เกร็ดสามก๊ก
ชุมนุมขุนพล
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อครั้งที่โจโฉหนีออกจากลกเอี๋ยงเมืองหลวง ไปจัดตั้งกองทัพประชาชนกู้ชาติ ที่เมืองตันลิวตอนที่ยังหนุ่มอยู่นั้น มีผู้กล้าหาญฝีมือเข้มแข็งมาเข้าเป็นพลพรรคด้วยมากมาย ในจำนวนนั้นก็มี แฮหัวตุ้น กับแฮหัวเอี๋ยน สองพี่น้องจากเมืองไพก๊ก และ โจหยิน กับโจหอง สองพี่น้องซึ่งเป็นญาติแซ่เดียวกันด้วย
ครั้นโจโฉไปช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้พ้นจากการควบคุมของ ลิฉุยกับกุยกี ก็ได้ ซิหลงมาอยู่อีกคนหนึ่ง ภายหลังโจโฉไปปราบปรามพวกโจรโพกผ้าเหลือง ก็ได้เคาทูมาเป็นทหารองครักษ์ประจำตัว ต่อมาเมื่อโจโฉรบชนะลิโป้ก็ได้เตียวเลี้ยวมาเป็นกำลัง และเมื่อรบกับอ้วนเสี้ยว ก็ได้เตียวคับทหารเอกของอ้วนเสี้ยวมาอยู่อีก
พอถึง พ.ศ.๗๕๘ โจโฉอายุได้หกสิบเอ็ดปี มียศเป็นวุยก๋งมาแล้วเก้าปี และได้ยกบุตรสาวให้เป็นมเหสีคนสุดท้ายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ มีอำนาจล้นฟ้า บรรดานายทหารที่กล่าวมาข้างต้น ต่างก็เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับขุนพลไป ตาม ๆ กัน
วันหนึ่งวุยก๋งหรือโจโฉก็หารือกับที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงว่า เราบำรุงทแกล้วทหารมีกำลังขึ้นแล้ว บัดนี้เราจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง จะเห็นประการใด กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาก็ว่า ให้ไปหาตัวโจหยินกับแฮหัวตุ้น มาปรึกษาราชการดูก่อน แม้เห็นดีด้วยจึงยกกองทัพไป โจโฉเห็นชอบด้วยจึงให้ทหารไปตามตัวโจหยินกับแฮหัวตุ้น มาจากเมืองซงหยง
โจหยินก็รีบมาถึงเมืองฮูโต๋ก่อน แต่ก็เข้าไปหาโจโฉไม่ได้ เพราะเมาสุรานอนอยู่ในห้อง เคาทูซึ่งเป็นนายทหารองครักษ์หน้าห้อง ก็ห้ามไม่ให้เข้าไป โจหยินก็โกรธจึงว่า
“……..ตัวกูเป็นลูกหลานหว่านเครือของมหาอุปราช ตัวเป็นแต่ทหาร เหตุใดจึงมาล่วงว่าห้ามกูฉะนี้…….”
เคาทูก็ตอบว่า
“……ท่านเป็นลูกหลานวุยก๋งก็จริง แต่วุยก๋งให้ท่านไปรักษาเมือง ตัวเราเป็นแต่ทหารรักษาวุยก๋งอยู่ข้างใน ท่านมาทางไกลจะละให้เข้าไปนั้น ยังไม่ได้…..”
โจหยินเห็นจริงด้วย ก็หายโกรธยอมออกมารอข้างนอก จนกระทั่งแฮหัวตุ้นมาถึง และโจโฉไม่ได้หลับ จึงพากันเข้าไปคำนับโจโฉข้างใน วุยก๋งก็สรรเสริญเคาทูว่ารักษาหน้าที่ได้เข้มแข็งเด็ดขาดดี ไว้วางใจได้ แล้วก็ปรึกษาการสงครามกับสองนายทหารเอก แฮหัวตุ้นซึ่งเป็นขุนพลตาเดียว ด้วยเสียดวงตาข้างซ้ายไป เมื่อครั้งทำศึกกับลิโป้ที่เมืองเสียวพ่าย ก็บอกกับเจ้านายว่า
“…….เมืองกังตั๋งนั้นขอให้งดไว้ก่อน เมืองฮันต๋งนั้นเหมือนหนึ่งต้นทางเมืองเสฉวน ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋งให้ได้ แล้วจึงยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้โดยง่าย อันการข้างเมืองกังตั๋งนั้นจึงค่อยคิดต่อไป………”
โจโฉก็เห็นชอบด้วย จึงให้กะเกณฑ์ทแกล้วทหารเป็นอันมาก ให้แฮหัวเอี๋ยน กับเตียวคับเป็นกองหน้า โจโฉเป็นกองหลวงและเอาเคาทูกับซิหลงไปด้วย โจหยินกับแฮหัวตุ้นนั้นเป็นกองหลัง และคุมเสบียง ครั้นได้ฤกษ์ดีก็ยาตราทัพออกจากเมืองฮูโต๋ มุ่งหน้าจะไปตีเมืองฮันต๋ง ของเตียวฬ่อ
พอทัพหน้าไปถึงด่านเองเปงก๋วน ก็ให้ทหารตั้งค่ายห่างจากข้าศึกประมาณร้อยห้าสิบเส้น และให้ทหารพักผ่อนด้วยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ถูกฝ่ายข้าศึกจู่โจมเข้าตีในคืนวันนั้นเอง เตียวคับและแฮหัวเอี๋ยนต้องเสียที แตกหนีกลับไปหาโจโฉ จึงถูกสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย เคราะห์ดีที่มีผู้ขอโทษไว้ จึงรอดตัวไป
และทั้งสองนายได้ทำการแก้ตัว โดยพาทหารอ้อมไปตีด้านหลังด่านเองเปงก๋วน บังเอิญหมอกลงจัด ยกทหารไปจนถึงค่ายข้าศึกแล้วต่างก็ไม่รู้ตัว ฝ่ายข้าศึกนึกว่าพวกเดียวกัน ก็เปิดประตูรับ ทั้งสองนายได้ทีก็เลยไล่ฆ่าฟันทหารเมืองฮันต๋ง แตกตื่นล้มตายไปเป็นอันมาก และ เอียวหงงนายทหารของเตียวฬ่อ ก็ถูกเตียวคับแทงตายในที่รบ
ครั้งต่อมามีนายทหารของเตียวฬ่อคุมทหารหมื่นหนึ่ง ยกมาร้องด่าท้าทายที่หน้าค่าย โจโฉถามทหารว่านายทัพคนนี้ชื่อใด ทหารก็บอกว่าชื่อบังเต๊ก โจโฉก็จำได้ว่า บังเต๊กคนนี้มีฝีมือกล้าแข็ง เคยเป็นทหารของม้าเฉียวได้รบกับตนที่แม่น้ำอุยโห แต่คราวนี้มาเป็นทหารของ เตียวฬ่อ เพราะม้าเฉียวหนีไปอยู่กับเล่าปี่ที่เมืองเสฉวน จึงสั่งเตียวคับว่า
“……….บังเต๊กคนนี้มีกำลังแลฝีมือเป็นอันมาก แม้ท่านจะออกไปรบ ถึงมาตรว่าบังเต๊กจะเสียที ก็อย่าให้ถึงแก่ความตาย จงประหยัดรบพุ่งแต่พอให้บังเต๊กถอยกำลังลง เราจะคิดอุบายเอาตัวบังเต๊กมาให้ได้……..”
ดังนั้นเมื่อนายทหารของโจโฉออกไปสู้รบกับบังเต๊ก เตียวคับสู้ได้ห้าเพลงก็ถอย ปล่อยให้แฮหัวตุ้นเข้าปะทะอีกเจ็ดเพลงก็ถอย ซิเหลงเข้าไปแทนฟาดฟันด้วยขวานอีกสิบเพลงก็ฉากออก ให้เคาทูผู้มีพละกำลังมากยันอยู่ได้ถึงห้าสิบเพลง จึงชักม้ากลับเข้าค่าย บังเต๊กก็ฮึกเหิมว่าเอาชนะนายทหารฝีมือเยี่ยมของโจโฉได้ วันเดียวถึงสี่คน
โจโฉก็วางแผนให้เคาทูกับซิหลง ออกไปรบกับบังเต๊กอีก แล้วทำเป็นแพ้ทิ้งค่ายของตนให้บังเต๊กยึดได้ แต่ทิ้งทหารไว้ให้ยอมแพ้ส่วนหนึ่ง พอเวลาดึกก็ให้เคาทูกับซิหลงเข้าตีค่ายนั้น ทางทิศเหนือ แฮหัวเอี๋ยนเข้าทางทิศตะวันออก เตียวคับเข้าทางทิศตะวันตก ปล่อยทิศใต้ทางที่จะกลับไปเมืองฮันต๋งให้ว่างไว้ ทั้งสามด้านเข้าตีพร้อมกัน บังเต๊กกำลังเลี้ยงฉลองชัยชนะไม่ทันรู้ตัวก็แตกพ่ายพาทหารหนีกลับไปเมืองฮันต๋ง โดยมีทหารของโจโฉติดไปด้วย ทหารที่โจโฉวางแผนให้ไปเมืองฮันต๋งนั้น มีแผ่นทองและเงินติดตัวไปด้วยเป็นจำนวนมาก พอที่จะติดสินบนแก่เอียวสงที่ปรึกษาของเตียวฬ่อ ให้ยุยงเตียวฬ่อจนเกิดความระแวงบังเต๊กว่าแกล้งแพ้ จึงสั่งให้ประหารชีวิตเสีย แต่มีผู้ขอโทษไว้
เตียวฬ่อจึงสั่งให้ออกไปรบอีกครั้ง และคาดโทษว่า ถ้าคราวนี้ไม่มีชัยชนะแก่โจโฉ ก็จะตัดศรีษะเสีย บังเต๊กก็เก็บความน้อยใจเอาไว้ จำเป็นต้องรับคำยกทหารออกมาตามคำสั่ง โจโฉก็ดำเนินการตามแผน หลอกล่อให้บังเต๊กไล่ตามเคาทูมา จนตกลงไปในหลุมถูกโจโฉจับตัวได้
โจโฉก็เข้าไปแก้มัดบังเต๊กแล้วถามว่า จะยอมอยู่ด้วยเราหรือไม่ เราจะไว้ชีวิต บังเต๊กนั้นไม่มีทางเลือก กลับไปก็ตาย ไม่ยอมแพ้ก็ตาย จึงบอกว่า
“…….ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับได้ไม่ฆ่าเสียนั้น คุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขออยู่ทำราชการสนองคุณท่าน ไปกว่าจะสิ้นชีวิต……..”
โจโฉจึงได้ทหารเอกฝีมือดีเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง และในการศึกครั้งนี้ สุดท้ายโจโฉก็ยึดเมืองฮันต๋งได้ แต่เลี้ยงเตียวฬ่อไว้ ให้ไปเป็นเจ้าเมืองปาต๋งแทน ส่วนเอียวสงผู้เห็นแก่สินบน ยอมทรยศต่อผู้เป็นนายนั้น ให้ตัดศรีษะเสีย
ต่อมาอีกไม่นาน เล่าปี่ก็ยกทัพมาตีเมืองฮันต๋ง แฮหัวเอี๋ยนรับหน้าที่ตั้งยันไว้ที่เขาเตงกุนสัน ตองฮงนายทหารเอกผู้ชราของเล่าปี่ ก็คุมทหารเข้าตีตอบโต้กันหลายยก แฮหัวเอี๋ยนจับตันเซ็กนายทหารของฮองตงได้ แต่แล้วฮองตงก็จับแฮหัวซงนายทหารของแฮหัวเอี๋ยนได้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงแลกเชลยกันที่หน้าค่าย แฮหัวเอี๋ยนปล่อยให้ตันเซ็กขี่ม้ากลับไป แต่พอแฮหัวซงขี่ม้ามาถึงหน้าค่าย ก็ถูกฮองตงยิงด้วยเกาทัณฑ์ปักหลัง ตกม้าตายอยู่หน้าค่ายนั้นเอง
แฮหัวเอี๋ยนก็โกรธควบม้าเข้ารบกับฮองตงได้ยี่สิบเพลง ทหารในค่ายก็ตีม้าล่อเรียกกลับ เพราะกลัวจะเสียทีแก่ฮองตง ตั้งแต่นั้นแฮหัวเอี๋ยนก็ตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ออกสู้รบ ฮองตง ก็แอบไปยึดเนินเขาไทสัน ซึ่งเป็นที่สูงกว่าค่ายของแฮหัวเอี๋ยนไว้ได้ แล้วก็ตั้งมั่นคอยหาโอกาส แฮหัวเอี๋ยนก็ยกทหารไปล้อมเนินเขานั้นไว้ ร้องด่าท้าทายสักเท่าไร ฮองตงก็ไม่ลงมาต่อสู้ จนบ่ายแดดร้อนจัด ทั้งแฮหัวเอี๋ยนและทหารเหนื่อยอ่อน ลงนอนพักผ่อน ฮองตงจึงพาทหารโห่ร้องตีฆ้องกลองวิ่งกรูกันลงมาจากเนินเขา ฆ่าฟันทหารของแฮหัวเอี๋ยนตายเกลื่อนกราด ตัวแฮหัวเอี๋ยนซึ่งถอดเกราะวางอาวุธไว้ ก็ถูกฮองตงควบม้าอย่างรวดเร็ว เอาดาบฟันแฮหัวเอี๋ยนคอขาดกระเด็น ค่ายเขาเตงกุนสันก็แตก
หลังจากนั้นโจโฉก็เสียทีแก่กองทัพเล่าปี่ ที่ตำบลฮันซุยเขาบิซองสันอีก ต้องถอยไปอยู่ที่ด่านเองเปงก๋วน ก็ได้ข่าวว่าเตียวหุยกับอุยเอี๋ยนยกทหารจะมาตีตัดเสบียง เคาทูก็อาสาออกไปป้องกันขบวนเสบียงไว้ ผู้ควบคุมขบวนเสบียงก็ดีใจ เอาสุราอาหารมาเลี้ยงเคาทูจนเมามาก แต่ก็คุยว่าตนมีกำลังมาก จะกลัวอะไรแก่ศัตรู แล้วก็ขี่ม้านำหน้าขบวนเกวียนไปตามทาง จนผ่านตำบลหนึ่งของเมืองโปจิ๋ว ก็ได้ยินเสียงกลองและเสียงแตรอื้ออึง แล้วก็เจอเตียวหุยที่มีฝีไม้ลายมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ควงทวนเข้ามาขวาง เคาทูก็เข้าสู้รบโดยไม่กลัวเกรง เพราะเคยปะทะกันมานับร้อยเพลงแล้ว แต่คราวนี้กำลังเมาสุรา สู้ได้ไม่กี่เพลงเตียวหุยก็เอาทวนแทงถูกไหล่เคาทูตกลงจากม้า ทหารก็ทิ้งเกวียนเสีย เข้าอุ้มเคาทูหนีกลับมาหาโจโฉ ปล่อยให้เตียวหุยยึดเกวียนเสบียงไปได้ โจโฉก็ให้หมอรักษาเคาทู ซึ่งคงจะบาดเจ็บสาหัส
ในการศึกครั้งนี้ สุดท้ายเมืองฮันต๋งก็ตกเป็นของเล่าปี่จนได้ ส่วนเคาทูนั้นไม่ได้ข่าวว่าหายหรือตาย แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร ในการรบครั้งต่อ ๆ มาอีกเลย
จนอีกสี่ปีต่อมาขงเบ้งก็ยกเล่าปี่ขึ้นเป็นอ๋องเมืองฮันต๋ง โจโฉจึงรวมกำลังกับ ซุนกวน ตีเมืองเกงจิ๋วที่กวนอูรักษาอยู่ บังเต๊กอาสาโจโฉไปรบกับกวนอูที่เมืองอ้วนเซีย ก็พ่ายแพ้แก่กวนอู จนถูกจับไปประหารชีวิต
ปีต่อมา หลังจากกวนอูตาย และซุนกวนตัดศรีษะกวนอูส่งมาให้โจโฉ ทำให้โจโฉป่วยและถึงแก่ความตาย ด้วยอาการมิค่อยจะสงบนัก ทหารเอกที่เหลือเหล่านี้ก็ยังอยู่ในกองทัพของวุยก๊กต่อไป
เว้นแต่แฮหัวตุ้นซึ่งป่วยเป็นไข้ ถึงแก่ความตายในปีเดียวกับโจโฉตาย และโจผีได้เลื่อนขึ้นเป็นวุยอ๋องแทนบิดา นั้นเอง
จากนั้นโจผีบุตรชายคนโตของโจโฉ ก็ได้แย่งราชสมบัติมาจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งตนเป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๗๖๓ ต่อจากนั้นอีกห้าปี ก็จะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งของซุนกวน สุมาอี้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาแนะนำให้ยกกองทัพเรือเข้าปากแม่น้ำชิวฉุน ตีเมืองน้ำฉีให้ได้ก่อน แล้วจึงตรงเข้าไปตีเมืองกังตั๋ง ก็จะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจผีจึงยกกองทัพเรือขนาดยาวสี่สิบวา บรรทุกทหารได้สองพันจำนวนสิบลำ เรือเล็กสามพันลำ บรรทุกทั้งทหารเดินเท้าและทหารขี่ม้า ให้เตียวเลี้ยว เตียวคับ ซิหลง เป็นทหารบกกองสอดแนม ยกกองทัพมีกำลังพลทั้งสิ้นสามสิบหมื่น ไปตีเมืองกังตั๋ง แต่กองทัพอันใหญ่โตนั้น ก็ตีเมืองน้ำฉีไม่สำเร็จ เนื่องจากเกิดลมพายุพัดหนักเรือเล็กเรือใหญ่แทบจะล่ม ต้องถอยทัพ ขึ้นบก และถูกข้าศึกตามตีจนแตกพ่าย พระเจ้าโจผีถูกข้าศึกไล่ติดตามมา เตียวเลี้ยวก็เข้าไปรบป้องกันไว้ จึงถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่บั้นเอว ซิหลงก็เข้ามาช่วยรบพลางถอยพลาง จนหนีพ้นข้าศึกมาได้ แต่เตียวเลี้ยวทนพิษเกาทัณฑ์ไม่ไหว พอถึงเมืองก็ถึงแก่ความตาย
พระเจ้าโจผีครองราชย์อยู่ต่อจากนั้นอีกเพียงสองปี ก็สิ้นพระชนม์ ให้โจยอยบุตรเลี้ยงเป็นฮ่องเต้ต่อไป ขณะนั้นโจหอง โจหยิน และแฮหัวตุ้น ได้หายหน้าค่าชื่อไปจากพงศาวดารสามก๊กแล้ว และสุมาอี้ก็ได้เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าโจยอยครั้งที่สอง เพื่อจะเป็นแม่ทัพไปรบกับขงเบ้ง แต่แวะไปจัดการปราบปรามเบ้งตัดซึ่งเป็นขบถที่เมืองซงหยงก่อน
พอดีพระเจ้าโจยอยให้ซิหลงคุมทหารมาตามสุมาอี้ ให้ยกทัพไปสมทบกันที่เมืองเตียงฮัน สุมาอี้จึงให้ซิหลงเป็นกองหน้าไปรบกับเบ้งตัด ซิหลงขับม้าเข้าไปถึงคูเมืองซงหยง เห็น เบ้งตัดยืนอยู่บนกำแพงจึงด่าว่า อ้ายโจรขบถ เร่งออกมาหากูโดยดีกูจะไว้ชีวิต เบ้งตัดก็ให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ลงไป ถูกหน้าผากซิหลง ทหารต้องพากลับมาค่าย ซิหลงก็ทนพิษเกาทัณฑ์ไม่ไหว ก็ถึงแก่ความตายไป เมื่ออายุได้ห้าสิบเก้าปี
แต่สุมาอี้ก็จับตัวเบ้งตัดมาตัดศรีษะจนได้ แล้วจึงยกกองทัพไปรวมกับพระเจ้าโจยอย เข้าทำศึกกับขงเบ้ง จนขงเบ้งต้องถอยกลับเมืองเสฉวน แม้ขงเบ้งจะไม่สิ้นความพยายาม ได้ยกกองทัพมาตีวุยก๊กครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงครั้งที่ห้า ขงเบ้งก็ต้องถอยทัพกลับไปอีก คราวนี้ เตียวคับขออาสาสุมาอี้ ยกทหารตามตีขงเบ้ง แต่ถูกอุบายของขงเบ้งให้อุยเอี๋ยนกับกวนหิน คอยดักอยู่ และล่อให้เตียวคับตามไปทางซอกเขาบอกบุ๋น จึงถูกล้อมยิงเกาทัณฑ์และทุ่มก้อนศิลาดังห่าฝน เตียวคับหมดหนทางที่จะหนี และถูกเกาทัณฑ์ทั่วตัว ก็ถึงแก่ความตาย พร้อมกับทหารที่ติดตามไปประมาณสี่ร้อยคน ฝังร่างอยู่ในซอกเขานั้นทั้งสิ้น
บรรดาทหารเอกของโจโฉ รุ่นแรกตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว จากเมืองกุนจิ๋วจนถึงเมืองฮูโต๋ ก็สูญสิ้นลงจนหมด ในรัชสมัยของพระเจ้าโจยอยนี้เอง.
###########
วางเมื่อ ๑๓ ก.ค.๕๖ เวลา ๐๗.๑๕
เกร็ดสามก๊ก ๑๓ ก.ค.๕๖
ชุมนุมขุนพล
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อครั้งที่โจโฉหนีออกจากลกเอี๋ยงเมืองหลวง ไปจัดตั้งกองทัพประชาชนกู้ชาติ ที่เมืองตันลิวตอนที่ยังหนุ่มอยู่นั้น มีผู้กล้าหาญฝีมือเข้มแข็งมาเข้าเป็นพลพรรคด้วยมากมาย ในจำนวนนั้นก็มี แฮหัวตุ้น กับแฮหัวเอี๋ยน สองพี่น้องจากเมืองไพก๊ก และ โจหยิน กับโจหอง สองพี่น้องซึ่งเป็นญาติแซ่เดียวกันด้วย
ครั้นโจโฉไปช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้พ้นจากการควบคุมของ ลิฉุยกับกุยกี ก็ได้ ซิหลงมาอยู่อีกคนหนึ่ง ภายหลังโจโฉไปปราบปรามพวกโจรโพกผ้าเหลือง ก็ได้เคาทูมาเป็นทหารองครักษ์ประจำตัว ต่อมาเมื่อโจโฉรบชนะลิโป้ก็ได้เตียวเลี้ยวมาเป็นกำลัง และเมื่อรบกับอ้วนเสี้ยว ก็ได้เตียวคับทหารเอกของอ้วนเสี้ยวมาอยู่อีก
พอถึง พ.ศ.๗๕๘ โจโฉอายุได้หกสิบเอ็ดปี มียศเป็นวุยก๋งมาแล้วเก้าปี และได้ยกบุตรสาวให้เป็นมเหสีคนสุดท้ายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ มีอำนาจล้นฟ้า บรรดานายทหารที่กล่าวมาข้างต้น ต่างก็เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับขุนพลไป ตาม ๆ กัน
วันหนึ่งวุยก๋งหรือโจโฉก็หารือกับที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงว่า เราบำรุงทแกล้วทหารมีกำลังขึ้นแล้ว บัดนี้เราจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง จะเห็นประการใด กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาก็ว่า ให้ไปหาตัวโจหยินกับแฮหัวตุ้น มาปรึกษาราชการดูก่อน แม้เห็นดีด้วยจึงยกกองทัพไป โจโฉเห็นชอบด้วยจึงให้ทหารไปตามตัวโจหยินกับแฮหัวตุ้น มาจากเมืองซงหยง
โจหยินก็รีบมาถึงเมืองฮูโต๋ก่อน แต่ก็เข้าไปหาโจโฉไม่ได้ เพราะเมาสุรานอนอยู่ในห้อง เคาทูซึ่งเป็นนายทหารองครักษ์หน้าห้อง ก็ห้ามไม่ให้เข้าไป โจหยินก็โกรธจึงว่า
“……..ตัวกูเป็นลูกหลานหว่านเครือของมหาอุปราช ตัวเป็นแต่ทหาร เหตุใดจึงมาล่วงว่าห้ามกูฉะนี้…….”
เคาทูก็ตอบว่า
“……ท่านเป็นลูกหลานวุยก๋งก็จริง แต่วุยก๋งให้ท่านไปรักษาเมือง ตัวเราเป็นแต่ทหารรักษาวุยก๋งอยู่ข้างใน ท่านมาทางไกลจะละให้เข้าไปนั้น ยังไม่ได้…..”
โจหยินเห็นจริงด้วย ก็หายโกรธยอมออกมารอข้างนอก จนกระทั่งแฮหัวตุ้นมาถึง และโจโฉไม่ได้หลับ จึงพากันเข้าไปคำนับโจโฉข้างใน วุยก๋งก็สรรเสริญเคาทูว่ารักษาหน้าที่ได้เข้มแข็งเด็ดขาดดี ไว้วางใจได้ แล้วก็ปรึกษาการสงครามกับสองนายทหารเอก แฮหัวตุ้นซึ่งเป็นขุนพลตาเดียว ด้วยเสียดวงตาข้างซ้ายไป เมื่อครั้งทำศึกกับลิโป้ที่เมืองเสียวพ่าย ก็บอกกับเจ้านายว่า
“…….เมืองกังตั๋งนั้นขอให้งดไว้ก่อน เมืองฮันต๋งนั้นเหมือนหนึ่งต้นทางเมืองเสฉวน ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋งให้ได้ แล้วจึงยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้โดยง่าย อันการข้างเมืองกังตั๋งนั้นจึงค่อยคิดต่อไป………”
โจโฉก็เห็นชอบด้วย จึงให้กะเกณฑ์ทแกล้วทหารเป็นอันมาก ให้แฮหัวเอี๋ยน กับเตียวคับเป็นกองหน้า โจโฉเป็นกองหลวงและเอาเคาทูกับซิหลงไปด้วย โจหยินกับแฮหัวตุ้นนั้นเป็นกองหลัง และคุมเสบียง ครั้นได้ฤกษ์ดีก็ยาตราทัพออกจากเมืองฮูโต๋ มุ่งหน้าจะไปตีเมืองฮันต๋ง ของเตียวฬ่อ
พอทัพหน้าไปถึงด่านเองเปงก๋วน ก็ให้ทหารตั้งค่ายห่างจากข้าศึกประมาณร้อยห้าสิบเส้น และให้ทหารพักผ่อนด้วยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ถูกฝ่ายข้าศึกจู่โจมเข้าตีในคืนวันนั้นเอง เตียวคับและแฮหัวเอี๋ยนต้องเสียที แตกหนีกลับไปหาโจโฉ จึงถูกสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย เคราะห์ดีที่มีผู้ขอโทษไว้ จึงรอดตัวไป
และทั้งสองนายได้ทำการแก้ตัว โดยพาทหารอ้อมไปตีด้านหลังด่านเองเปงก๋วน บังเอิญหมอกลงจัด ยกทหารไปจนถึงค่ายข้าศึกแล้วต่างก็ไม่รู้ตัว ฝ่ายข้าศึกนึกว่าพวกเดียวกัน ก็เปิดประตูรับ ทั้งสองนายได้ทีก็เลยไล่ฆ่าฟันทหารเมืองฮันต๋ง แตกตื่นล้มตายไปเป็นอันมาก และ เอียวหงงนายทหารของเตียวฬ่อ ก็ถูกเตียวคับแทงตายในที่รบ
ครั้งต่อมามีนายทหารของเตียวฬ่อคุมทหารหมื่นหนึ่ง ยกมาร้องด่าท้าทายที่หน้าค่าย โจโฉถามทหารว่านายทัพคนนี้ชื่อใด ทหารก็บอกว่าชื่อบังเต๊ก โจโฉก็จำได้ว่า บังเต๊กคนนี้มีฝีมือกล้าแข็ง เคยเป็นทหารของม้าเฉียวได้รบกับตนที่แม่น้ำอุยโห แต่คราวนี้มาเป็นทหารของ เตียวฬ่อ เพราะม้าเฉียวหนีไปอยู่กับเล่าปี่ที่เมืองเสฉวน จึงสั่งเตียวคับว่า
“……….บังเต๊กคนนี้มีกำลังแลฝีมือเป็นอันมาก แม้ท่านจะออกไปรบ ถึงมาตรว่าบังเต๊กจะเสียที ก็อย่าให้ถึงแก่ความตาย จงประหยัดรบพุ่งแต่พอให้บังเต๊กถอยกำลังลง เราจะคิดอุบายเอาตัวบังเต๊กมาให้ได้……..”
ดังนั้นเมื่อนายทหารของโจโฉออกไปสู้รบกับบังเต๊ก เตียวคับสู้ได้ห้าเพลงก็ถอย ปล่อยให้แฮหัวตุ้นเข้าปะทะอีกเจ็ดเพลงก็ถอย ซิเหลงเข้าไปแทนฟาดฟันด้วยขวานอีกสิบเพลงก็ฉากออก ให้เคาทูผู้มีพละกำลังมากยันอยู่ได้ถึงห้าสิบเพลง จึงชักม้ากลับเข้าค่าย บังเต๊กก็ฮึกเหิมว่าเอาชนะนายทหารฝีมือเยี่ยมของโจโฉได้ วันเดียวถึงสี่คน
โจโฉก็วางแผนให้เคาทูกับซิหลง ออกไปรบกับบังเต๊กอีก แล้วทำเป็นแพ้ทิ้งค่ายของตนให้บังเต๊กยึดได้ แต่ทิ้งทหารไว้ให้ยอมแพ้ส่วนหนึ่ง พอเวลาดึกก็ให้เคาทูกับซิหลงเข้าตีค่ายนั้น ทางทิศเหนือ แฮหัวเอี๋ยนเข้าทางทิศตะวันออก เตียวคับเข้าทางทิศตะวันตก ปล่อยทิศใต้ทางที่จะกลับไปเมืองฮันต๋งให้ว่างไว้ ทั้งสามด้านเข้าตีพร้อมกัน บังเต๊กกำลังเลี้ยงฉลองชัยชนะไม่ทันรู้ตัวก็แตกพ่ายพาทหารหนีกลับไปเมืองฮันต๋ง โดยมีทหารของโจโฉติดไปด้วย ทหารที่โจโฉวางแผนให้ไปเมืองฮันต๋งนั้น มีแผ่นทองและเงินติดตัวไปด้วยเป็นจำนวนมาก พอที่จะติดสินบนแก่เอียวสงที่ปรึกษาของเตียวฬ่อ ให้ยุยงเตียวฬ่อจนเกิดความระแวงบังเต๊กว่าแกล้งแพ้ จึงสั่งให้ประหารชีวิตเสีย แต่มีผู้ขอโทษไว้
เตียวฬ่อจึงสั่งให้ออกไปรบอีกครั้ง และคาดโทษว่า ถ้าคราวนี้ไม่มีชัยชนะแก่โจโฉ ก็จะตัดศรีษะเสีย บังเต๊กก็เก็บความน้อยใจเอาไว้ จำเป็นต้องรับคำยกทหารออกมาตามคำสั่ง โจโฉก็ดำเนินการตามแผน หลอกล่อให้บังเต๊กไล่ตามเคาทูมา จนตกลงไปในหลุมถูกโจโฉจับตัวได้
โจโฉก็เข้าไปแก้มัดบังเต๊กแล้วถามว่า จะยอมอยู่ด้วยเราหรือไม่ เราจะไว้ชีวิต บังเต๊กนั้นไม่มีทางเลือก กลับไปก็ตาย ไม่ยอมแพ้ก็ตาย จึงบอกว่า
“…….ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับได้ไม่ฆ่าเสียนั้น คุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขออยู่ทำราชการสนองคุณท่าน ไปกว่าจะสิ้นชีวิต……..”
โจโฉจึงได้ทหารเอกฝีมือดีเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง และในการศึกครั้งนี้ สุดท้ายโจโฉก็ยึดเมืองฮันต๋งได้ แต่เลี้ยงเตียวฬ่อไว้ ให้ไปเป็นเจ้าเมืองปาต๋งแทน ส่วนเอียวสงผู้เห็นแก่สินบน ยอมทรยศต่อผู้เป็นนายนั้น ให้ตัดศรีษะเสีย
ต่อมาอีกไม่นาน เล่าปี่ก็ยกทัพมาตีเมืองฮันต๋ง แฮหัวเอี๋ยนรับหน้าที่ตั้งยันไว้ที่เขาเตงกุนสัน ตองฮงนายทหารเอกผู้ชราของเล่าปี่ ก็คุมทหารเข้าตีตอบโต้กันหลายยก แฮหัวเอี๋ยนจับตันเซ็กนายทหารของฮองตงได้ แต่แล้วฮองตงก็จับแฮหัวซงนายทหารของแฮหัวเอี๋ยนได้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงแลกเชลยกันที่หน้าค่าย แฮหัวเอี๋ยนปล่อยให้ตันเซ็กขี่ม้ากลับไป แต่พอแฮหัวซงขี่ม้ามาถึงหน้าค่าย ก็ถูกฮองตงยิงด้วยเกาทัณฑ์ปักหลัง ตกม้าตายอยู่หน้าค่ายนั้นเอง
แฮหัวเอี๋ยนก็โกรธควบม้าเข้ารบกับฮองตงได้ยี่สิบเพลง ทหารในค่ายก็ตีม้าล่อเรียกกลับ เพราะกลัวจะเสียทีแก่ฮองตง ตั้งแต่นั้นแฮหัวเอี๋ยนก็ตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ออกสู้รบ ฮองตง ก็แอบไปยึดเนินเขาไทสัน ซึ่งเป็นที่สูงกว่าค่ายของแฮหัวเอี๋ยนไว้ได้ แล้วก็ตั้งมั่นคอยหาโอกาส แฮหัวเอี๋ยนก็ยกทหารไปล้อมเนินเขานั้นไว้ ร้องด่าท้าทายสักเท่าไร ฮองตงก็ไม่ลงมาต่อสู้ จนบ่ายแดดร้อนจัด ทั้งแฮหัวเอี๋ยนและทหารเหนื่อยอ่อน ลงนอนพักผ่อน ฮองตงจึงพาทหารโห่ร้องตีฆ้องกลองวิ่งกรูกันลงมาจากเนินเขา ฆ่าฟันทหารของแฮหัวเอี๋ยนตายเกลื่อนกราด ตัวแฮหัวเอี๋ยนซึ่งถอดเกราะวางอาวุธไว้ ก็ถูกฮองตงควบม้าอย่างรวดเร็ว เอาดาบฟันแฮหัวเอี๋ยนคอขาดกระเด็น ค่ายเขาเตงกุนสันก็แตก
หลังจากนั้นโจโฉก็เสียทีแก่กองทัพเล่าปี่ ที่ตำบลฮันซุยเขาบิซองสันอีก ต้องถอยไปอยู่ที่ด่านเองเปงก๋วน ก็ได้ข่าวว่าเตียวหุยกับอุยเอี๋ยนยกทหารจะมาตีตัดเสบียง เคาทูก็อาสาออกไปป้องกันขบวนเสบียงไว้ ผู้ควบคุมขบวนเสบียงก็ดีใจ เอาสุราอาหารมาเลี้ยงเคาทูจนเมามาก แต่ก็คุยว่าตนมีกำลังมาก จะกลัวอะไรแก่ศัตรู แล้วก็ขี่ม้านำหน้าขบวนเกวียนไปตามทาง จนผ่านตำบลหนึ่งของเมืองโปจิ๋ว ก็ได้ยินเสียงกลองและเสียงแตรอื้ออึง แล้วก็เจอเตียวหุยที่มีฝีไม้ลายมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ควงทวนเข้ามาขวาง เคาทูก็เข้าสู้รบโดยไม่กลัวเกรง เพราะเคยปะทะกันมานับร้อยเพลงแล้ว แต่คราวนี้กำลังเมาสุรา สู้ได้ไม่กี่เพลงเตียวหุยก็เอาทวนแทงถูกไหล่เคาทูตกลงจากม้า ทหารก็ทิ้งเกวียนเสีย เข้าอุ้มเคาทูหนีกลับมาหาโจโฉ ปล่อยให้เตียวหุยยึดเกวียนเสบียงไปได้ โจโฉก็ให้หมอรักษาเคาทู ซึ่งคงจะบาดเจ็บสาหัส
ในการศึกครั้งนี้ สุดท้ายเมืองฮันต๋งก็ตกเป็นของเล่าปี่จนได้ ส่วนเคาทูนั้นไม่ได้ข่าวว่าหายหรือตาย แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร ในการรบครั้งต่อ ๆ มาอีกเลย
จนอีกสี่ปีต่อมาขงเบ้งก็ยกเล่าปี่ขึ้นเป็นอ๋องเมืองฮันต๋ง โจโฉจึงรวมกำลังกับ ซุนกวน ตีเมืองเกงจิ๋วที่กวนอูรักษาอยู่ บังเต๊กอาสาโจโฉไปรบกับกวนอูที่เมืองอ้วนเซีย ก็พ่ายแพ้แก่กวนอู จนถูกจับไปประหารชีวิต
ปีต่อมา หลังจากกวนอูตาย และซุนกวนตัดศรีษะกวนอูส่งมาให้โจโฉ ทำให้โจโฉป่วยและถึงแก่ความตาย ด้วยอาการมิค่อยจะสงบนัก ทหารเอกที่เหลือเหล่านี้ก็ยังอยู่ในกองทัพของวุยก๊กต่อไป
เว้นแต่แฮหัวตุ้นซึ่งป่วยเป็นไข้ ถึงแก่ความตายในปีเดียวกับโจโฉตาย และโจผีได้เลื่อนขึ้นเป็นวุยอ๋องแทนบิดา นั้นเอง
จากนั้นโจผีบุตรชายคนโตของโจโฉ ก็ได้แย่งราชสมบัติมาจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งตนเป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๗๖๓ ต่อจากนั้นอีกห้าปี ก็จะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งของซุนกวน สุมาอี้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาแนะนำให้ยกกองทัพเรือเข้าปากแม่น้ำชิวฉุน ตีเมืองน้ำฉีให้ได้ก่อน แล้วจึงตรงเข้าไปตีเมืองกังตั๋ง ก็จะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจผีจึงยกกองทัพเรือขนาดยาวสี่สิบวา บรรทุกทหารได้สองพันจำนวนสิบลำ เรือเล็กสามพันลำ บรรทุกทั้งทหารเดินเท้าและทหารขี่ม้า ให้เตียวเลี้ยว เตียวคับ ซิหลง เป็นทหารบกกองสอดแนม ยกกองทัพมีกำลังพลทั้งสิ้นสามสิบหมื่น ไปตีเมืองกังตั๋ง แต่กองทัพอันใหญ่โตนั้น ก็ตีเมืองน้ำฉีไม่สำเร็จ เนื่องจากเกิดลมพายุพัดหนักเรือเล็กเรือใหญ่แทบจะล่ม ต้องถอยทัพ ขึ้นบก และถูกข้าศึกตามตีจนแตกพ่าย พระเจ้าโจผีถูกข้าศึกไล่ติดตามมา เตียวเลี้ยวก็เข้าไปรบป้องกันไว้ จึงถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่บั้นเอว ซิหลงก็เข้ามาช่วยรบพลางถอยพลาง จนหนีพ้นข้าศึกมาได้ แต่เตียวเลี้ยวทนพิษเกาทัณฑ์ไม่ไหว พอถึงเมืองก็ถึงแก่ความตาย
พระเจ้าโจผีครองราชย์อยู่ต่อจากนั้นอีกเพียงสองปี ก็สิ้นพระชนม์ ให้โจยอยบุตรเลี้ยงเป็นฮ่องเต้ต่อไป ขณะนั้นโจหอง โจหยิน และแฮหัวตุ้น ได้หายหน้าค่าชื่อไปจากพงศาวดารสามก๊กแล้ว และสุมาอี้ก็ได้เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าโจยอยครั้งที่สอง เพื่อจะเป็นแม่ทัพไปรบกับขงเบ้ง แต่แวะไปจัดการปราบปรามเบ้งตัดซึ่งเป็นขบถที่เมืองซงหยงก่อน
พอดีพระเจ้าโจยอยให้ซิหลงคุมทหารมาตามสุมาอี้ ให้ยกทัพไปสมทบกันที่เมืองเตียงฮัน สุมาอี้จึงให้ซิหลงเป็นกองหน้าไปรบกับเบ้งตัด ซิหลงขับม้าเข้าไปถึงคูเมืองซงหยง เห็น เบ้งตัดยืนอยู่บนกำแพงจึงด่าว่า อ้ายโจรขบถ เร่งออกมาหากูโดยดีกูจะไว้ชีวิต เบ้งตัดก็ให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ลงไป ถูกหน้าผากซิหลง ทหารต้องพากลับมาค่าย ซิหลงก็ทนพิษเกาทัณฑ์ไม่ไหว ก็ถึงแก่ความตายไป เมื่ออายุได้ห้าสิบเก้าปี
แต่สุมาอี้ก็จับตัวเบ้งตัดมาตัดศรีษะจนได้ แล้วจึงยกกองทัพไปรวมกับพระเจ้าโจยอย เข้าทำศึกกับขงเบ้ง จนขงเบ้งต้องถอยกลับเมืองเสฉวน แม้ขงเบ้งจะไม่สิ้นความพยายาม ได้ยกกองทัพมาตีวุยก๊กครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงครั้งที่ห้า ขงเบ้งก็ต้องถอยทัพกลับไปอีก คราวนี้ เตียวคับขออาสาสุมาอี้ ยกทหารตามตีขงเบ้ง แต่ถูกอุบายของขงเบ้งให้อุยเอี๋ยนกับกวนหิน คอยดักอยู่ และล่อให้เตียวคับตามไปทางซอกเขาบอกบุ๋น จึงถูกล้อมยิงเกาทัณฑ์และทุ่มก้อนศิลาดังห่าฝน เตียวคับหมดหนทางที่จะหนี และถูกเกาทัณฑ์ทั่วตัว ก็ถึงแก่ความตาย พร้อมกับทหารที่ติดตามไปประมาณสี่ร้อยคน ฝังร่างอยู่ในซอกเขานั้นทั้งสิ้น
บรรดาทหารเอกของโจโฉ รุ่นแรกตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว จากเมืองกุนจิ๋วจนถึงเมืองฮูโต๋ ก็สูญสิ้นลงจนหมด ในรัชสมัยของพระเจ้าโจยอยนี้เอง.
###########
วางเมื่อ ๑๓ ก.ค.๕๖ เวลา ๐๗.๑๕