สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 30
มานั่งผงกหัวหงึกๆ นึกว่าเรื่องของตัวเองค่ะ เราก็ผมหยิกเหมือนกัน เคยสูบบุหรี่ด้วย แต่เลิกแล้วล่ะ อิอิ
ตอนเราจบใหม่ๆ เราได้งานตำแหน่งที่คนมากมายในสายคณะที่เรียนอยากได้ค่ะ ต้องผ่านการสัมภาษณ์กับชาวต่างชาติ 5-6รอบ ต้องสอบนู่นนี่ ได้ไปเทรนเมืองนอกทุก 6เดือน เป็นตำแหน่งเพื่อสร้างคนให้เป็นผู้บริหาร หรือที่เค้าเรียกกันว่า management trainee นั่นเอง
แต่ปีที่เราได้ตำแหน่งเนี่ย ออฟฟิสที่กรุงเทพไม่พร้อมที่จะจ้างพนักงานตำแหน่งนี้ เพราะเศรษฐกิจปีนั้นไม่ดีค่ะ เราเลยไปนั่งที่ต่างจังหวัด ซึ่งเราก็เป็นคนห่ามๆลุยๆ อยู่แล้ว ก็ตัดสินใจไป เป็นเทรนนีคนแรกและคนเดียวของบริษัทเลยแหละ
พอเริ่มทำงาน ปรากฏว่า ไม่ค่อยมีใครป้อนงานให้ทำเลยค่ะ พยายามถามคนอื่นว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ ไม่เคยทำตัวหยิ่งเพราะชื่อตำแหน่งหรืออะไรทั้งสิ้น วันๆนั่งค่อนข้างเบื่อถึงเบื่อมาก แถมรู้สึกผิดเงินเดือนเยอะกว่าชาวบ้าน มันเครียดเหมือนกันนะ
แต่สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือ เหล่าพนักงานในแผนกบัญชี(ญล้วนค่ะ) นินทาเราได้ทุกเรื่องๆๆๆ อุ้ยเค้าเด็กนอก อุ้ยเค้าเด็กอินเตอร์ เค้าสนิทกับพวกแมเนเจอร์, CEO เค้ามีรถขับ เค้ารองเท้าแดง เค้าถือกระเป๋าอวด(เออะ แค่ลองชอม แล้วไง จะให้ไว้ที่โต๊ะทำงาน?หายซื้อใหม่ให้ว่างั้น?) เค้ามั่นใจ ฯลฯ
ดีที่งานของเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นมากค่ะ นานๆทีไปเบิกtravel allowanceในห้องนั้น บรรยากาศน่ากลัวมากกกก โดนเช็คๆๆๆๆ หัวจรดเท้าจ้า แต่ข้อเสียก็คือ ทำให้ไม่เคยมีใครได้รู้จักเราจริงๆเลย ทุกสิ่งที่พูดกันนั้น มโนกันไปเองจากหน้าที่การงานของเราทั้งสิ้น
วันนึง เราขอไปเสม็ดกับเพื่อนเพียงคนเดียวของเราในบริษัท และมีแผนกแอ็คเคาท์ไปสองคน พอวันสุดท้ายสองคนนั้นเมา เค้าบอกว่า แก ชั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าแกนิสัยดีมาก แกชิวมาก ไม่เห็นหยิ่ง ไม่เห็นเยอะอะไรเป็นคนแบบที่แผนกชั้นเค้าว่าเลย แต่พวกชั้นไม่สามารถดีกับแกในบริษัทได้ว่ะ ชั้นขอโทษแกจริงๆนะ ไม่งั้นชั้นจะมีปัญหากับคนในแผนกชั้น ถ้าเค้าพูดนินทาแก ชั้นก็ยังต้องเออออห่อหมกชั้นต่อไป ชั้นขอโทษจริงๆ
เชื่อมั้ย เราไม่เคยโกรธสองคนนั้นเลย เราเข้าใจมากๆว่าทำไมบางทีคนเราถึงยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าจะขัดกับความเชื่อของตัวเองก็ตาม เพราะว่าpeer pressureนั่นเอง คนพวกนี้ จริงๆน่าสงสารนะ เพราะต้องเดินตามเหล่าฝูงชนไปเรื่อยๆ จริงๆแล้วเค้ามองคุณด้วยความที่อยากจะเก่ง อยากจะมีโอกาสแบบคุณนะคะ แต่เพราะว่าไม่สามารถ หรือไม่มีความกล้าพอที่จะเปลี่ยน เค้าถึงเปลี่ยนจากการทำตัวเองให้ดีขึ้น เป็นการรวบรวมคนระดับเดียวกับเค้า มาพยายามกดคุณลงไง
แต่ถ้าคุณรู้สึกแย่เพราะเค้านั่นก็หมายความว่าเค้าทำสำเร็จ เค้ากดคุณลงได้สำเร็จ
วิธีนึงที่อาจจะทำได้ คือการคุยกัน บอกความรู้สึกของคุณตามตรงและถามเค้าว่า ทำไมเค้าถึงทำแบบนี้ๆ แต่ส่วนมากคนไทยไม่ค่อยเปิดอกคุยแบบนี้หรอกค่ะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน อีกวิธีคือ มองหาสถานที่ทำงานที่เพื่อนร่วมงานเป็นแบบคุณ บริษัทข้ามชาติหลายๆที่ในไทยเต็มไปด้วยเด็กจบนอกค่ะ โอเคในด้านโอกาสทางความก้าวหน้าคุณอาจจะมีมากกว่าในที่ที่คุณมีความสามารถที่เด่นกว่าคนอื่น บางทีการอยู่ที่สูงก็อาจจะทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวนะคะ หรืออาจจะค่อยมามีเพื่อนนอกที่ทำงานเอา ของแบบนี้ก็ต้องลองเลือกดู แต่ถ้าเป็นเรา เราคงเริ่มสมัครงานที่อื่นละค่ะ
ตอนเราจบใหม่ๆ เราได้งานตำแหน่งที่คนมากมายในสายคณะที่เรียนอยากได้ค่ะ ต้องผ่านการสัมภาษณ์กับชาวต่างชาติ 5-6รอบ ต้องสอบนู่นนี่ ได้ไปเทรนเมืองนอกทุก 6เดือน เป็นตำแหน่งเพื่อสร้างคนให้เป็นผู้บริหาร หรือที่เค้าเรียกกันว่า management trainee นั่นเอง
แต่ปีที่เราได้ตำแหน่งเนี่ย ออฟฟิสที่กรุงเทพไม่พร้อมที่จะจ้างพนักงานตำแหน่งนี้ เพราะเศรษฐกิจปีนั้นไม่ดีค่ะ เราเลยไปนั่งที่ต่างจังหวัด ซึ่งเราก็เป็นคนห่ามๆลุยๆ อยู่แล้ว ก็ตัดสินใจไป เป็นเทรนนีคนแรกและคนเดียวของบริษัทเลยแหละ
พอเริ่มทำงาน ปรากฏว่า ไม่ค่อยมีใครป้อนงานให้ทำเลยค่ะ พยายามถามคนอื่นว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ ไม่เคยทำตัวหยิ่งเพราะชื่อตำแหน่งหรืออะไรทั้งสิ้น วันๆนั่งค่อนข้างเบื่อถึงเบื่อมาก แถมรู้สึกผิดเงินเดือนเยอะกว่าชาวบ้าน มันเครียดเหมือนกันนะ
แต่สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือ เหล่าพนักงานในแผนกบัญชี(ญล้วนค่ะ) นินทาเราได้ทุกเรื่องๆๆๆ อุ้ยเค้าเด็กนอก อุ้ยเค้าเด็กอินเตอร์ เค้าสนิทกับพวกแมเนเจอร์, CEO เค้ามีรถขับ เค้ารองเท้าแดง เค้าถือกระเป๋าอวด(เออะ แค่ลองชอม แล้วไง จะให้ไว้ที่โต๊ะทำงาน?หายซื้อใหม่ให้ว่างั้น?) เค้ามั่นใจ ฯลฯ
ดีที่งานของเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นมากค่ะ นานๆทีไปเบิกtravel allowanceในห้องนั้น บรรยากาศน่ากลัวมากกกก โดนเช็คๆๆๆๆ หัวจรดเท้าจ้า แต่ข้อเสียก็คือ ทำให้ไม่เคยมีใครได้รู้จักเราจริงๆเลย ทุกสิ่งที่พูดกันนั้น มโนกันไปเองจากหน้าที่การงานของเราทั้งสิ้น
วันนึง เราขอไปเสม็ดกับเพื่อนเพียงคนเดียวของเราในบริษัท และมีแผนกแอ็คเคาท์ไปสองคน พอวันสุดท้ายสองคนนั้นเมา เค้าบอกว่า แก ชั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าแกนิสัยดีมาก แกชิวมาก ไม่เห็นหยิ่ง ไม่เห็นเยอะอะไรเป็นคนแบบที่แผนกชั้นเค้าว่าเลย แต่พวกชั้นไม่สามารถดีกับแกในบริษัทได้ว่ะ ชั้นขอโทษแกจริงๆนะ ไม่งั้นชั้นจะมีปัญหากับคนในแผนกชั้น ถ้าเค้าพูดนินทาแก ชั้นก็ยังต้องเออออห่อหมกชั้นต่อไป ชั้นขอโทษจริงๆ
เชื่อมั้ย เราไม่เคยโกรธสองคนนั้นเลย เราเข้าใจมากๆว่าทำไมบางทีคนเราถึงยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าจะขัดกับความเชื่อของตัวเองก็ตาม เพราะว่าpeer pressureนั่นเอง คนพวกนี้ จริงๆน่าสงสารนะ เพราะต้องเดินตามเหล่าฝูงชนไปเรื่อยๆ จริงๆแล้วเค้ามองคุณด้วยความที่อยากจะเก่ง อยากจะมีโอกาสแบบคุณนะคะ แต่เพราะว่าไม่สามารถ หรือไม่มีความกล้าพอที่จะเปลี่ยน เค้าถึงเปลี่ยนจากการทำตัวเองให้ดีขึ้น เป็นการรวบรวมคนระดับเดียวกับเค้า มาพยายามกดคุณลงไง
แต่ถ้าคุณรู้สึกแย่เพราะเค้านั่นก็หมายความว่าเค้าทำสำเร็จ เค้ากดคุณลงได้สำเร็จ
วิธีนึงที่อาจจะทำได้ คือการคุยกัน บอกความรู้สึกของคุณตามตรงและถามเค้าว่า ทำไมเค้าถึงทำแบบนี้ๆ แต่ส่วนมากคนไทยไม่ค่อยเปิดอกคุยแบบนี้หรอกค่ะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน อีกวิธีคือ มองหาสถานที่ทำงานที่เพื่อนร่วมงานเป็นแบบคุณ บริษัทข้ามชาติหลายๆที่ในไทยเต็มไปด้วยเด็กจบนอกค่ะ โอเคในด้านโอกาสทางความก้าวหน้าคุณอาจจะมีมากกว่าในที่ที่คุณมีความสามารถที่เด่นกว่าคนอื่น บางทีการอยู่ที่สูงก็อาจจะทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวนะคะ หรืออาจจะค่อยมามีเพื่อนนอกที่ทำงานเอา ของแบบนี้ก็ต้องลองเลือกดู แต่ถ้าเป็นเรา เราคงเริ่มสมัครงานที่อื่นละค่ะ
ความคิดเห็นที่ 22
ถ้าเราทำงานที่ไทยก็คงไม่พ้นโดนไล่ออกเหมือนกันค่ะ
เรามีปัญหาตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้ว เป็นคนที่เวลามีเรื่องไม่พอใจกับใคร
พอเจอหน้าก็คุย ก็เคลียร์ เรื่องก็จบ คือสำหรับเรามันจบ บอกแล้ว เคลียร์อะไรในใจแล้วก็จบ
แต่คนที่เรามีปัญหาด้วย ตอนเคลียร์กัน ก็บอก โอเคๆ จบๆ แต่ลับหลังมันไม่อย่างนั้นน่ะสิคะ
แล้วไหนจะแบบอารมณ์ เกลียดขี้หน้ากัน เอามานินทาให้เราทั้ง ก็นินทากันไปนินทากันมา
หมั่นไส้เกลียดกันนักหนา แต่ต่อหน้าก็ดี้ด้า รัก นะจุ้บๆ กอดๆ เห็นแล้วเราก็งง
คือส่วนตัวเรา ถ้าไม่ชอบขี้หน้ากัน ก็คงไม่ไปตีสนิท หน้ากากใส่กันหรอกค่ะ เหนื่อย
สรุปไปๆมาๆ การที่เราเป็นคนแบบนี้ ทำให้เราไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ บางทีก็ทำให้มาคิดนะว่า
เรามันเป็นคนเลวเหรอวะ ทั้งๆที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ยุ่งอะไรกับใคร ยังนินทา ยังหาเรื่องได้เลย
แล้วไอ้เรื่องอ้วนนี่อีก ตัวดี คนไทยเป็นบ้าอะไรกันนักก็ไม่รู้ หยอกล้อ จิกกัดอยู่นั่นแหละเรื่องอ้วน
คือ เราไปอ้วนบนหัวพวกเขาหรือก็เปล่า เรียกว่าโอ่งบ้าง ช้างน้ำบ้าง หมูบ้าง
ที่มันน่าเจ็บใจที่สุดมี เจ้านาย/ผู้ใหญ่บางคน อ้วนกว่าเราอีก ยังไม่พ้นแขวะเราเรื่องอ้วน
มันทำให้รู้สึกดีมากนักเหรอ ถ้าวันๆนึงได้ เหยียบย่ำปมด้อยของคนอื่นได้นิดหน่อย จะทำให้นอนหลับสบายมากขึ้นหรือไง
คุณ จขกท. ก็ไม่ต้องคิดมากนะคะ ตั้งใจทำงานของเราไป ถ้าอะไรที่เราทำดีแล้วและไม่ได้ผิดกฎบริษัท ก็อย่าไปคิดมาก อย่าไปใส่ใจ
เรามีปัญหาตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้ว เป็นคนที่เวลามีเรื่องไม่พอใจกับใคร
พอเจอหน้าก็คุย ก็เคลียร์ เรื่องก็จบ คือสำหรับเรามันจบ บอกแล้ว เคลียร์อะไรในใจแล้วก็จบ
แต่คนที่เรามีปัญหาด้วย ตอนเคลียร์กัน ก็บอก โอเคๆ จบๆ แต่ลับหลังมันไม่อย่างนั้นน่ะสิคะ
แล้วไหนจะแบบอารมณ์ เกลียดขี้หน้ากัน เอามานินทาให้เราทั้ง ก็นินทากันไปนินทากันมา
หมั่นไส้เกลียดกันนักหนา แต่ต่อหน้าก็ดี้ด้า รัก นะจุ้บๆ กอดๆ เห็นแล้วเราก็งง
คือส่วนตัวเรา ถ้าไม่ชอบขี้หน้ากัน ก็คงไม่ไปตีสนิท หน้ากากใส่กันหรอกค่ะ เหนื่อย
สรุปไปๆมาๆ การที่เราเป็นคนแบบนี้ ทำให้เราไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ บางทีก็ทำให้มาคิดนะว่า
เรามันเป็นคนเลวเหรอวะ ทั้งๆที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ยุ่งอะไรกับใคร ยังนินทา ยังหาเรื่องได้เลย
แล้วไอ้เรื่องอ้วนนี่อีก ตัวดี คนไทยเป็นบ้าอะไรกันนักก็ไม่รู้ หยอกล้อ จิกกัดอยู่นั่นแหละเรื่องอ้วน
คือ เราไปอ้วนบนหัวพวกเขาหรือก็เปล่า เรียกว่าโอ่งบ้าง ช้างน้ำบ้าง หมูบ้าง
ที่มันน่าเจ็บใจที่สุดมี เจ้านาย/ผู้ใหญ่บางคน อ้วนกว่าเราอีก ยังไม่พ้นแขวะเราเรื่องอ้วน
มันทำให้รู้สึกดีมากนักเหรอ ถ้าวันๆนึงได้ เหยียบย่ำปมด้อยของคนอื่นได้นิดหน่อย จะทำให้นอนหลับสบายมากขึ้นหรือไง
คุณ จขกท. ก็ไม่ต้องคิดมากนะคะ ตั้งใจทำงานของเราไป ถ้าอะไรที่เราทำดีแล้วและไม่ได้ผิดกฎบริษัท ก็อย่าไปคิดมาก อย่าไปใส่ใจ
ความคิดเห็นที่ 1
ผู้หญิงหลายคนมีจุดเสีย คือความขี้อิจฉา นี่ละค่ะ
แม้แต่เราก็ยังเป็น คุณป้าเราเอาใจใส่น้องชายเรามาก ทั้งที่มันก็ไม่ได้ดีอะไร ออกแนวจะเกเร ไม่เกลียด ไม่พาล แต่ฝังใจค่ะ
ขึ้นอยู่กับบางคนมีมากน้อย ถ้ามีมากจนกลายเป็นริษยา จ้องแต่จะเกลียดคนที่เรารู้สึกแบบนั้นด้วย ก็น่าสงสารคนแบบนั้นค่ะ
แทนที่จะเอาเวลามาพัฒนาตัวเอง
ปล.ช่วงหลังๆ ชายแท้ ก็ขี้อิจฉาไม่แพ้ผู้หญิงค่ะ มาแนบเนียนและน่ากลัวกว่ามากมาย
เพราะผู้หญิงเหมือนกัน ดูออกค่ะ กิริยาอาการ คำพูดจิกกัด สีหน้าสีตาจิกใส่
มันชัดเจนค่ะ
แต่ผู้ชายนิ่งๆ แต่มาอิจฉา กลั่นแกล้ง ดูยากค่ะ
แม้แต่เราก็ยังเป็น คุณป้าเราเอาใจใส่น้องชายเรามาก ทั้งที่มันก็ไม่ได้ดีอะไร ออกแนวจะเกเร ไม่เกลียด ไม่พาล แต่ฝังใจค่ะ
ขึ้นอยู่กับบางคนมีมากน้อย ถ้ามีมากจนกลายเป็นริษยา จ้องแต่จะเกลียดคนที่เรารู้สึกแบบนั้นด้วย ก็น่าสงสารคนแบบนั้นค่ะ
แทนที่จะเอาเวลามาพัฒนาตัวเอง
ปล.ช่วงหลังๆ ชายแท้ ก็ขี้อิจฉาไม่แพ้ผู้หญิงค่ะ มาแนบเนียนและน่ากลัวกว่ามากมาย
เพราะผู้หญิงเหมือนกัน ดูออกค่ะ กิริยาอาการ คำพูดจิกกัด สีหน้าสีตาจิกใส่
มันชัดเจนค่ะ
แต่ผู้ชายนิ่งๆ แต่มาอิจฉา กลั่นแกล้ง ดูยากค่ะ
ความคิดเห็นที่ 28
เห็นกระทู้คุณแล้วอยากตอบค่ะ จะบอกว่าเคยผ่านตรงจุดๆเดียวกันนี้มาแล้ว ปัญหาของคุณคือการที่ต้นทุนคุณดีเกินไป ทำให้คนอื่นอิจฉา คุณอาจคิดเหมือนกับที่เราเคยคิดว่าทำไม เพราะอะไร ในเมื่อคุณต้องการเพียงเพื่อมาทำงาน พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง ซึ่งคุณมีความสามาถทางภาษาสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นขาด ชีวิตนี้มันไม่มีความยุติธรรม คนอื่นเค้าก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่คุณมีต้นทุนดีกว่า ซึ่งคุณน่าจะดีใจนะ การมีคนอิจฉา มันแสดงว่าคุณมีดียังไงล่ะคะ ดังนั้นจงดีใจและภูมิใจเถอะ เพราะฉะนั้น เลิกคิด หันมาตั้งรับ
ถ้าคุณคิดว่าจะเอาดีทางสายงานนี้ื คุณก็คงต้องอดทน ฝ่าฝันอุปสรรคนี้ เพราะถึงจะเปลี่ยนงานใหม่กี่แห่ง คุณก็จะต้องเจอปัญหาเดิม เพราะงั้นถ้าคุณคิดว่าจะไปต่อ คุณก็ต้องสู้อย่างใช้สมอง ทำงานคุณให้เต็มที่ ระวังความผิดพลาด เพราะทุกคนเฝ้ารอคอยที่จะซำ้เติมคุณอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนเรามองโลกในทางร้าย แต่ชีวิตที่เมืองไทย รือเมืองไหนๆที่คุณเข้าไปอย่างคนที่มีดีกว่าคนอื่น คุณต้องเจอ หลังจากนั้นคุณต้องนอบน้อม ยิ่งเขาหาเรื่องคุณ คุณต้องชี้แจงด้วยนำ้เสียงถ่อมตน คุณต้องตีสนิท หาพวกที่คุณพอจะไว้ใจได้บ้าง สงบเสงี่ยม พยายามให้เจ้านายเห็นผลงาน ยิ่งเป็นเจ้านายระดับสูงยิ่งดี คุณต้องรอจังหวะจนกว่าคุณจะได้เลื่อนตำแหน่ง อะไรประมาณนี้ ขอให้คุณโชคดีนะคะ โลกนี้คือการแข่งขัน ถ้าไม่งั้นคุณก็ต้องทำเหมือนเรา คือหันมาทำงานอิสระ ที่อาจจะไม่มีการได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ถ้าเราชอบงาน และมีรายได้ที่ดี เราก็ยอมค่ะ
ถ้าคุณคิดว่าจะเอาดีทางสายงานนี้ื คุณก็คงต้องอดทน ฝ่าฝันอุปสรรคนี้ เพราะถึงจะเปลี่ยนงานใหม่กี่แห่ง คุณก็จะต้องเจอปัญหาเดิม เพราะงั้นถ้าคุณคิดว่าจะไปต่อ คุณก็ต้องสู้อย่างใช้สมอง ทำงานคุณให้เต็มที่ ระวังความผิดพลาด เพราะทุกคนเฝ้ารอคอยที่จะซำ้เติมคุณอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนเรามองโลกในทางร้าย แต่ชีวิตที่เมืองไทย รือเมืองไหนๆที่คุณเข้าไปอย่างคนที่มีดีกว่าคนอื่น คุณต้องเจอ หลังจากนั้นคุณต้องนอบน้อม ยิ่งเขาหาเรื่องคุณ คุณต้องชี้แจงด้วยนำ้เสียงถ่อมตน คุณต้องตีสนิท หาพวกที่คุณพอจะไว้ใจได้บ้าง สงบเสงี่ยม พยายามให้เจ้านายเห็นผลงาน ยิ่งเป็นเจ้านายระดับสูงยิ่งดี คุณต้องรอจังหวะจนกว่าคุณจะได้เลื่อนตำแหน่ง อะไรประมาณนี้ ขอให้คุณโชคดีนะคะ โลกนี้คือการแข่งขัน ถ้าไม่งั้นคุณก็ต้องทำเหมือนเรา คือหันมาทำงานอิสระ ที่อาจจะไม่มีการได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ถ้าเราชอบงาน และมีรายได้ที่ดี เราก็ยอมค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เหนื่อยใจจริงๆค่ะ เป็นผู้หญิงด้วยกัน เรายังไม่เข้าใจผู้หญิงเลย จะหมั่นไส้ ไม่ถูกชะตา ใส่อารมณ์กัน เพื่อ?
เราชอบอ่านกระทู้เกือบทุกห้องเลยนะคะ อาจจะเข้าโต๊แป้งบ่อยสุดตามประสาสาวๆ น่ะค่ะ
เรื่องที่จะเล่าหรือระบายวันนี้คือ แน่นอนทุกคนต้องมี คือ ปัญหากับที่ทำงานนั่นเองค่ะ
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เราชอบโดน ผู้หญิง ซึ่ง ส่วนใหญ่ เป็นคนไทย หมั่นไส้ ไม่ชอบขี้หน้า จิกกัด Ignore
อย่างหาสาเหตุไม่ได้ ไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าเราไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก พอกลับมาก็ทำงานเลย
โดยบริษัทที่เราไปทำเป็นที่แรก คือ บริษัท อสังหา โดยมีเจ้าของเป็นต่างชาติ ซึ่งตอนนั้นเราไปทำโดยที่ไม่มีประสบการเลย
แต่รับเพราะเราได้ภาษา
เจ้านายเราก็ฝากให้ ผจก. เป็นคนคอยสอนงานให้ พี่เค้าเลยให้พี่ที่เป็นเกย์คนนึงสอน ซึ่งต้องขอบคุณเค้ามาก
เพราะเค้าให้ความรู้เราเยอะ จนเราเริ่มทำได้ หลังเริ่มมีผลงาน ถามอะไรปรึกษาอะไร ก็จะรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยากตอบหรือคุยด้วย
ไม่ค่อยจะสนใจ เหมือนเราไม่มีตัวตน ซึ่งตอนนั้นเราไม่ไว้แล้ว เลยพูดขึ้นเลยในที่ประชุม ว่ามีใครไม่พอใจอะไรมั้ย
พูดได้เลยเราจะได้ปรับปรุง เพราะรู้สึกเหมือน ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากพี่ๆ
แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร แล้วบอกว่าเราคิดมากเองป่าวเพราะเราเด็ก
แต่หลังจากนั้นก็หนักกว่าเดิม โดยย้ายให้เราไปอยู่โครงการที่ขายไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า เราไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะ อยู่โครงการดีๆ เราก็ไม่ตอบโต้ จนเจ้านายมาถามเรื่องยอดเราก็บอก ตามตรงว่าให้อยู่โครงที่เหลืออยู่ไม่กี่ห้อง มันก็ต้องขายไม่ได้
โดยเจ้านายก็ไม่รู้เรื่อง แต่เรากลับถูกโจมตี หาว่าขี้ฟ้อง ก้าวร้าว ดื้อ ทำตัวเหมือนพวกฝรั่ง ไม่เคารพ
จนเราเริ่มไม่แคร์ไม่สนใจใคร ทำอะไรที่ไม่แฟร์เราก็จะแสดงความคิดเห็นของตัวเองเลยไม่สนใจใคร หนักเข้าเราก็โดนนินทา ว่าทำกระแดะพูดไม่ชัด ซึ่งไม่จริงเลย เราพูดชัดค่ะ แต่อาจไม่เข้าหรือใช้คำไม่ถูกในบางเรื่อง ถึงขั้นเป็นกิ๊กกับเจ้านาย จนเราไม่ไหวเลยต้องลาออก
จนเราได้งานใหม่ เราก็ลองเปิดใจ และคิดว่ายังไงก็ต้องปรับปรุงตัว ต้องอ่อนหวานขึ้น เชื่อฟังให้มากขึ้น แสดงความคิดเห็น และ เป็นตัวของตัวเองให้น้อยลง เพื่อที่จะเข้ากับคนอื่นได้ เราถึงขั้นเลิกสูบบุหรี่เพราะเห็นว่าเพื่อนร่วมงานมีแต่ผู้หญิงเลยนะคะ (รู้อีกที ผจก. ก้สูบ) แต่เราก็เลิกเด็ดขาด เพื่อสุขภาพของตัวเองด้วย
เราก็ทำตัวตามปรกติคือไหว้ทุกคน ทักทายยิ้แย้มแบบที่เราเป็น พยายามมีส่วนร่วมและช่วยพี่เค้าตลอด (ไม่ได้เฟคนะคะ)
โดยตั้งแต่เราเข้ามาทำงานทุกๆคน จะยุ่งกันมากๆ ตลอด ถามอะไรไปก็จะบอกว่ารอก่อน เราก็เข้าใจ เลยหาข้อมูลเองบ้าง จนผ่านไปนึงเดือนเราก็ยังขายไม่ได้ ซึ่งคนอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน แต่ผจก. มองว่าอาจเป็นเพราะ เราดูไม่ professional แต่งตัวโป๊ะ (ชุดเดรส กับ สูท หรือ กระโปรงเอวสูงกับเชิ๊ต) พูดจาดูแข็งๆ ต้องปรับเสียง หน้าเหวี่ยงต้องปรับ ผมก็ให้มัดไม่ปล่อย (เราม้วนผมตลอด) เราก็อยากไปรอดและอยู่ให้ได้ เราก็ทำตามอย่างเต็มใจ เอาเสื้อฟอรม์ให้ เราก็ใส่ ทำตามที่เค้าสั่งทุกอย่าง แล้วมองว่าเดี๋ยวผ่านโปรแล้วก็คงไม่ต้องอะไรมากแบบพี่ๆเค้าเองแหล่ะ แล้วเดือนนั้นเราขายได้ (เป็นลูกค้าที่คุยไว้ตั้งแต่เดือนก่อน)
เค้าก็บอกว่าเห็นมั้ยเป็นเพราะเค้าให้เราปรับปรุงตัว (ย้ำตลอด) เค้าเลยเริ่มจู้จี้ กับ เสื้อผ้า หน้าผมเราตลอด
เราก็ได้แต่ ค่ะ ค่ะ และทำตาม พี่ๆ คนอื่น ก็ชอบจิกว่า อ้วนบ้าง ดำบ้าง หน้าเป็นสิวทำไม ไม่รักษา (ทั้งฉีด, หาหมอ, กินยา, ซื้อคอสแล้ว แต่ของพวกนี้คงต้องใช้เวลา) หรือว่าว่าน้ำใช้น้ำหอมกลิ่นเหมือนอินเดีย (armani aqua, chloe)
ซึ่งถ้าเป็นเมือก่อนเราคงว่ากลับหน้าหงายกันหมดแล้ว เพราะจริงๆก็ไม่มีใครสวยปานนางฟ้าสักคน แต่เราก็ทนอาจมีนอยๆบ้าง
จนมาถึงพักหลังเริ่มหนักขึ้นกัน มีอยู่วันพี่คนนึงให้ไปก็อปปี้ เอกสาร แล้วก็ปริ้นมาให้แล้ววาง เค้าก้พูดขึ้นว่า "ที่ให้ไปปริ้นๆ มาเนี่ย จำได้บ้างป่ะ ว่าแต่ละใบใช้กี่แผ่น ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ" ตอนนั้นเราปรี๊ดมาก แต่เราก็หันไปพูดแค่ แล้วที่ปริ้นมาครบมั้ยคะ เค้าก็ดูแล้วบอกว่าครบ เราก็เลย บอกแค่ว่า งั้นก็แสดงว่าหนูจำได้ ผ่านไป...
มาถึงจุดพีคเลยแล้วกันค่ะ เดี๋ยวจะเบื่อกัน
พี่ๆ เค้าต้องไปออกบูทกัน โดยไม่ให้เราไป เพราะเราไม่เหมาะกับคนไทย ผจก. เลยให้เราเตรียมของ เราก็เตรียม แล้วแจ้งของที่ขาด เราก็บอกเรื่องโบชัว พี่เค้าก้ให้รอก่อนเพราะยุ่งอยู่ ผ่านไปสองอาทิตย์ ถามอีกก็บอกเหมือนเดิม แล้วก็ให้เราไปเขียนลิส เราก็ไปเขียนแล้วนำมาวางที่โต๊ะ เค้าก็ใช้หางตามองแล้วก็พูดกับเรา"แกควรจะไปยืดผมนะ ปล่ยกระเซิงอยู่นั่นแหล่ะ" เราก็บอกว่า เรากลัวผมเสีย เพราะตอนนี้ก้ร่วงเยอะแล้ว อีกอย่างเราค่อยไม่ชอบผมตรงด้วยไม่ค่อยเหมาะกับเรา เค้าก็เหมือนไม่ค่อยพอใจประมาณว่าเค้าก้ยืดตรง จะว่าเค้าว่าไม่สวยหรอ ประมาณนี้ จนมาถึงอาทิตย์ที่แล้วเค้าถามเรื่อง ของไปบูทเหมือนเดิมเราก็แจ้งเหมือนเดิม เค้าก็บอกว่าทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ว่าโบชัวขาด สั่งไม่ทันแล้ว เราก็บอกว่าแจ้งไปสองรอบแล้ว ทำ list ให้ด้วย เค้าก็ว่าเราเถียง พอเราพยายามอธิบาย เค้าก็ตวาดต่อหน้าทุกคนเลยว่า "เธอไม่มีสิทธิ์จะเถียงชั้น" "เข้าใจหรือยังจบนะ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกคนในบริษัทไม่มีใครคุยกับเราเลย ไหว้ก็ไม่รับ ทำหน้าใส่กันทุกคน ไปกินข้าวก็ไม่ถาม พอประชุม ผจก. ก็เสนอแต่ไอเดียของตัวเองและคนอื่น โดยไม่พูดถึงของเราเลย เหมือนจงใจทั้งๆที่ตอนแรกเค้าก็ชอบ พี่คนอื่นก็ค่อยประชดตลอด จนเราเริ่มเสียความรู้สึก เหนื่อยใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจอแต่เหตุการ อย่างนี้ด้วย เราทำดีมาตลอด ซื้ออะไรมาก็คอยฝากทุกคน ออกไปซื้อข้าวให้ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีรถ แปลเอกสารทั้งหมดของ บริษัทเป็นภาษาอังกฤษ โดยยังงงว่า เมื่อก่อนใช้ไรกันวะ คือเราไม่ได้คิดจะประจบหรือหวังผลตอบแทน แค่อยากให้ทุกคนรู้สึกดีด้วย แค่นั้นเอง เพราะเรามองว่า ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ มาก่อนหลัง จน รวย ทุกคนมีความเป็นคนเท่ากันหมด ทำไมมีอะไร ถึงไม่พูดให้จบๆไป ทำไมต้องบึงตึงให้กัน ทำไมต้องมานั่งนินทา ทำไมต้องหมั่นไส้ ทำไมต้องจิกกัด ทั้งๆที่เค้าไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลย ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นแม่พระนะคะ แต่เราไม่เคยหมั่นไส้ใคร ที่ไม่ได้กระทำผิดกับเราโดยตรง
อย่างบางคน เห็นใครสวย/หล่อกว่า หยิ่ง ขี้โม้ ขี้อวด ก็จะหมั่นไส้ ซึ่งเราไม่เป็นนะ ถ้าเค้าไม่ได้ทำอะไรให้ เรามองว่ามันเป็นเรื่องของเค้า คนเราแตกต่างกัน ถามว่าเราเคย อิจฉาคนที่เก่ง สวย หุ่นดี มีของโน้นนั่นนี่มั้ย ก็เคยนะ แต่เรามามองใหม่ว่า ที่เค้ามีเพราะเค้าทำ แล้วทำไมเราไม่ทำ แล้วเราก็รู้สึกดีกับคนคนนั่นทันที
ท้ายสุดเลยค่ะ คือเราไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้ว่าจะผ่านโปรมั้ย หรือแก้สถาการณ์ ยังไง เพราะดูแล้ว ไม่น่าจะเรียกมาคุยนั่งเคลียได้ แล้วถ้าต้องออก เราก็กังวลเหมือนกัน ว่าจะเจอปัญหาเดิมมั้ย