ใน ชิลี อาร์เจนตินา ผลร้ายจากประชานิยม กว่าจะออกฤทธิ์ก็ใช้เวลา 4–5 ปี แต่ ของไทยกลับมาเร็วกว่ามาก เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
สองโครงการประชานิยม ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากที่สุด ก็คือ “ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท” และโครงการ “รถยนต์คันแรก” ที่รัฐบาลเอาเงินภาษีเข้าล่อคืนให้คันละ 100,000 บาท ส่งผลให้ประชาชนแห่ซื้อรถยนต์คันแรกกว่า 1.2 ล้านคัน จนกลไกในอุตสาหกรรมรถยนต์ถูกบิดเบือนไปหมด ซึ่งผู้ประกอบการบอกว่า กว่าจะเข้าที่ตามดีมานด์ซัพพลายปกติจะต้องใช้เวลาถึง 3 ปี
แต่ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ หนี้สินของครัวเรือนที่ซื้อรถยนต์คันแรกเพิ่มขึ้นทันที จากรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2556 ยอดการให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนรวม 8.97 ล้านล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.25 ล้านล้านบาท เท่ากับยอดขายรถยนต์คันแรกพอดี เพิ่มขึ้นถึง 16.24% ส่งผลให้หนี้สินครัวเรือนตกอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วงขึ้นมาทันที และยังส่งผลไปถึง “กำลังซื้อ” ที่มีต่อสินค้าอุปโภคและบริโภคอื่นๆ พลอยได้รับกระทบกันเป็นลูกโซ่ ยอดขายลดลงด้วย
การมีรถยนต์เพิ่มขึ้นมา 1 คัน จะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่ค่าผ่อนรถรายเดือน ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วนอย่างน้อยวันละ 100 บาท เดือนหนึ่งก็ 3,000 บาท ค่าที่จอดรถ ไปจนถึงค่าดูแลรักษารถ ทำให้ไม่มีเงินเหลือไปซื้อสินค้าอย่างอื่น แม้แต่ “เงินออม” ก็ลดลง
จากภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลงเหลือ 0.2% ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง 1.6% โดยสภาพัฒนฯอ้างว่า เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
ตัดตอนจากไทยรัฐ
ประชานิยม เริ่มออกฤทธิ์ ทำลายเศรษฐกิจ
สองโครงการประชานิยม ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากที่สุด ก็คือ “ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท” และโครงการ “รถยนต์คันแรก” ที่รัฐบาลเอาเงินภาษีเข้าล่อคืนให้คันละ 100,000 บาท ส่งผลให้ประชาชนแห่ซื้อรถยนต์คันแรกกว่า 1.2 ล้านคัน จนกลไกในอุตสาหกรรมรถยนต์ถูกบิดเบือนไปหมด ซึ่งผู้ประกอบการบอกว่า กว่าจะเข้าที่ตามดีมานด์ซัพพลายปกติจะต้องใช้เวลาถึง 3 ปี
แต่ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ หนี้สินของครัวเรือนที่ซื้อรถยนต์คันแรกเพิ่มขึ้นทันที จากรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2556 ยอดการให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนรวม 8.97 ล้านล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.25 ล้านล้านบาท เท่ากับยอดขายรถยนต์คันแรกพอดี เพิ่มขึ้นถึง 16.24% ส่งผลให้หนี้สินครัวเรือนตกอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วงขึ้นมาทันที และยังส่งผลไปถึง “กำลังซื้อ” ที่มีต่อสินค้าอุปโภคและบริโภคอื่นๆ พลอยได้รับกระทบกันเป็นลูกโซ่ ยอดขายลดลงด้วย
การมีรถยนต์เพิ่มขึ้นมา 1 คัน จะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่ค่าผ่อนรถรายเดือน ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วนอย่างน้อยวันละ 100 บาท เดือนหนึ่งก็ 3,000 บาท ค่าที่จอดรถ ไปจนถึงค่าดูแลรักษารถ ทำให้ไม่มีเงินเหลือไปซื้อสินค้าอย่างอื่น แม้แต่ “เงินออม” ก็ลดลง
จากภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลงเหลือ 0.2% ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง 1.6% โดยสภาพัฒนฯอ้างว่า เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
ตัดตอนจากไทยรัฐ