-เปิดตอนมา โซมะเอ่ยชมอาหารของเอรินะว่าทั้งงดงามแล้วก็สวยจริงๆ แถมเขาก็ยังพึ่งเคยเห็นอาหารแบบนี้เป็นครั้งแรกอีกด้วย น่าทึ่งเหมือนกันนะไอ้ไข่เบเน...เบเน... ซึ่งโซมะที่ไม่รู้จักไข่เบเนดิกซ์แต่พยามจะพูดโดยนึกชื่อมันให้ออกนั้นทำเอาเอรินะหัวเสียกวนสมาธิเธอยิ่งกว่าเดิม พอเธอหันควับกลับมาแล้วเห็นอุปกรณ์ของโซมะเธอก็รู้สึกแปลกใจถามเขาออกไปว่า นายคิดจะทำพวก"ซูเฟ*"หรืออะไรสักอย่างงั้นเหรอ ซึ่งโซมะก็ตอบว่าใช่ เขาจะเอาซูเฟมาใช้กับออมเล็ต
(ซูเฟหมายถึงเทคนิคการทำอาหารที่ตีส่วนผสมให้อากาศเข้าไปจนขึ้นเป็นฝอง ปกติมักจะเป็นพวกไข่และส่วนมากใช้ในการทำขนม)
-ว่าแล้วโซมะก็อธิบายไปว่า เริ่มจากแยกไข่แดงและไข่ขาวจากนั้นตีไข่ขาวจนขึ้นฟูตั้งยอดแล้วค่อยเอากลับมาผสมกับไข่แดงก่อนจะเอาไปทอดแบบออมเล็ตด้วยวิธีนี้จะได้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากออมเล็ตทั่วไปคือฟูแล้วก็นุ่ม เรียกว่าซูเฟออมเล็ต เป็นอาหารที่เหมือนธรรมดาแต่น่าประหลาดใจเมื่อทานไป และเพื่อให้เหมาะกับบุฟเฟ่ห์ เขาจะทำแต่ละจานให้น้อยๆเป็น "มินิซูเฟออมเล็ต*" เมื่อเห็นเอรินะทำท่าอึ้งโซมะก็ถามว่ามีอะไรเหรอ แต่เธอบอกปัดไปว่าไม่มี ก่อนจะแอบยิ้มชั่วร้ายมุมปากว่าเนื้อสัมผัสยังงั้นรึ...
(ปกติซูเฟออมเล็ตปกติจะเป็นชิ้นค่อนข้างใหญ่ครับ ทำมาชิ้นหนึ่งทานได้หลายคน)
-ขณะเดียวที่ฮอลท์E นิคุมิก็ทำอาหารของเธอเสร็จมันคือ "โลโคโมโคด้ง" โลโคโมโคเป็นอาหารของฮาวายเป็นเนื้อสเต็กแฮมเบิร์กกับไข่ดาวแบบซันนี่ไซด์อัพ*แปะอยู่บนข้าวสวย ซึ่งดูเหมือนว่าอาหารของเธอจะถูกใจเหล่าเด็กๆเป็นอย่างมาก ซึ่งเซนะ(ผู้ช่วยเชฟของโดจิม่า)เองก็เอ่ยปากชมว่าการทำโลโคโมโคเป็นบุฟเฟ่ห์อาหารเช้าถือว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าดี ว่าแล้วเขาก็ขอลองชิมอยู่สักหน่อย
(แฮมเบิร์กหรือที่เรามักจะรู้จักกันในนามของแฮมเบอร์เกอร์ คือเนื้อสัตว์ที่เอามาทุบบดแล้วอัดเป็นก้อนๆก่อนจะนำไปใช้ทำอาหาร ส่วนซันนี่ไซด์อัพเป็นชื่อเรียกของไข่ดาวแบบไม่กลับด้าน ซึ่งตัวไข่แดงจะยังไม่สุกดี มีลักษณะเหมือนกับพระอาทิตย์ ในกรณีที่กลับไข่ดาวจะเรียกว่าโอเวอร์(กลับ)และจะมีแยกย่อยตามระดับความสุข เช่นโอเวอร์อีซี่(กลับปุบแล้วเอาขึ้นเลยไข่แดงยังเป็นยางมะตูมอยู่) โอเวอร์มีเดี่ยม(ไข่แดงเริ่มแข็งยังมีมะตูมเหลืออยู่นิดๆ)และโอเวอร์ฮาร์ด(คือไข่แดงสุก) ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละท้องที่หรือประเทศเองก็เรียกแตกต่างกันไป บางแห่งบอกแค่โอเวอร์เฉยๆก็อาจจะหมายถึงโอเวอร์ฮาร์ด เป็นต้น ส่วนชื่อของอาหารนั้นมาจากชื่อร้านอาหารที่ทำกับเสิร์ฟอาหารแบบนี้เป็นแห่งแรก)
-เมื่อทานแล้วเขาก็ชมเปราะถึงเรื่องความนุ่มของไข่ดาวแบบซันนี่ไซด์อัพที่ไปได้ดีกับเนื้อแฮมเบิร์ก แถมเนื้อยังใช้เนื้อส่วนซี่โครงเลาะมาทำซะด้วย ข้าวเองก็ใช้แบบคุณภาพดีทำให้ความนุ่มและความหวานกระจายไปอยู่เต็มปาก แถมซอสที่ใช้กับอาหารจานนี้ยังเป็น"วินายเกร็ต*"ทำให้รู้สึกเปรี้ยวสดชื่นไปพร้อมๆกัน เป็นอาหารที่ผสมผสานรสชาติทุกอย่างแบบลงตัวจริงๆ ทุกวัตถุดิบต่างเสริมเพิ่มพูนกันได้เป็นอย่างดี ได้ยินคำชมแบบนั้นนิคุมิก็เลยเริ่มมั่นใจมากขึ้น ที่เธอต้องทำอาหารจานนี้เพราะตอนนี้เธอเป็นคนของชมรมด้ง แต่ถึงแบบนั้นเธอก็มั่นใจว่าจานนี้น่าจะเสิร์ฟได้เกิน200จานแบบสบายๆแน่
(วินายเกร็ต Vinaigrette เป็นซอสชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นน้ำสลัด ส่วนประกอบหลักๆคือน้ำมัน น้ำส้มสายชูและพวกผักสมุนไพรต่างๆ มีรสชาติออกเปรี้ยวแล้วมีกลิ่นหอมสมุนไพร)
-เพราะมัวแต่คิดเธอก็เลยไม่ได้สนใจ พอรู้ตัวอีกทีก็โดนจ้องโดยสาวน้อยตัวละครใหม่เสียแล้ว ทำให้นิคุมิถึงกับผงะถอยลงออกไป ด้านสาวตัวละครใหม่ก็เอ่ยถามพลางนึกออกมาว่า เธอเคนเห็นนิคุมิที่ไหนนะ แต่แล้วเธอก็จำขึ้นมาได้ นิคุมิเป็นลูกน้องของเอรินะนี้เอง แต่หมู่นี้ไม่เห็นอยู่ด้วยกัน โดนเอรินะตัดหางปล่อยวัดแล้วยังงั้นเหรอ? พอได้ยินแบบนี้นิคุมิก็เลยบอกให้หุบปากซะไม่งั้นได้โดนดีแน่
-หลังจากแหย่นิคุมิแล้วเธอก็บอกขอโทษก่อนจะขอตัวกลับที่ของตัวเอง ส่วนนิคุมิก็มองตามแล้วดูอาหารของเธอ มีอยู่สามอย่างอย่างแรกเป็นไข่ทั้งลูกในแท่นวางไข่ต้ม น่าจะเป็นไข่ต้ม อีกอันเป็นไข่ต้มผ่าครึ่งซึกส่วนอันสุดท้ายเหมือนจะเป็นไข่ดิบที่ตอกใส่ถ้วยเอาไว้เฉยๆ เห็นแบบนี้แล้วเธอก็สบประมาทในใจออกมาทันทีว่านั้นเรียกว่าการทำอาหารยังงั้นเหรอ? แถมไม่มีใครดูจะสนใจอาหารของเธอสักนิดเลยด้วย แต่นิคุมิก็ไม่ประมาทแต่ก็คิดไม่ออกว่าเธอจะมาไม้ไหนกัน ตัดมาทางด้านโซมะ ที่ทำเสร็จส่วนใหญ่ใกล้จะครบสองร้อยที่แล้ว และเมื่อหันกลับไปดูก็พบว่า
-ยังไม่มีใครมาหยิบอาหารของเขาไปกินเลยสักจาน เมื่อเห็นแบบนั้นโซมะเลยเอะใจทันที เมื่อวิ่งไปดูก็พบว่าออมเล็ตของโซมะนั้นยุบไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้โซมะรู้ว่าตัวเองพลาดซะแล้ว เพราะถ้าเป็นแบบบุฟเฟ่ห์ ใช่ว่าแขกจะมาตักกินทันทีหลังทำเสร็จ เขาที่ทำงานในร้านอาหารประจำวันที่เสิร์ฟอาหารร้อนๆรวดเร็วต่อหน้าลูกค้าเสมอ ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าแบบบุฟเฟ่ห์
(ออมเล็ตของโซมะมีลูกเล่นที่ฟูจากการซูเฟ แต่มีจุดอ่อนสำคัญคือเวลาผ่านไปจะค่อยๆยุบลงกลายเป็นไม่ต่างอะไรจากออมเล็ตธรรมดา แถมเข้าขั้นแย่กว่าอีกด้วย)
-ซูเฟออมเล็ตจะอร่อยและดีที่สุดเมื่อทานตอนร้อนๆ เอาไปเสิร์ฟตอนนี้ก็เท่ากับว่าคนทานไม่ได้ทราบจุดเด่นของอาหารจานนี้เลยสักนิด เมื่อโซมะดูให้ทั่วก็พบว่าจานที่ทำไว้แล้วก็มีแต่จานที่น่าจะยุบก่อนจะมีคนมาทานทั้งนั้น แถมอาหารของเอรินะที่อยู่ข้างๆก็ดึงความน่าสนใจไปจนหมดจนไม่มีใครมาดูอาหารของเขาอีกด้วย
-เห็นแบบนี้เอรินะก็เลยเข้ามาเยาะเย้ยโซมะทันที แล้วบอกว่า ท่าทางนายจะเข้าใจแล้วสินะ ว่าสำหรับอาหารแบบบุฟเฟ่ห์แล้ว หน้าตากับความคงทนของรสชาติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หรือถ้าพูดอีกแง่หนึ่งคือ นายเลือกทำอาหารที่แย่ที่สุดในการเอามาเสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ห์ เห็นทีฉันคงต้องบอกลานายแล้วละมั้ง เหลือเวลาอีกแค่30นาทีนะ ที่จะยืนมองความสำเร็จของอาหารของฉันในขณะที่นายทำอะไรไม่ได้เลย ในขณะเดียวกันที่ฮอลท์Eเอง นิคุมิก็เจอปัญหา...เพราะตอนนี้เธอหยุดอยู่ได้แค่150จานเท่านั้น สาเหตุก็มาจาก
(จริงๆแล้วการเสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ห์ถ้าเป็นอาหารที่ต้องทานร้อนๆจริงๆมักจะมีพวก"เบนมารีน" (อ่างน้ำร้อนใช้อุ่นอาหาร)วางใต้ถาดใส่อาหาร ส่วนพวกอาหารอย่างออมเล็ตอะไรพวกนี้จะมีการทำให้เดี้ยวนั้นแล้วนำไปเสิร์ฟตอนร้อนๆซะมากกว่า ในการสอบนี้ไม่มีอุปกรณ์อุ่นจานอาหารที่ทำเสร็จแล้วเอาไว้ อีกทั้งอาหารของโซมะเองก็เป็นแบบเวลาผ่านไปจะค่อยๆแฝบลงไม่เกี่ยวกับความร้อนซะด้วย)
-สาเหตุที่ทำให้นิคุมิติดอยู่ที่150จานก็คือ...อาหารของตัวละครสาวคนใหม่นี้เอง ซึ่งเธอก็ตะโกนออกมาว่ายังมีอีกเยอะไม่ต้องแย่งกันหรอก ซึ่งนิคุมิก็คิดว่า ตั้งแต่มีคนลองกินข่าวลือก็แพร่กระจายกันไปเร็วมากๆ เกี่ยวกับความลับของอาหารของเธอ...แล้วสักพักเธอก็ผูกขาดแขกเกือบทั้งหมดของฮอลท์ ว่าแล้วก็มีสาวบริการลองทานไข่ดิบดูแล้วก็พบว่า "มันไม่ใช่ไข่ดิบ"นิน่า!
-ไข่ขาวเป็นเยลลี่ที่ทำมาจากน้ำทะเลเจือจาง*ส่วนไข่แดงก็เป็นเจลาติน*ไข่ปลาแซลมอลหมักเกลือ รสสัมผัสกรุบๆที่เหมือฝองอากาศของไข่ปลาแซลมอลได้แผ่ความอร่อยของอาหารจานนี้ไปทั่วปากอย่างช้าๆ แถมรสชาติที่นุ่มนวลของเยลลี่ก็ได้ห่อหุ้มลิ้นเอาไว้อีกด้วย ส่วนบริการชายอีกคนก็มองไปที่ไข่ต้มที่ผ่าเอาไว้พร้อมกับบอกว่า ดูดีๆแล้วเหมือนไข่ต้มแต่จริงๆแล้วส่วนที่เป็นสีขาวคือ มูสหน่อไม้ฝรั่งขาว* ส่วนไข่แดงเป็นฮอลแลน์เดสซอสที่ทำมาจากไข่แดง ว่าแล้วทั้งหมดก็มองไปที่ไข่ทั้งเปลือกนั้นแล้วสงสัยว่ามันคืออะไร ซึ่งสาวน้อยตัวละครใหม่ก็ทำการเจาะหลอดเข้าไปในด้านหนึ่งที่มีรูเจาะเอาไว้แล้ว ทำเอาทุกคนตกใจ
(เรื่องน้ำทะเลเจือจางนี้ ผมเคยได้ยินมาว่ามีการเอามาใช้ทำอาหารอยู่เหมือนกัน จะเป็นน้ำที่มีรสเค็มนิดๆ (แต่อันนี้ไม่เคยสัมผัสจริงๆบอกอะไรมากไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ) ส่วนเจลาตินก็คือสภาพที่กลายเหมือนวุ้น โดยเจลาตินได้มาจากการสกัดคอลลาเจนตามผิวหนังแล้วก็กระดูก(ถ้าใครนึกไม่ออกลองนึกภาพต้มขาหมูที่เอาไปใส่ตู้เย็นแล้วเกิดเหมือนแผ่นใสๆปกคลุมนั้นแหละครับเจลาตินละ) แต่อาหารจานนี้น่าจะใช้เจลาตินสำเร็จรูป(เอามาละลายของเหลวทำให้มีความหนืด)มาทำมากกว่า(อาหารที่ใช้เจลาตินบางอย่างถ้ามีส่วนที่พอเอามาทำได้เช่นกระดูกบางทีก็จะใช้ส่วนนั้นแทนเพื่อความเข้ากันและไปกันได้ของรสชาติอาหาร) ส่วนมูสส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นของหวานแต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงหน่อไม้ฝรั่งขาวเอามาปั่นละเอียดให้เละจนมีรสสัมผัสคล้ายมูสมากกว่า (อาหารบางอย่างก็ใช้วิธีนี้ทำเช่นมูสตับเป็นต้น))
-บริการสาวรับมาชิมแล้วก็พบว่ามันคือมิลด์เชค ที่ทำจากนม ไข่แล้วก็คาราเมล*นั้นเอง พอลองทานแล้วก็รู้สึกสดชื่นเหมาะกับเติมพลังให้กับมื้อเช้าจริงๆ ซึ่งตัวละครหญิงคนใหม่ก็บอกว่าทั้งหมดสามจานนี้คือ"จานไข่สามรูปแบบ" ทำเอาบริการสาวถึงกับเคลิ้มแล้วบอกว่า เป็นจานที่น่าตกใจจริงๆ เป็นอาหารจานไข่ที่มีรสชาติแทบทุกแบบบนโลกรวมอยู่ในจานเดียว ราวกับว่า
(คาราเมลคือน้ำตาลที่ถูกความร้อนระดับหนึ่งจนละลายเป็นของเหลวหนืดๆรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อน้ำตาลกลายเป็นคาราเมลแล้ว ก็จะเกิดปฏิกริยา"คาราเมลไลเซชั่น"หรือเกิดการเปลี่ยนสีให้เข้มขึ้น รสชาติก็จะเปลี่ยนแปลงออกไปตามอุณหภูมิ ซึ่งคาราเมลนั้นไหม้ค่อนข้างง่าย (มีอีกชื่อว่าน้ำตาลไหม้) ส่วนใหญ่การทำคาราเมลจึงมักใส่น้ำลงไปเป็นตัวทำละลาย(หรือก็คือน้ำเชื่อม)เพื่อกันการไหม้ อนึ่ง คาราเมลอมความร้อนเอาไว้มาก ถ้าตอนมันร้อนๆอยู่ดีไม่ควรไปแตะเด็ดขาด ยิ่งการชิมด้วยแล้วยิ่งต้องระวังมาก เพราะอาจจะเกิดการลิ้นพองได้)
-ทั้งทะเล ทั้งป่าแล้วก็แผ่นดิน ทั้งหมดถูกหลอมรวมกันหนึ่งเดียวกัน ความอร่อยทั้งหมดถูกหลอมรวมมาไว้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาแขกต่างแห่กันไปชิมไม่ก็ขอเพิ่มกันเป็นการใหญ่ นิคุมิเห็นแบบนั้นเลยนึกทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นของจริง
-ดีไม่ดีเธออาจจะได้ถึง300จานแบบง่ายๆเลยก็ได้ ตัดกลับมาทางฮอลท์A เอรินะก็เกิน300จานไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนทาคุมิกับเมงุมิก็กังวลใจเรื่องที่โซมะยังได้แค่แปดจานอยู่เอง ทาคุมิถึงกับบ่นว่าให้โซมะรีบทำอะไรเข้าสักอย่างสิ
-ด้านนักเรียนคนอื่นก็โดนอาการล้าเข้าโจมตี บางส่วนก็แทบจะทำไม่ไหวแล้ว และอีกส่วนก็บอกว่าเอรินะแย่งแขกไปจากพวกเขาหมดเลย ด้านโซมะกำลังบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ก่อนจะเริ่มนึกเหตุการณ์ในอดีต
-ในอดีต พ่อของโซมะบอกว่ามีลูกค้าสองคนเข้ามาให้โซมะเตรียมผ้าเช็ดมือกับทำของว่างมาด้วย แล้วให้โซมะรีบมาเครียล์โต๊ะ ซึ่งโซมะก็บอกพ่อเขาว่าสั่งมากเกินไปแล้ว ในขณะที่โซมะนึกว่าจะทำอะไรดีพร้อมกับขยับร่างกายไปด้วยเขาก็รู้สึกว่าหัวหมุนไปหมดทำอะไรไม่ถูก(อาการเมงุมิเลย)
-ซึ่งก็โดนพ่อโซมะตอบมือเพี้ยะเหมือนกับที่เรียกสติเมงุมิเข้าให้ ก่อนที่พ่อโซมะจะบอกว่าถ้ารู้สึกหัวหมุน ให้ลองนึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องทำก่อน แล้วค่อยเริ่มขยับร่างกาย ตัดกลับมาปัจจุบันเอรินะก็เยาะเย้ยโซมะต่อไปเรื่อยๆ ว่านี้คือความต่างฝีมือของเธอกับโซมะ แต่ก็สังเกตว่าโซมะไม่ได้ฟังเธอเลย
-เอรินะสงสัยว่าโซมะหลับรึเปล่าเลยชะโงกไปดูใกล้ๆ ซึ่งโซมะก็พึมพำออกมาว่า 190ที่ในเวลา30นาที อย่างแรกเขาต้องทำให้แขกมาสนใจให้ได้ และใช้เวลาน้อยกว่า1นาทีในการทำด้านหนึ่งของออมเล็ต และใช้เวลาอีก1นาทีครึ่งในการอบมันในกระทะที่คลุมแล้ว ในเตาอบเขาจะสามารถ ซึ่งเอรินะก็ฟังที่โซมะพึมพำไม่ออก ลงท้ายโซมะก็พูดออกมาว่าโอเค เขาสามารถทำได้
-ว่าแล้วเอรินะก็ตกใจ เพราะโซมะตั้งใจจะทำให้ได้200จานใน30นาที ซึ่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วโซมะจะทำยังไงล่ะ ซึ่งโซมะก็หยิบผ้าโพกหัวออกมา ได้เวลาเอาจริงแล้ว!
จบตอน
<Spoil> ยอดนักปรุงโซมะ (Shokugeki no Souma) 31 -Metamorphose-
-เปิดตอนมา โซมะเอ่ยชมอาหารของเอรินะว่าทั้งงดงามแล้วก็สวยจริงๆ แถมเขาก็ยังพึ่งเคยเห็นอาหารแบบนี้เป็นครั้งแรกอีกด้วย น่าทึ่งเหมือนกันนะไอ้ไข่เบเน...เบเน... ซึ่งโซมะที่ไม่รู้จักไข่เบเนดิกซ์แต่พยามจะพูดโดยนึกชื่อมันให้ออกนั้นทำเอาเอรินะหัวเสียกวนสมาธิเธอยิ่งกว่าเดิม พอเธอหันควับกลับมาแล้วเห็นอุปกรณ์ของโซมะเธอก็รู้สึกแปลกใจถามเขาออกไปว่า นายคิดจะทำพวก"ซูเฟ*"หรืออะไรสักอย่างงั้นเหรอ ซึ่งโซมะก็ตอบว่าใช่ เขาจะเอาซูเฟมาใช้กับออมเล็ต
(ซูเฟหมายถึงเทคนิคการทำอาหารที่ตีส่วนผสมให้อากาศเข้าไปจนขึ้นเป็นฝอง ปกติมักจะเป็นพวกไข่และส่วนมากใช้ในการทำขนม)
-ว่าแล้วโซมะก็อธิบายไปว่า เริ่มจากแยกไข่แดงและไข่ขาวจากนั้นตีไข่ขาวจนขึ้นฟูตั้งยอดแล้วค่อยเอากลับมาผสมกับไข่แดงก่อนจะเอาไปทอดแบบออมเล็ตด้วยวิธีนี้จะได้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากออมเล็ตทั่วไปคือฟูแล้วก็นุ่ม เรียกว่าซูเฟออมเล็ต เป็นอาหารที่เหมือนธรรมดาแต่น่าประหลาดใจเมื่อทานไป และเพื่อให้เหมาะกับบุฟเฟ่ห์ เขาจะทำแต่ละจานให้น้อยๆเป็น "มินิซูเฟออมเล็ต*" เมื่อเห็นเอรินะทำท่าอึ้งโซมะก็ถามว่ามีอะไรเหรอ แต่เธอบอกปัดไปว่าไม่มี ก่อนจะแอบยิ้มชั่วร้ายมุมปากว่าเนื้อสัมผัสยังงั้นรึ...
(ปกติซูเฟออมเล็ตปกติจะเป็นชิ้นค่อนข้างใหญ่ครับ ทำมาชิ้นหนึ่งทานได้หลายคน)
-ขณะเดียวที่ฮอลท์E นิคุมิก็ทำอาหารของเธอเสร็จมันคือ "โลโคโมโคด้ง" โลโคโมโคเป็นอาหารของฮาวายเป็นเนื้อสเต็กแฮมเบิร์กกับไข่ดาวแบบซันนี่ไซด์อัพ*แปะอยู่บนข้าวสวย ซึ่งดูเหมือนว่าอาหารของเธอจะถูกใจเหล่าเด็กๆเป็นอย่างมาก ซึ่งเซนะ(ผู้ช่วยเชฟของโดจิม่า)เองก็เอ่ยปากชมว่าการทำโลโคโมโคเป็นบุฟเฟ่ห์อาหารเช้าถือว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าดี ว่าแล้วเขาก็ขอลองชิมอยู่สักหน่อย
(แฮมเบิร์กหรือที่เรามักจะรู้จักกันในนามของแฮมเบอร์เกอร์ คือเนื้อสัตว์ที่เอามาทุบบดแล้วอัดเป็นก้อนๆก่อนจะนำไปใช้ทำอาหาร ส่วนซันนี่ไซด์อัพเป็นชื่อเรียกของไข่ดาวแบบไม่กลับด้าน ซึ่งตัวไข่แดงจะยังไม่สุกดี มีลักษณะเหมือนกับพระอาทิตย์ ในกรณีที่กลับไข่ดาวจะเรียกว่าโอเวอร์(กลับ)และจะมีแยกย่อยตามระดับความสุข เช่นโอเวอร์อีซี่(กลับปุบแล้วเอาขึ้นเลยไข่แดงยังเป็นยางมะตูมอยู่) โอเวอร์มีเดี่ยม(ไข่แดงเริ่มแข็งยังมีมะตูมเหลืออยู่นิดๆ)และโอเวอร์ฮาร์ด(คือไข่แดงสุก) ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละท้องที่หรือประเทศเองก็เรียกแตกต่างกันไป บางแห่งบอกแค่โอเวอร์เฉยๆก็อาจจะหมายถึงโอเวอร์ฮาร์ด เป็นต้น ส่วนชื่อของอาหารนั้นมาจากชื่อร้านอาหารที่ทำกับเสิร์ฟอาหารแบบนี้เป็นแห่งแรก)
-เมื่อทานแล้วเขาก็ชมเปราะถึงเรื่องความนุ่มของไข่ดาวแบบซันนี่ไซด์อัพที่ไปได้ดีกับเนื้อแฮมเบิร์ก แถมเนื้อยังใช้เนื้อส่วนซี่โครงเลาะมาทำซะด้วย ข้าวเองก็ใช้แบบคุณภาพดีทำให้ความนุ่มและความหวานกระจายไปอยู่เต็มปาก แถมซอสที่ใช้กับอาหารจานนี้ยังเป็น"วินายเกร็ต*"ทำให้รู้สึกเปรี้ยวสดชื่นไปพร้อมๆกัน เป็นอาหารที่ผสมผสานรสชาติทุกอย่างแบบลงตัวจริงๆ ทุกวัตถุดิบต่างเสริมเพิ่มพูนกันได้เป็นอย่างดี ได้ยินคำชมแบบนั้นนิคุมิก็เลยเริ่มมั่นใจมากขึ้น ที่เธอต้องทำอาหารจานนี้เพราะตอนนี้เธอเป็นคนของชมรมด้ง แต่ถึงแบบนั้นเธอก็มั่นใจว่าจานนี้น่าจะเสิร์ฟได้เกิน200จานแบบสบายๆแน่
(วินายเกร็ต Vinaigrette เป็นซอสชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นน้ำสลัด ส่วนประกอบหลักๆคือน้ำมัน น้ำส้มสายชูและพวกผักสมุนไพรต่างๆ มีรสชาติออกเปรี้ยวแล้วมีกลิ่นหอมสมุนไพร)
-เพราะมัวแต่คิดเธอก็เลยไม่ได้สนใจ พอรู้ตัวอีกทีก็โดนจ้องโดยสาวน้อยตัวละครใหม่เสียแล้ว ทำให้นิคุมิถึงกับผงะถอยลงออกไป ด้านสาวตัวละครใหม่ก็เอ่ยถามพลางนึกออกมาว่า เธอเคนเห็นนิคุมิที่ไหนนะ แต่แล้วเธอก็จำขึ้นมาได้ นิคุมิเป็นลูกน้องของเอรินะนี้เอง แต่หมู่นี้ไม่เห็นอยู่ด้วยกัน โดนเอรินะตัดหางปล่อยวัดแล้วยังงั้นเหรอ? พอได้ยินแบบนี้นิคุมิก็เลยบอกให้หุบปากซะไม่งั้นได้โดนดีแน่
-หลังจากแหย่นิคุมิแล้วเธอก็บอกขอโทษก่อนจะขอตัวกลับที่ของตัวเอง ส่วนนิคุมิก็มองตามแล้วดูอาหารของเธอ มีอยู่สามอย่างอย่างแรกเป็นไข่ทั้งลูกในแท่นวางไข่ต้ม น่าจะเป็นไข่ต้ม อีกอันเป็นไข่ต้มผ่าครึ่งซึกส่วนอันสุดท้ายเหมือนจะเป็นไข่ดิบที่ตอกใส่ถ้วยเอาไว้เฉยๆ เห็นแบบนี้แล้วเธอก็สบประมาทในใจออกมาทันทีว่านั้นเรียกว่าการทำอาหารยังงั้นเหรอ? แถมไม่มีใครดูจะสนใจอาหารของเธอสักนิดเลยด้วย แต่นิคุมิก็ไม่ประมาทแต่ก็คิดไม่ออกว่าเธอจะมาไม้ไหนกัน ตัดมาทางด้านโซมะ ที่ทำเสร็จส่วนใหญ่ใกล้จะครบสองร้อยที่แล้ว และเมื่อหันกลับไปดูก็พบว่า
-ยังไม่มีใครมาหยิบอาหารของเขาไปกินเลยสักจาน เมื่อเห็นแบบนั้นโซมะเลยเอะใจทันที เมื่อวิ่งไปดูก็พบว่าออมเล็ตของโซมะนั้นยุบไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้โซมะรู้ว่าตัวเองพลาดซะแล้ว เพราะถ้าเป็นแบบบุฟเฟ่ห์ ใช่ว่าแขกจะมาตักกินทันทีหลังทำเสร็จ เขาที่ทำงานในร้านอาหารประจำวันที่เสิร์ฟอาหารร้อนๆรวดเร็วต่อหน้าลูกค้าเสมอ ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าแบบบุฟเฟ่ห์
(ออมเล็ตของโซมะมีลูกเล่นที่ฟูจากการซูเฟ แต่มีจุดอ่อนสำคัญคือเวลาผ่านไปจะค่อยๆยุบลงกลายเป็นไม่ต่างอะไรจากออมเล็ตธรรมดา แถมเข้าขั้นแย่กว่าอีกด้วย)
-ซูเฟออมเล็ตจะอร่อยและดีที่สุดเมื่อทานตอนร้อนๆ เอาไปเสิร์ฟตอนนี้ก็เท่ากับว่าคนทานไม่ได้ทราบจุดเด่นของอาหารจานนี้เลยสักนิด เมื่อโซมะดูให้ทั่วก็พบว่าจานที่ทำไว้แล้วก็มีแต่จานที่น่าจะยุบก่อนจะมีคนมาทานทั้งนั้น แถมอาหารของเอรินะที่อยู่ข้างๆก็ดึงความน่าสนใจไปจนหมดจนไม่มีใครมาดูอาหารของเขาอีกด้วย
-เห็นแบบนี้เอรินะก็เลยเข้ามาเยาะเย้ยโซมะทันที แล้วบอกว่า ท่าทางนายจะเข้าใจแล้วสินะ ว่าสำหรับอาหารแบบบุฟเฟ่ห์แล้ว หน้าตากับความคงทนของรสชาติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หรือถ้าพูดอีกแง่หนึ่งคือ นายเลือกทำอาหารที่แย่ที่สุดในการเอามาเสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ห์ เห็นทีฉันคงต้องบอกลานายแล้วละมั้ง เหลือเวลาอีกแค่30นาทีนะ ที่จะยืนมองความสำเร็จของอาหารของฉันในขณะที่นายทำอะไรไม่ได้เลย ในขณะเดียวกันที่ฮอลท์Eเอง นิคุมิก็เจอปัญหา...เพราะตอนนี้เธอหยุดอยู่ได้แค่150จานเท่านั้น สาเหตุก็มาจาก
(จริงๆแล้วการเสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ห์ถ้าเป็นอาหารที่ต้องทานร้อนๆจริงๆมักจะมีพวก"เบนมารีน" (อ่างน้ำร้อนใช้อุ่นอาหาร)วางใต้ถาดใส่อาหาร ส่วนพวกอาหารอย่างออมเล็ตอะไรพวกนี้จะมีการทำให้เดี้ยวนั้นแล้วนำไปเสิร์ฟตอนร้อนๆซะมากกว่า ในการสอบนี้ไม่มีอุปกรณ์อุ่นจานอาหารที่ทำเสร็จแล้วเอาไว้ อีกทั้งอาหารของโซมะเองก็เป็นแบบเวลาผ่านไปจะค่อยๆแฝบลงไม่เกี่ยวกับความร้อนซะด้วย)
-สาเหตุที่ทำให้นิคุมิติดอยู่ที่150จานก็คือ...อาหารของตัวละครสาวคนใหม่นี้เอง ซึ่งเธอก็ตะโกนออกมาว่ายังมีอีกเยอะไม่ต้องแย่งกันหรอก ซึ่งนิคุมิก็คิดว่า ตั้งแต่มีคนลองกินข่าวลือก็แพร่กระจายกันไปเร็วมากๆ เกี่ยวกับความลับของอาหารของเธอ...แล้วสักพักเธอก็ผูกขาดแขกเกือบทั้งหมดของฮอลท์ ว่าแล้วก็มีสาวบริการลองทานไข่ดิบดูแล้วก็พบว่า "มันไม่ใช่ไข่ดิบ"นิน่า!
-ไข่ขาวเป็นเยลลี่ที่ทำมาจากน้ำทะเลเจือจาง*ส่วนไข่แดงก็เป็นเจลาติน*ไข่ปลาแซลมอลหมักเกลือ รสสัมผัสกรุบๆที่เหมือฝองอากาศของไข่ปลาแซลมอลได้แผ่ความอร่อยของอาหารจานนี้ไปทั่วปากอย่างช้าๆ แถมรสชาติที่นุ่มนวลของเยลลี่ก็ได้ห่อหุ้มลิ้นเอาไว้อีกด้วย ส่วนบริการชายอีกคนก็มองไปที่ไข่ต้มที่ผ่าเอาไว้พร้อมกับบอกว่า ดูดีๆแล้วเหมือนไข่ต้มแต่จริงๆแล้วส่วนที่เป็นสีขาวคือ มูสหน่อไม้ฝรั่งขาว* ส่วนไข่แดงเป็นฮอลแลน์เดสซอสที่ทำมาจากไข่แดง ว่าแล้วทั้งหมดก็มองไปที่ไข่ทั้งเปลือกนั้นแล้วสงสัยว่ามันคืออะไร ซึ่งสาวน้อยตัวละครใหม่ก็ทำการเจาะหลอดเข้าไปในด้านหนึ่งที่มีรูเจาะเอาไว้แล้ว ทำเอาทุกคนตกใจ
(เรื่องน้ำทะเลเจือจางนี้ ผมเคยได้ยินมาว่ามีการเอามาใช้ทำอาหารอยู่เหมือนกัน จะเป็นน้ำที่มีรสเค็มนิดๆ (แต่อันนี้ไม่เคยสัมผัสจริงๆบอกอะไรมากไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ) ส่วนเจลาตินก็คือสภาพที่กลายเหมือนวุ้น โดยเจลาตินได้มาจากการสกัดคอลลาเจนตามผิวหนังแล้วก็กระดูก(ถ้าใครนึกไม่ออกลองนึกภาพต้มขาหมูที่เอาไปใส่ตู้เย็นแล้วเกิดเหมือนแผ่นใสๆปกคลุมนั้นแหละครับเจลาตินละ) แต่อาหารจานนี้น่าจะใช้เจลาตินสำเร็จรูป(เอามาละลายของเหลวทำให้มีความหนืด)มาทำมากกว่า(อาหารที่ใช้เจลาตินบางอย่างถ้ามีส่วนที่พอเอามาทำได้เช่นกระดูกบางทีก็จะใช้ส่วนนั้นแทนเพื่อความเข้ากันและไปกันได้ของรสชาติอาหาร) ส่วนมูสส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นของหวานแต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงหน่อไม้ฝรั่งขาวเอามาปั่นละเอียดให้เละจนมีรสสัมผัสคล้ายมูสมากกว่า (อาหารบางอย่างก็ใช้วิธีนี้ทำเช่นมูสตับเป็นต้น))
-บริการสาวรับมาชิมแล้วก็พบว่ามันคือมิลด์เชค ที่ทำจากนม ไข่แล้วก็คาราเมล*นั้นเอง พอลองทานแล้วก็รู้สึกสดชื่นเหมาะกับเติมพลังให้กับมื้อเช้าจริงๆ ซึ่งตัวละครหญิงคนใหม่ก็บอกว่าทั้งหมดสามจานนี้คือ"จานไข่สามรูปแบบ" ทำเอาบริการสาวถึงกับเคลิ้มแล้วบอกว่า เป็นจานที่น่าตกใจจริงๆ เป็นอาหารจานไข่ที่มีรสชาติแทบทุกแบบบนโลกรวมอยู่ในจานเดียว ราวกับว่า
(คาราเมลคือน้ำตาลที่ถูกความร้อนระดับหนึ่งจนละลายเป็นของเหลวหนืดๆรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อน้ำตาลกลายเป็นคาราเมลแล้ว ก็จะเกิดปฏิกริยา"คาราเมลไลเซชั่น"หรือเกิดการเปลี่ยนสีให้เข้มขึ้น รสชาติก็จะเปลี่ยนแปลงออกไปตามอุณหภูมิ ซึ่งคาราเมลนั้นไหม้ค่อนข้างง่าย (มีอีกชื่อว่าน้ำตาลไหม้) ส่วนใหญ่การทำคาราเมลจึงมักใส่น้ำลงไปเป็นตัวทำละลาย(หรือก็คือน้ำเชื่อม)เพื่อกันการไหม้ อนึ่ง คาราเมลอมความร้อนเอาไว้มาก ถ้าตอนมันร้อนๆอยู่ดีไม่ควรไปแตะเด็ดขาด ยิ่งการชิมด้วยแล้วยิ่งต้องระวังมาก เพราะอาจจะเกิดการลิ้นพองได้)
-ทั้งทะเล ทั้งป่าแล้วก็แผ่นดิน ทั้งหมดถูกหลอมรวมกันหนึ่งเดียวกัน ความอร่อยทั้งหมดถูกหลอมรวมมาไว้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาแขกต่างแห่กันไปชิมไม่ก็ขอเพิ่มกันเป็นการใหญ่ นิคุมิเห็นแบบนั้นเลยนึกทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นของจริง
-ดีไม่ดีเธออาจจะได้ถึง300จานแบบง่ายๆเลยก็ได้ ตัดกลับมาทางฮอลท์A เอรินะก็เกิน300จานไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนทาคุมิกับเมงุมิก็กังวลใจเรื่องที่โซมะยังได้แค่แปดจานอยู่เอง ทาคุมิถึงกับบ่นว่าให้โซมะรีบทำอะไรเข้าสักอย่างสิ
-ด้านนักเรียนคนอื่นก็โดนอาการล้าเข้าโจมตี บางส่วนก็แทบจะทำไม่ไหวแล้ว และอีกส่วนก็บอกว่าเอรินะแย่งแขกไปจากพวกเขาหมดเลย ด้านโซมะกำลังบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ก่อนจะเริ่มนึกเหตุการณ์ในอดีต
-ในอดีต พ่อของโซมะบอกว่ามีลูกค้าสองคนเข้ามาให้โซมะเตรียมผ้าเช็ดมือกับทำของว่างมาด้วย แล้วให้โซมะรีบมาเครียล์โต๊ะ ซึ่งโซมะก็บอกพ่อเขาว่าสั่งมากเกินไปแล้ว ในขณะที่โซมะนึกว่าจะทำอะไรดีพร้อมกับขยับร่างกายไปด้วยเขาก็รู้สึกว่าหัวหมุนไปหมดทำอะไรไม่ถูก(อาการเมงุมิเลย)
-ซึ่งก็โดนพ่อโซมะตอบมือเพี้ยะเหมือนกับที่เรียกสติเมงุมิเข้าให้ ก่อนที่พ่อโซมะจะบอกว่าถ้ารู้สึกหัวหมุน ให้ลองนึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องทำก่อน แล้วค่อยเริ่มขยับร่างกาย ตัดกลับมาปัจจุบันเอรินะก็เยาะเย้ยโซมะต่อไปเรื่อยๆ ว่านี้คือความต่างฝีมือของเธอกับโซมะ แต่ก็สังเกตว่าโซมะไม่ได้ฟังเธอเลย
-เอรินะสงสัยว่าโซมะหลับรึเปล่าเลยชะโงกไปดูใกล้ๆ ซึ่งโซมะก็พึมพำออกมาว่า 190ที่ในเวลา30นาที อย่างแรกเขาต้องทำให้แขกมาสนใจให้ได้ และใช้เวลาน้อยกว่า1นาทีในการทำด้านหนึ่งของออมเล็ต และใช้เวลาอีก1นาทีครึ่งในการอบมันในกระทะที่คลุมแล้ว ในเตาอบเขาจะสามารถ ซึ่งเอรินะก็ฟังที่โซมะพึมพำไม่ออก ลงท้ายโซมะก็พูดออกมาว่าโอเค เขาสามารถทำได้
-ว่าแล้วเอรินะก็ตกใจ เพราะโซมะตั้งใจจะทำให้ได้200จานใน30นาที ซึ่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วโซมะจะทำยังไงล่ะ ซึ่งโซมะก็หยิบผ้าโพกหัวออกมา ได้เวลาเอาจริงแล้ว!
จบตอน