอยู่นี้
จะส่งผลต่อ นาย ก. นาย ข. หรือ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ใดๆ ทั้งสิ้น
หากแต่ได้ตรัสแสดงเอาไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ให้ผลแก่ "ขันธ์"

จึงเป็นอันว่า สัมมาทิฐิระดับโลกียะในพระพุทธศาสนา นั้นต้องหมายถึง
ผู้ที่มีความเข้าใจตามจริงว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ย่อมส่งผลแก่ขันธ์

หากใครคนใดก็ตาม ยังละเมอเพ้อพก "เมาหมก" อยู่ในทิฐิลามก ว่ามันเป็นผู้ทำกรรม(ดีหรือชั่ว)
และมันก็ต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นไปมิได้ นอกจากพวก มิจฉาทิฐิ !

ดังนั้น แทนที่นาย ชาวมหาวิหาร จะมัวมาทำ "ปากยื่นปากยาว" เป็นพวกเปรต เสพสะตอ
พยายามกล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น โดยอ้างความสงสัยอย่างโง่ๆ ว่าอาจเป็นพวกสำนักโอนบุญ ฯลฯ

ก็จงเร่ง แสดงหลักฐานชั้นพุทธพจน์ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ว่า
เมื่อกล่าวถึง ผู้เป็นสัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา

ต้องมีความเข้าใจว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
ย่อมส่งผลแก่ขันธ์ ตามหลักฐานจาก มหาจัตตารีสกสูตร

หรือจะต้องมีความเชื่ออย่างโง่ๆ แบบนายชาวมหาวิหาร ซึ่งยังเมาหมกอยู่ว่า
ต้องมีสัตว์บุคคล ฯลฯ เป็นผู้รับผลแห่งการกระทำ(ของตน!) ซึ่งขัดแย้งกับ พุทธพจน์พระบาลี



ขัดแย้งกับ มติอรรถกถา และ ขัดแย้งกับ คำอธิบายของท่านปยุตโต
แต่กลับมีความสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับ (มิจฉา)ทิฐิของอัญเดียรถีย์ เช่น สังกราจารย์ เป็นต้น



หวังว่า จะสามารถโต้แย้งอย่างบัณฑิต กล่าวคือ โต้แย้งตรงประเด็น ไม่ต้องเยิ่นเย้อมากความ
ประกอบด้วยเหตุผลและหลักฐาน และ ละเว้น การฝลัดกระทู้อย่างโง่ๆ กันเสียที นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่