
"Come in Please"
เรากล่าวขึ้นกับแขกตัวน้อยวัย 5 ขวบคนหนึ่งหลังจากที่ได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้น และประตูบานนั้นค่อยๆเลื่อนเปิดเข้ามา ในขณะนั้นเราทำงานแผนกเกี่ยวกับเด็ก ในโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ สาวน้อยวัย 5 ขวบเดินเข้ามา รูปร่างกลมจ้ำม่ำ ผิวคล้ำแบบชาวอินเดียใต้ ตาโตลึก จมูกโด่ง เธอดูเป็นเด็กร่าเริง น่ารักเลยทีเดียว "Welcome young lady" เราทักขึ้น สาวน้อยไม่พูดอะไรตอบกลับมา มีแค่ยิ้มหวานแบบเขินอายอวดฟันหลอและแค่พยักหน้าเป็นอันรู้กันว่า "หนูทักทายตอบแล้วนะ"....
ประตูเข้าห้องยังไม่ทันปิดสนิทเพราะเหมือนมีใครสักคนแทรกตัวอยู่ระหว่างประตู คนๆนั้นคือหนูน้อยน้องสาวของเด็กคนแรกที่เพิ่งเดินเข้ามา หนูน้อยคนนี้ดูอายุห่างจากพี่สาวเพียงแค่ 1 ปี รูปร่างปานกลางสมวัย ผิวสองสี รูปหน้ากลมแบบเเด็กๆ ตาโต จมูกโด่ง เค้าโครงหน้าไม่บอกก็รู้ว่านี่คือ DNA ของชาวภารตะ ....."อินเดียชัวร์ๆ ครอบครัวนี้ ยินดีต้อนรับ นะมัสเต๊!" เราคิดในใจ แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดกว้่างขึ้นกว่าเดิม
เอ้ยยยย!!!! ไม่ใช่สิไม่ใช่ เดาผิดแล้ว คงมาจากทางตะวันออกกลางที่ไหนสักที่แหละ ไม่ใช่อินเดียแน่ๆ เราเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นน้องคนเล็กสุดเข้ามาในห้อง
น้องคนเล็กนั่งมาในรถเข็นที่มีพี่เลี้ยงนุ่งสาหรี่ท่าทางใจดีเข็นรถเข็นเล็กๆเข้ามาในห้อง ตอนนั้นเธออายุเพียง 2 ขวบ เธอดูราวกับเป็นเจ้าหญิงน้อยจริงๆ ทั้งหมดนี้ภาพแรกที่เราไม่เคยลืมจนถึงทุกวันนี้ รูปร่างบอบบางในรถเข็น ผิวขาวอมชมพู ผมหนาหยิกเป็นลอนแบบธรรมชาติเหมือนพวกตุ๊กตาคุณผู้หญิงที่เราเคยเล่นกันตอนเด็กๆ ตาโตสวย ขนตายาวงอน แก้มแดงระเรื่อ ทุกอย่างทั้งหมดนี้อยู่บนใบหน้าที่จิ้มลิ้ม ดูไร้เดียงสา เป็นความอ่อนหวานที่ผสมกับความคมขำได้อย่างน่าอัศจรรย์ นาทีนั้นเราเข้าใจคำว่า "ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง"
แล้วพ่อกับแม่ของเทพนิกรทั้งสามก็เดินเข้ามาในห้อง
"สวัสดีค่ะ เพิ่งมาโรงแรมเราครั้งแรกรึเปล่าคะ? คุณมาจากประเทศอะไรคะ?" เราทักทายต้อนรับแขกใหม่
"มาจากอินเดียคะ" คุณแม่ของเด็กๆตอบกลับมาอย่างอัธยาศัยดี
"เหรอคะ? พวกคุณอยู่ที่ไหนในอินเดียคะ?"
"เดลลีค่ะ" บทสนทนาเล็กๆระหว่างเรากับแม่ของเด็กๆเริ่มต้นขึ้น ครอบครัวนี้มาพักกับโรงแรมที่เราทำงานประมาณ 1 เดือน และแน่นอนว่าเด็กๆกลุ่มนี้มาเล่นที่แผนกที่เราทำงานเกือบทุกวัน ตอนนั้นเราไม่เคยรู้ว่าครอบครัวนี้เป็นใคร บ้านอยู่พิกัดไหน ประกอบอาชีพอะไร โดยปราศจากความหวังและเจตนารมณ์ใดๆ เราชอบเด็กๆครอบครัวนี้เป็นพิเศษ ภาพที่เรากล่าวมาทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อเดือน
กรกฎาคม 2554 จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสองปีแล้วที่เราได้รู้จักกับครอบครัวนี้ และครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับการเดิินทางไปเที่ยวอินเดียอย่างไร หรือเกี่ยวข้องคำว่า In love ของเราอย่างไรบ้าง เดี๋ยวเราจะได้รู้กันในบทต่อๆไป
....................................................
ธันวาคม 2554
"ปีหน้าเธอมีเกณฑ์จะได้เจอเนื้อคู่นะ" หมอดูที่ท่าพระจันทร์คนหนึ่งทำนายขึ้น ระหว่างคำนวนวันเดือนปีเกิดของเรา
"ห๊าาาา เหรอคะ? จะเจอเมื่อไหร่? ตอนไหน? เจอกันยังไงคะ?" เราถามกลับ
"คอยดูเองแล้วกันนะ คนๆนี้เขาเดินทางมาไกลนะ เป็นคนต่างถิ่นต่างแดนซะด้วย เธอเองมีเกณฑ์ได้แต่งงานภายใน 2 ปีนี้แหละ" หมอดูคนดังกล่าวทักต่อไป
ปกติทุกๆช่วงใกล้สิ้นปีเรามักจะชอบไปดูดวง ไม่รู้เพราะว่าคำทำนายทายทักของหมอดูรึเปล่าที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดบ่ายวันนั้น เรากลับไปบ้านยังนั่งคิดนอนคิด "แล้วจะเจอได้ยังไงหล่ะ ถ้าคนต่างชาติทุกวันนี้ที่เจอก็มีแต่บรรดาพ่อๆของแขกตัวน้อย โอ้ววว ไม่นะ" แต่แล้วคืนนั้นเราก็หลับไป เราฝันเรื่องหนึ่งที่พอตื่นเช้าในวันต่อมาเรารู้สึกมีความสุขกับความฝันเมื่อคืนมาก เรื่องที่ฝันถึงคือ ครอบครัวชาวอินเดียที่กล่าวถึงมาในตอนต้นนี่ไง
"เจ๊จำครอบครัวชาวอินเดียที่มีลูกสาว 3 คนได้ป่ะ ที่มีลูกคนโตตัวจ้ำม่ำ คล้ำๆ คนกลางหุ่นกลางๆผิวสองสี คนเล็กผอมบาง ตัวขาว น่ารักๆน่ะ" เราถามพี่ที่ทำงานคนหนึ่งในเช้าวันต่อมา
"3 สาวนั่นนะเหรอ? จำได้สิ" พี่ที่ทำงานพูดกับเรา
"นี่ เจ๊เมื่อคืนฉันอยู่ดีๆก็ฝันถึงเขา ฝันว่าฉันเดินทางไปอินเดีย แล้วจะต่อไปอินเดียเหนือ แคชเมียร์ แล้วเหมือนครอบครัวนี้ไปส่งที่สนามบิน เอ....หรือว่าไปด้วยกันไม่รู้นะ แต่ฝันถึงพวกเขาทั้งครอบครัวเลย" เราเล่าความฝันเมื่อคืนนี้ให้พี่ที่ทำงานฟัง
"ไม่แน่นะเขาอาจจะกลับมาอีกก็ได้" พี่คนเดิมต่อ
เนื่องจากวันนั้นเป็นวันก่อนวันคริสต์มาสต์ปี 2554 ซึ่งตอนเย็นจะมีกาลาดินเนอร์ในห้องอาหารใหญ่ของโรงแรม และแขกบางคู่ บางครอบครัวก็เลือกที่จะจ้างคนมาดูแลลูกในห้องพักช่วงดินเนอร์วันสำคัญ เราเป็นหนึ่งในนั้นที่รับงานพิเศษนอกเวลางาน วันนั้นเราเลยกลับบ้านดึกกว่าปกติคือราวๆ 3 ทุ่ม เสร็จจากงานพิเศษวันนั้นระหว่างที่เรากำลังจะเดินไปยังจุดขึ้นรถ แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้เราถึงกับทึ่งกับความฝันบอกเหตุของตัวเอง
โรงแรมที่เราทำงาน อยู่ข้างหลังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งประตูหลังของโรงแรมจะเชื่อมกับทางเข้าหนึ่งของตัวอาคารโรงแรม เราจึงเลือกเดินตัดเข้าตัวห้างเพื่อออกไปขึ้นรถหน้าห้าง แต่เราต้องหยุดชะงักเพราะที่เราเจอ คือ สาวน้อยทั้งสามคนนั้นเอง!
"ซัมญ่า ซูฮานี่ ซานจาน่า! ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เจอพวกคุณอีก จำฉันได้ไหมคะฉันทำงานในโรงแรมนี้" เราทักครอบครัวที่เพิ่งเจอ
"สวัสดีค่ะ ว้าว คุณจำพวกเราได้ด้วย" คุณแม่ของคุณหนูทั้งสามทักทายกลับแบบอัธยาศัยดีเหมือนครั้งแรกที่เจอ
"เมื่อคืนฉันฝันถึงพวกคุณด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอ...พรุ่งนี้ช่วงกลางวันทางแผนกของเราจะมีกิจกรรมสำหรับเด็กตรงลานสนามหญ้านะคะ ยังไงเชิญพวกคุณทุกคนนะคะ"
ตอนนั้นสายตาเราเหลือบไปเห็นลูกคนเล็กสุด ไม่แน่ใจว่าเราคิดไปเองรึเปล่าแต่หนูคนนี้ยิ้มให้กับสิ่งที่เราเพิ่งพูดไป รอยยิ้มแบบ a smile to die for ยิ้มแบบให้เราแลกกับอะไรก็ได้ ยิ้มเหมือนดีใจที่ได้เจอเรา หรือดีใจที่เราไปฝันถึงเค้า หรือเค้าก็ฝันถึงเรา (งง มั๊ย? หุหุ)
แล้วการเดินทางมาของครอบครัวนี้ครั้งนั้นทำให้เราตัดสินใจเดินทางไปอินเดียในปีที่แล้ว ซึ่งทริปนี้เกิดขึ้นเดือนนี้ของปีที่แล้ว เป็นทริปที่สำคัญที่สุดในชีวิตและเป็นทริปที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราทั้งชีวิต ♥
ปล. เนื่องจากเคยเขียนบางช่วงบางตอนของทริปนี้ไว้ในห้องสยามสแควร์และสัญญากับชาวห้องสยามสแควร์ไว้ว่าจะเขียนลงกระทู้เล่าเรื่องฉบับสมบูรณ์ลงกระทู้ของตัวเอง จึงขอ Tagged ห้องสยามสแควร์ไว้ ณ ที่นี้ หากไม่เหมาะสมอย่างไร ต้องขออภัยตรงนี้เลย
India In love ♥
"Come in Please"
เรากล่าวขึ้นกับแขกตัวน้อยวัย 5 ขวบคนหนึ่งหลังจากที่ได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้น และประตูบานนั้นค่อยๆเลื่อนเปิดเข้ามา ในขณะนั้นเราทำงานแผนกเกี่ยวกับเด็ก ในโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ สาวน้อยวัย 5 ขวบเดินเข้ามา รูปร่างกลมจ้ำม่ำ ผิวคล้ำแบบชาวอินเดียใต้ ตาโตลึก จมูกโด่ง เธอดูเป็นเด็กร่าเริง น่ารักเลยทีเดียว "Welcome young lady" เราทักขึ้น สาวน้อยไม่พูดอะไรตอบกลับมา มีแค่ยิ้มหวานแบบเขินอายอวดฟันหลอและแค่พยักหน้าเป็นอันรู้กันว่า "หนูทักทายตอบแล้วนะ"....
ประตูเข้าห้องยังไม่ทันปิดสนิทเพราะเหมือนมีใครสักคนแทรกตัวอยู่ระหว่างประตู คนๆนั้นคือหนูน้อยน้องสาวของเด็กคนแรกที่เพิ่งเดินเข้ามา หนูน้อยคนนี้ดูอายุห่างจากพี่สาวเพียงแค่ 1 ปี รูปร่างปานกลางสมวัย ผิวสองสี รูปหน้ากลมแบบเเด็กๆ ตาโต จมูกโด่ง เค้าโครงหน้าไม่บอกก็รู้ว่านี่คือ DNA ของชาวภารตะ ....."อินเดียชัวร์ๆ ครอบครัวนี้ ยินดีต้อนรับ นะมัสเต๊!" เราคิดในใจ แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดกว้่างขึ้นกว่าเดิม
เอ้ยยยย!!!! ไม่ใช่สิไม่ใช่ เดาผิดแล้ว คงมาจากทางตะวันออกกลางที่ไหนสักที่แหละ ไม่ใช่อินเดียแน่ๆ เราเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นน้องคนเล็กสุดเข้ามาในห้อง
น้องคนเล็กนั่งมาในรถเข็นที่มีพี่เลี้ยงนุ่งสาหรี่ท่าทางใจดีเข็นรถเข็นเล็กๆเข้ามาในห้อง ตอนนั้นเธออายุเพียง 2 ขวบ เธอดูราวกับเป็นเจ้าหญิงน้อยจริงๆ ทั้งหมดนี้ภาพแรกที่เราไม่เคยลืมจนถึงทุกวันนี้ รูปร่างบอบบางในรถเข็น ผิวขาวอมชมพู ผมหนาหยิกเป็นลอนแบบธรรมชาติเหมือนพวกตุ๊กตาคุณผู้หญิงที่เราเคยเล่นกันตอนเด็กๆ ตาโตสวย ขนตายาวงอน แก้มแดงระเรื่อ ทุกอย่างทั้งหมดนี้อยู่บนใบหน้าที่จิ้มลิ้ม ดูไร้เดียงสา เป็นความอ่อนหวานที่ผสมกับความคมขำได้อย่างน่าอัศจรรย์ นาทีนั้นเราเข้าใจคำว่า "ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง"
แล้วพ่อกับแม่ของเทพนิกรทั้งสามก็เดินเข้ามาในห้อง
"สวัสดีค่ะ เพิ่งมาโรงแรมเราครั้งแรกรึเปล่าคะ? คุณมาจากประเทศอะไรคะ?" เราทักทายต้อนรับแขกใหม่
"มาจากอินเดียคะ" คุณแม่ของเด็กๆตอบกลับมาอย่างอัธยาศัยดี
"เหรอคะ? พวกคุณอยู่ที่ไหนในอินเดียคะ?"
"เดลลีค่ะ" บทสนทนาเล็กๆระหว่างเรากับแม่ของเด็กๆเริ่มต้นขึ้น ครอบครัวนี้มาพักกับโรงแรมที่เราทำงานประมาณ 1 เดือน และแน่นอนว่าเด็กๆกลุ่มนี้มาเล่นที่แผนกที่เราทำงานเกือบทุกวัน ตอนนั้นเราไม่เคยรู้ว่าครอบครัวนี้เป็นใคร บ้านอยู่พิกัดไหน ประกอบอาชีพอะไร โดยปราศจากความหวังและเจตนารมณ์ใดๆ เราชอบเด็กๆครอบครัวนี้เป็นพิเศษ ภาพที่เรากล่าวมาทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสองปีแล้วที่เราได้รู้จักกับครอบครัวนี้ และครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับการเดิินทางไปเที่ยวอินเดียอย่างไร หรือเกี่ยวข้องคำว่า In love ของเราอย่างไรบ้าง เดี๋ยวเราจะได้รู้กันในบทต่อๆไป
....................................................
ธันวาคม 2554
"ปีหน้าเธอมีเกณฑ์จะได้เจอเนื้อคู่นะ" หมอดูที่ท่าพระจันทร์คนหนึ่งทำนายขึ้น ระหว่างคำนวนวันเดือนปีเกิดของเรา
"ห๊าาาา เหรอคะ? จะเจอเมื่อไหร่? ตอนไหน? เจอกันยังไงคะ?" เราถามกลับ
"คอยดูเองแล้วกันนะ คนๆนี้เขาเดินทางมาไกลนะ เป็นคนต่างถิ่นต่างแดนซะด้วย เธอเองมีเกณฑ์ได้แต่งงานภายใน 2 ปีนี้แหละ" หมอดูคนดังกล่าวทักต่อไป
ปกติทุกๆช่วงใกล้สิ้นปีเรามักจะชอบไปดูดวง ไม่รู้เพราะว่าคำทำนายทายทักของหมอดูรึเปล่าที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดบ่ายวันนั้น เรากลับไปบ้านยังนั่งคิดนอนคิด "แล้วจะเจอได้ยังไงหล่ะ ถ้าคนต่างชาติทุกวันนี้ที่เจอก็มีแต่บรรดาพ่อๆของแขกตัวน้อย โอ้ววว ไม่นะ" แต่แล้วคืนนั้นเราก็หลับไป เราฝันเรื่องหนึ่งที่พอตื่นเช้าในวันต่อมาเรารู้สึกมีความสุขกับความฝันเมื่อคืนมาก เรื่องที่ฝันถึงคือ ครอบครัวชาวอินเดียที่กล่าวถึงมาในตอนต้นนี่ไง
"เจ๊จำครอบครัวชาวอินเดียที่มีลูกสาว 3 คนได้ป่ะ ที่มีลูกคนโตตัวจ้ำม่ำ คล้ำๆ คนกลางหุ่นกลางๆผิวสองสี คนเล็กผอมบาง ตัวขาว น่ารักๆน่ะ" เราถามพี่ที่ทำงานคนหนึ่งในเช้าวันต่อมา
"3 สาวนั่นนะเหรอ? จำได้สิ" พี่ที่ทำงานพูดกับเรา
"นี่ เจ๊เมื่อคืนฉันอยู่ดีๆก็ฝันถึงเขา ฝันว่าฉันเดินทางไปอินเดีย แล้วจะต่อไปอินเดียเหนือ แคชเมียร์ แล้วเหมือนครอบครัวนี้ไปส่งที่สนามบิน เอ....หรือว่าไปด้วยกันไม่รู้นะ แต่ฝันถึงพวกเขาทั้งครอบครัวเลย" เราเล่าความฝันเมื่อคืนนี้ให้พี่ที่ทำงานฟัง
"ไม่แน่นะเขาอาจจะกลับมาอีกก็ได้" พี่คนเดิมต่อ
เนื่องจากวันนั้นเป็นวันก่อนวันคริสต์มาสต์ปี 2554 ซึ่งตอนเย็นจะมีกาลาดินเนอร์ในห้องอาหารใหญ่ของโรงแรม และแขกบางคู่ บางครอบครัวก็เลือกที่จะจ้างคนมาดูแลลูกในห้องพักช่วงดินเนอร์วันสำคัญ เราเป็นหนึ่งในนั้นที่รับงานพิเศษนอกเวลางาน วันนั้นเราเลยกลับบ้านดึกกว่าปกติคือราวๆ 3 ทุ่ม เสร็จจากงานพิเศษวันนั้นระหว่างที่เรากำลังจะเดินไปยังจุดขึ้นรถ แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้เราถึงกับทึ่งกับความฝันบอกเหตุของตัวเอง
โรงแรมที่เราทำงาน อยู่ข้างหลังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งประตูหลังของโรงแรมจะเชื่อมกับทางเข้าหนึ่งของตัวอาคารโรงแรม เราจึงเลือกเดินตัดเข้าตัวห้างเพื่อออกไปขึ้นรถหน้าห้าง แต่เราต้องหยุดชะงักเพราะที่เราเจอ คือ สาวน้อยทั้งสามคนนั้นเอง!
"ซัมญ่า ซูฮานี่ ซานจาน่า! ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เจอพวกคุณอีก จำฉันได้ไหมคะฉันทำงานในโรงแรมนี้" เราทักครอบครัวที่เพิ่งเจอ
"สวัสดีค่ะ ว้าว คุณจำพวกเราได้ด้วย" คุณแม่ของคุณหนูทั้งสามทักทายกลับแบบอัธยาศัยดีเหมือนครั้งแรกที่เจอ
"เมื่อคืนฉันฝันถึงพวกคุณด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอ...พรุ่งนี้ช่วงกลางวันทางแผนกของเราจะมีกิจกรรมสำหรับเด็กตรงลานสนามหญ้านะคะ ยังไงเชิญพวกคุณทุกคนนะคะ"
ตอนนั้นสายตาเราเหลือบไปเห็นลูกคนเล็กสุด ไม่แน่ใจว่าเราคิดไปเองรึเปล่าแต่หนูคนนี้ยิ้มให้กับสิ่งที่เราเพิ่งพูดไป รอยยิ้มแบบ a smile to die for ยิ้มแบบให้เราแลกกับอะไรก็ได้ ยิ้มเหมือนดีใจที่ได้เจอเรา หรือดีใจที่เราไปฝันถึงเค้า หรือเค้าก็ฝันถึงเรา (งง มั๊ย? หุหุ)
แล้วการเดินทางมาของครอบครัวนี้ครั้งนั้นทำให้เราตัดสินใจเดินทางไปอินเดียในปีที่แล้ว ซึ่งทริปนี้เกิดขึ้นเดือนนี้ของปีที่แล้ว เป็นทริปที่สำคัญที่สุดในชีวิตและเป็นทริปที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราทั้งชีวิต ♥
ปล. เนื่องจากเคยเขียนบางช่วงบางตอนของทริปนี้ไว้ในห้องสยามสแควร์และสัญญากับชาวห้องสยามสแควร์ไว้ว่าจะเขียนลงกระทู้เล่าเรื่องฉบับสมบูรณ์ลงกระทู้ของตัวเอง จึงขอ Tagged ห้องสยามสแควร์ไว้ ณ ที่นี้ หากไม่เหมาะสมอย่างไร ต้องขออภัยตรงนี้เลย