เกร็ดสามก๊ก
กุนซือหลายเจ้านาย
“เล่าเซี่ยงชุน”
ในนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง สามก๊ก อันลือชื่อนั้น มีเรื่องที่จะเล่ากันไม่รู้จบ ดังเช่นเรื่องของลิ่วล้อที่ชอบเปลี่ยนนายอย่าง เบ้งตัด ตอนแรกก็อยู่กับ เล่าเจี้ยง พอเล่าปี่ได้เมืองเสฉวน ก็ยอมอยู่กับเล่าปี่ พอมีคดีเรื่องไม่ยกทหารไปช่วยกวนอู จนกวนอูแพ้ ซุนกวน ถูกจับไปประหารชีวิต ก็เลยหนีไปอยู่กับพระเจ้าโจผี ทายาทของ โจโฉ ต่อมาสมัยพระเจ้า โจยอย ไม่ชอบใจก็จะย้ายกลับมาเข้ากับ ขงเบ้ง เลยถูก สุมาอี้ จัดการสังหารเสีย
แล้วก็ยังมีอีกหลายคน ที่เปลี่ยนนายแล้วชตาชีวิตก็แย่ลง ไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่คิดหวัง แต่ก็มีอยู่คนหนึ่ง ที่เปลี่ยนเจ้านายแล้วมีความเจริญ ในหน้าที่ราชการสูงชึ้นกว่าเดิม คนจขะเล่าในตอนนี้คือ กาเซี่ยง
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นกุนซือ หรือที่ปรึกษาของ ลิฉุย และกุยกี สองสหายคู่บารมีของคั๋งโต๊ะ มหาอุปราชคนแรกของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ หรือหองจูเหียบ ราชโอรสคนรองของพระเจ้าเลนเต้ ที่ตั๋งโต๊ะยกขึ้นเป็นฮ่องเต้ แทน หองจูเปียนพี่ชาย
เมื่อตั๋งโต๊ะถูกฆ่าตาย โดยฝีมือของ ลิโป้ บุตรบุญธรรมคนโปรด เพราะขัดใจกันเรื่อง นางเตียวเสียน ไส้ศึกของอ้องอุ้นแล้ว ลิ่วล้อของตั๋งโต๊ะ คือ ลิยู ลิซก ชุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นคนสนิทก็ถุกกำจัดไปพร้อมกันด้วยแล้ว ลิฉุย กับ กุยกี และนายทหารรอง เตียวเจ กับหวนเตียว ก็พากันหนีไปตั้งหลักที่เมืองเซียงไส แล้วแต่งหนังสือมาขอนิรโทษกรรม กับอ้องอุ้น ผู้สำเร็จราชการคนใหม่ ขอเข้ารับราชการตามเดิม แต่อ้องอุ้นไม่ยอมอภัยโทษให้ ถ้าจับตัวได้เมื่อไรก็ต้องโดนประหารทุกคน
ทั้งสี่นายก็ปรึกษากันว่า ต่างคนควรจะแยกย้ายกันหนีเอาตัวรอดไปคนละทาง แต่ กาเซี่ยง ให้ความเห็นว่า
“....ซึ่งจะคิดหนีนั้นเห็นไม่พ้น ขอได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไสได้แล้ว ประจบกับกองทัพเรา ยกไปตีเอาเมืองเตียงฮัน ถ้าได้เมืองแล้ว จึงจะให้ฆ่าอ้องอุ้นเสีย แลท่านทั้งสี่คนนี้ จึงจะได้ทำราชการในเมืองหลวงสืบไป แม้ไม่สมคิด จึงพากันหนี....”
ทั้งสี่นายก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารที่มีสติปัญญา ไปเจรจากับชาวเมืองเซียงไสว่า อ้องอุ้นได้เป็นใหญ่แล้ว จะยกทหารมาฆ่าชาวเมืองเซียงไส ซึ่งหาความผิดมิได้ให้สิ้น ถ้าผู้ใดกลัวความตายก็ให้ไปรายงานตัว กับลิฉุย เพื่อยกกองทัพไปปราบอ้องอุ้น จึงจะรอดตัว ก็มีชาวเมืองเซียงไสชวนกันมาเข้าพวกกับสี่สหายเป็นจำนวนถึงสิบห้าหมื่น ลิฉุยจึงแบ่งทหารให้กุยกี เตียวเจ หวนเตียว และตนเองยกไปเป็นสี่กอง เข้าล้อมเมืองเตียงฮัน
ฝ่ายอ้องอุ้นก็ให้ลิโป้เป็นแม่ทัพ เข้ารบพุ่งกับฝ่ายลิฉุย กุยกี เป็นเวลานานพอสมควร แต่สู้กลยุทธของข้าศึกไม่ได้ สุดท้าย ฝ่ายลิฉุยก็เข้าเมืองได้ ฆ่าอ้องอุ้นตาย และลิโป้ก็ต้องหนีเตลิดไปอยู่หัวเมืองอื่น จนตั้งตัวได้ที่เมืองชีจิ๋ว ลิฉุย กับกุยกี ก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ่น ไปตามธรรมเนียม เตียวเจกับหวนเตียวก็ได้เป็นแม่ทัพทั้งสองคน และกาเซี่ยงกุนซือคนเก่ง ก็ได้เป็นที่ปรึกษาใหญ่คับเมืองต่อไป
อยู่ต่อมาอีกไม่นาน พระเจ้าเหี้ยนเต้ หาทางติดต่อให้โจโฉซึ่งตั้งหลักฐานอยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว เข้ามาปราบ ลิฉุย กุยกีได้สำเร็จ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการคนต่อไป กาเซี่ยงกับเตียวเจจึงหนีไปอยู่กับ เตียวสิ้ว เจ้าเมืองอ้วนเซีย จนเตียวเจถึงแก่ความตาย ทิ้งภรรยา ชื่อนางเจ๋าซือไว้เป็นแม่ม่ายทรงเครื่องมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองอ้วนเซีย ในฐานะอาสะใภ้ของเจ้าเมือง
จนเวลาล่วงไปเมื่อจัดราชการในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว โจโฉจึงยกกองทัพจะมาตีเมืองอ้วนเซีย ที่ยังไม่ยอมอยู่ในความปกครอง แต่กาเซี่ยงแนะนำให้เตียวสิ้วยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉ เพื่อสงวนชีวิตทหารไว้ก่อน ซึ่งโจโฉก็ยอมรับ และไม่ยกกองทหารเข้าไปอยู่ในเมือง แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้
เมื่อโจโฉได้ยินกิตติศัพท์ของนางเจ๋าซือ จึงให้หลานชายไปพานางมาหาในค่ายของตนที่นอกเมือง นางไม่กล้าขัดขืนจึงยอมอยู่ปรนนิบัติโจโฉ ตามบัญชาของท่านผู้สำเร็จราชการ เตียวสิ้วก็คิดแค้นที่โจโฉดุหมิ่นตน จึงปรึกษากับกาเซี่ยง วางแผนลอบโจมตีค่ายทหารของโจโฉ ในเวลาที่โจโฉมัวเมาอยู่กับนางเจ๋าซือ จนพ่ายแพ้อย่างยับเยินต้องสูญเสีย องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ และหลานชายตัวการ กับลูกชายคนโตไปพร้อมกันในคราวนี้ ยังความเจ็บแค้นให้แก่โจโฉเป็นอันมาก
ภายหลังที่โจโฉรบกับ อ้วนสุด น้องอ้วนเสี้ยว อยู่ทางเมืองลำหยง ก็ได้ข่าวว่า เตียวสิ้วร่วมมือกับเล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ยกทัพมาตีเมืองซงหยงกับเมืองกังเหล็ง ที่เป็นหัวเมืองขึ้น จึงล่าทัพจากเมืองลำหยงหันมาจะเล่นงานเตียวสิ้ว คู่อาฆาตเก่าที่เมืองซงหยง เตียวสิ้วก็เข้าไปยึดเมืองซงหยงปิดประตูตั้งป้อมรักษาเชิงเทินให้มั่นคงจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด
การรบคราวนี้ โจโฉทำอุบายจะเผากำแพงเมืองด้านตะวันตก โดยหลอกให้เตียวสิ้วป้องกัน แล้วจะได้ยกทหารไปตีด้านอื่น กาเซี่ยงจึงบอกว่า
“................ซึ่งโจโฉให้ทำการครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉทำกลอุบาย ข้าพเจ้าจะคิดซ้อนกลโจโฉ ให้เสียทีแก่เราให้จงได้........”
เตียวสิ้วถามว่าจะทำประการใด กาเซี่ยงก็บอกว่า
“........ข้าพเจ้าเห็นโจโฉขึ้นดูบนหอคอยถึงสามเวลา เห็นผู้คนซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตะวันออกนั้นเบาบาง โจโฉจึงให้ขนเอาไม้แลหญ้าไปไว้ข้างตะวันตก จะให้เราจัดแจงป้องกันระวังด้านตะวันตก แล้วโจโฉจะคิดการข้างตะวันออกในเวลากลางคืนเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะให้ชาวเมืองแต่งตัวปลอมเป็นทหารขึ้นรักษาหน้าที่ฝ่ายด้านตะวันตก แล้วจะยกทหารนั้นมาซุ่มไว้หน้าที่ตะวันออก ถ้าโจโฉยกมาทำการเมื่อใด จึงให้จุดประทัดสัญญาณ แล้วยกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้น ตีกระหนาบ เห็นโจโฉจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง......”
ในการรบครั้งนี้โจโฉก็ทำตามแผนของกาเซี่ยงที่วางซ้อนกลไว้ ในเวลาสองยามเศษ แต่ผลของการเข้าตีปรากฏว่าฝ่ายโจโฉต้องแตกพ่าย ถอยไปเข้าค่าย เตียวสิ้วก็คุมทหารติดตามไปตีค่ายแตกอีกด้วย ทหารเอกของโจโฉก็ถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บไปสองคน ทหารเลวบาดเจ็บล้มตายไปเป็นหมื่น แต่สามารถควบคุมทหารที่เหลือถอยทัพมาได้อย่างเป็นระเบียบ และตั้งแนวดักรับทหารของเตียวสิ้วที่ตามไปในเวลากลางคืน จึงถูกทหารของโจโฉล้อมกรอบสังหาร จนต้องแตกกลับไปบ้าง
เมื่อโจโฉยกทัพกลับไปใกล้จะถึงถึงเมืองฮูโต๋แล้ว เตียวสิ้วก็รวมกำลังกับกองทัพเล่าเปียวจะยกทัพไปตีโจโฉตอบแทนบ้าง กาเซี่ยงก็ห้ามปรามไว้ แต่เล่าเปียวนั้นไม่ฟัง ชวนเตียวสิ้วยกตามไปตีโจโฉแต่โจโฉเตรียมการตั้งรับไว้แล้ว จึงยันทัพทั้งสองเสียหายกลับมา เตียวสิ้วจึงขอโทษกาเซี่ยงที่ไม่เชื่อคำแนะนำ
แต่กาเซึ่ยงกลับแนะนำว่า
“.......บัดนี้ขอให้ท่านยกตามโจโฉไปอีก เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง ถ้าไม่สมคำข้าพเจ้า ท่านจงตัดศีรษะข้าพเจ้าเสีย.......”
เตียวสิ้วก็เชื่อคำกาเซี่ยง ชวนเล่าเปียวยกทหารไปอีกครั้ง แต่เล่าเปียวเข็ดเสียแล้ว เตียวสิ้วจึงยกไปกองเดียว โจโฉกำลังประมาทนึกว่าเตียวสิ้วเลิกทัพไปแล้ว จึงถูกเตียวสิ้วตีแตกพ่ายไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้ว เล่าเปียวก็ถามกาเซี่ยงว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น กาเซี่ยงก็ตอบว่า
“........ท่านเคยทำศึกมามากก็จริง แต่ความคิดท่านไม่รู้ถึงโจโฉ เมื่อแรกโจโฉยกไปนั้น หมายว่ากองทัพเราจะตามไป จึงให้ทหารมาอยู่ป้องกันข้างท้ายล้วนมีฝีมือกว่าทหารเรา เราจึงแตกมา ครั้งหลังโจโฉประมาทมิได้ตระเตรียมทหารไว้ตามกระบวนทัพ แล้วก็กังวลอยู่จะรีบไปเมืองฮูโต๋ เราจึงตีแตกโดยง่าย..........”
เล่าเปียวกับเตียวสิ้ว ก็สรรเสริญความคิดกาเซี่ยง ว่ามีสติปัญญาหาผู้เสมอยาก.
ต่อมาเมื่อโจโฉได้รับความร่วมมือจากเล่าปี่ ช่วยกันตีเมืองชีจิ๋วจับลิโป้มาประหารเสียได้ และเล่าปี่ขออาสาโจโฉไปรบกับอ้วนสุด จนอ้วนสุดพ่ายแพ้และถึงแก่ความตายไป โจโฉก็จับได้ว่าเล่าปี่เคยลงนามร่วมมือกับตังสินพี่ชายของนางตังกุยฮุย สนมเอกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพื่อกำจัดโจโฉ ซึ่งโจโฉจับมาประหารเสียหมดทั้งโคตรแล้วนั้น จึงจะยกทัพไปปราบเล่าปี่ ซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วแทนลิโป้ และกำลังร่วมมือกับอ้วนเสี้ยวจะยกทหารมารบโจโฉอยู่
ที่ปรึกษาก็แนะนำ ให้โจโฉเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้วไว้เป็นพวก ก่อนที่จะไปเข้าด้วยอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงส่ง เล่าหัว ให้ถือหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว พอดีกับอ้วนเสี้ยวก็ส่งทหารไปหาเตียวสิ้วด้วยเหมือนกัน กาเซี่ยงก็ฉีกหนังสือของอ้วนเสี้ยวทิ้ง และแนะนำให้เตียวสิ้วเข้าเป็นพวกโจโฉ รบกับอ้วนเสี้ยวแทน เตียวสิ้วก็สงสัยเพราะโจโฉเป็นข้าศึกเก่า เคยรบพุ่งกันมาหลายครั้งแล้ว ถ้าอ้วนเสี้ยวยกทัพมาจะทำอย่างไร กาเซี่ยงจึงอธิบายว่า
“............ถ้าท่านเกรงอยู่ดังนั้น เราจำจะเข้าทำการด้วยโจโฉ ถึงอ้วนเสี้ยวจะยกมาทำร้าย โจโฉก็จะได้ช่วย......”
เตียวสิ้วก็ว่า แม้โจโฉจะเป็นมหาอุปราช แต่ก็มีทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวหลายเท่า ทั้งเคยรบพุ่งกับเรามาแต่ก่อน คงจะพยาบาทเราอยู่ไม่หาย แล้วจะมาช่วยเราหรือ กาเซี่ยงก็อธิบายว่า
“.........ซึ่งจะกลัวโจโฉพยาบาทนั้น ท่านอย่าวิตกเลย ถ้าจะไปเข้าด้วยโจโฉ ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยสามประการ.....”
แล้วก็แถลงรายละเอียดว่า
ประการหนึ่ง โจโฉได้เป็นมหาอุปราช แม้จะทำการสิ่งใด ก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ
ประการหนึ่ง ถึงโจโฉมีทหารน้อย แต่มีสติปัญญากว้างขวาง จะทำการสงครามแห่งใด ก็ย่อมมีชัยชนะมากกว่าแพ้ อ้วนเสี้ยวซึ่งมีทหารมากนั้น อุปมาเหมือนคนมีทรัพย์มาก ท่านจะเอาทรัพย์ไปให้ จะไม่มีความยินดี อันโจโฉนั้นเหมือนคนไร้ทรัพย์ เอาทรัพย์ไปให้แต่น้อย ก็มีความยินดีเป็นอันมาก
ประการหนึ่ง โจโฉทำการครั้งนี้ มีใจโอบอ้อมอารีต่อทหารทั้งปวง มิได้มีพยาบาทแก่ผู้ใด คิดเอาราชการเป็นประมาณ
เตียวสิ้วก็เห็นชอบด้วย จึงยกทหารไปคำนับโจโฉที่เมืองฮูโต๋ โจโฉก็ต้อนรับเตียวสิ้วกับ กาเซี่ยงด้วยความยินดี เชิญนั่งในที่อันสมควรแล้วกล่าวว่า
“...........ก่อนนั้นเราได้ประมาทมีความผิดต่อท่านนั้น ท่านจงอดโทษเสีย อย่ามีความพยาบาทเราเลย......”
แล้วก็แต่งตั้งให้เตียวสิ้วเป็นนายทหารผู้ใหญ่ และให้กาเซี่ยงเป็นที่ปรึกษา รับราชการอยู่ในเมืองฮูโต๋ต่อไปอีกนาน
จนโจโฉสิ้นชีวิตไปด้วยโรคในสมอง และโจผีบุตรชายคนโตก็ได้ตำแหน่งวุยอ๋อง แทนบิดา กาเซี่ยงก็รับราชการเป็นที่ปรึกษาของวุยอ๋อง จนกระทั่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดจะถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชบัลลังก์ แล้วยกโจผีจากตำแหน่งวุยอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน กาเซี่ยงก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนประมาณสี่สิบคน ที่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เมืองฮูโต๋ แล้วกราบทูลว่า
“........โจผีเป็นวุยอ๋องแทนบิดานั้นมีบุญมาก แล้วก็มีสติปัญญารู้รอบคอบโอบอ้อมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุข ข้าพเจ้าขุนนางทั้งปวง แลทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ปรึกษาพร้อมกันเห็นสมควรแล้ว ที่จะปกป้องรักษาแผ่นดินสืบไปได้ ขอให้พระองค์มอบราชสมบัติให้แก่โจผีเถิด ..............”
พระเจ้าเหี้ยนเต้จะปฏิเสธบ่ายเบี่ยงหรือผัดผ่อนอย่างไร พวกขุนนางทั้งนั้นก็ชวนกันข่มขู่ฮ่องเต้ และสรุปว่า
“........เป็นประเพณีมีมาแต่โบราณ ที่ดีกลับเป็นชั่ว ที่ชั่วกลับเป็นดีก็มี เหมือนหนึ่งบ้านเมืองมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่แล้ว กลับเกิดศึกยับเยินไปก็มี ที่ยับเยินไปแล้วกลับมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่เย็นเป็นสุขไปก็มี สมบัติซึ่งได้สืบต่อแต่ต้นวงศ์ของพระองค์มาช้านาน ประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้ว....ขอให้พระองค์ละราชสมบัติมอบให้โจผีเถิด ถ้าพระองค์จะขัดขืนไป เห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง.....”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่เห็นผู้ใดจะเข้าข้างพระองค์เลย จึงไม่สามารถขัดขืนได้ ต้องยอมตกลงที่จะมอบราชสมบัติให้โจผี เพื่อรักษาชีวิตไว้ก่อน แม้นางโจเฮามเหสีซึ่งเป็นบุตรีของ โจโฉ จะได้ออกมาด่าว่าและทวงบุญทวงคุณขุนนางทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่เป็นผล จึงจำใจต้องทำหนังสือมอบราชสมบัติให้ โจผี แต่กาเซี่ยงก็แนะนำให้คืนไปก่อน จนส่งมาเป็นครั้งที่สามจึงยอมรับ
แล้วขุนนางก็ถวายพระนามว่า พระเจ้าอ้วยโซ่ ฮ่องเต้ใหม่ก็ตั้งให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ หรือนามเดิม หองจูเหียบ เป็นที่ ซันเอียงก๋ง ให้ไปอยู่ตำบลซันเอี๋ยง และไม่ต้องมาเฝ้า ไม่มีเบี้ยหวัดผ้าปี
ซันเอียงก๋งก็กราบถวายบังคมลา พาภรรยาเดินทางจากเมืองหลวงไปตามรับสั่ง แล้วก็เงียบหายสาบสูญไปไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย
เกร็ดสามก๊ก ๑๑ ก.ค.๕๖
กุนซือหลายเจ้านาย
“เล่าเซี่ยงชุน”
ในนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง สามก๊ก อันลือชื่อนั้น มีเรื่องที่จะเล่ากันไม่รู้จบ ดังเช่นเรื่องของลิ่วล้อที่ชอบเปลี่ยนนายอย่าง เบ้งตัด ตอนแรกก็อยู่กับ เล่าเจี้ยง พอเล่าปี่ได้เมืองเสฉวน ก็ยอมอยู่กับเล่าปี่ พอมีคดีเรื่องไม่ยกทหารไปช่วยกวนอู จนกวนอูแพ้ ซุนกวน ถูกจับไปประหารชีวิต ก็เลยหนีไปอยู่กับพระเจ้าโจผี ทายาทของ โจโฉ ต่อมาสมัยพระเจ้า โจยอย ไม่ชอบใจก็จะย้ายกลับมาเข้ากับ ขงเบ้ง เลยถูก สุมาอี้ จัดการสังหารเสีย
แล้วก็ยังมีอีกหลายคน ที่เปลี่ยนนายแล้วชตาชีวิตก็แย่ลง ไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่คิดหวัง แต่ก็มีอยู่คนหนึ่ง ที่เปลี่ยนเจ้านายแล้วมีความเจริญ ในหน้าที่ราชการสูงชึ้นกว่าเดิม คนจขะเล่าในตอนนี้คือ กาเซี่ยง
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นกุนซือ หรือที่ปรึกษาของ ลิฉุย และกุยกี สองสหายคู่บารมีของคั๋งโต๊ะ มหาอุปราชคนแรกของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ หรือหองจูเหียบ ราชโอรสคนรองของพระเจ้าเลนเต้ ที่ตั๋งโต๊ะยกขึ้นเป็นฮ่องเต้ แทน หองจูเปียนพี่ชาย
เมื่อตั๋งโต๊ะถูกฆ่าตาย โดยฝีมือของ ลิโป้ บุตรบุญธรรมคนโปรด เพราะขัดใจกันเรื่อง นางเตียวเสียน ไส้ศึกของอ้องอุ้นแล้ว ลิ่วล้อของตั๋งโต๊ะ คือ ลิยู ลิซก ชุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นคนสนิทก็ถุกกำจัดไปพร้อมกันด้วยแล้ว ลิฉุย กับ กุยกี และนายทหารรอง เตียวเจ กับหวนเตียว ก็พากันหนีไปตั้งหลักที่เมืองเซียงไส แล้วแต่งหนังสือมาขอนิรโทษกรรม กับอ้องอุ้น ผู้สำเร็จราชการคนใหม่ ขอเข้ารับราชการตามเดิม แต่อ้องอุ้นไม่ยอมอภัยโทษให้ ถ้าจับตัวได้เมื่อไรก็ต้องโดนประหารทุกคน
ทั้งสี่นายก็ปรึกษากันว่า ต่างคนควรจะแยกย้ายกันหนีเอาตัวรอดไปคนละทาง แต่ กาเซี่ยง ให้ความเห็นว่า
“....ซึ่งจะคิดหนีนั้นเห็นไม่พ้น ขอได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไสได้แล้ว ประจบกับกองทัพเรา ยกไปตีเอาเมืองเตียงฮัน ถ้าได้เมืองแล้ว จึงจะให้ฆ่าอ้องอุ้นเสีย แลท่านทั้งสี่คนนี้ จึงจะได้ทำราชการในเมืองหลวงสืบไป แม้ไม่สมคิด จึงพากันหนี....”
ทั้งสี่นายก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารที่มีสติปัญญา ไปเจรจากับชาวเมืองเซียงไสว่า อ้องอุ้นได้เป็นใหญ่แล้ว จะยกทหารมาฆ่าชาวเมืองเซียงไส ซึ่งหาความผิดมิได้ให้สิ้น ถ้าผู้ใดกลัวความตายก็ให้ไปรายงานตัว กับลิฉุย เพื่อยกกองทัพไปปราบอ้องอุ้น จึงจะรอดตัว ก็มีชาวเมืองเซียงไสชวนกันมาเข้าพวกกับสี่สหายเป็นจำนวนถึงสิบห้าหมื่น ลิฉุยจึงแบ่งทหารให้กุยกี เตียวเจ หวนเตียว และตนเองยกไปเป็นสี่กอง เข้าล้อมเมืองเตียงฮัน
ฝ่ายอ้องอุ้นก็ให้ลิโป้เป็นแม่ทัพ เข้ารบพุ่งกับฝ่ายลิฉุย กุยกี เป็นเวลานานพอสมควร แต่สู้กลยุทธของข้าศึกไม่ได้ สุดท้าย ฝ่ายลิฉุยก็เข้าเมืองได้ ฆ่าอ้องอุ้นตาย และลิโป้ก็ต้องหนีเตลิดไปอยู่หัวเมืองอื่น จนตั้งตัวได้ที่เมืองชีจิ๋ว ลิฉุย กับกุยกี ก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ่น ไปตามธรรมเนียม เตียวเจกับหวนเตียวก็ได้เป็นแม่ทัพทั้งสองคน และกาเซี่ยงกุนซือคนเก่ง ก็ได้เป็นที่ปรึกษาใหญ่คับเมืองต่อไป
อยู่ต่อมาอีกไม่นาน พระเจ้าเหี้ยนเต้ หาทางติดต่อให้โจโฉซึ่งตั้งหลักฐานอยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว เข้ามาปราบ ลิฉุย กุยกีได้สำเร็จ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการคนต่อไป กาเซี่ยงกับเตียวเจจึงหนีไปอยู่กับ เตียวสิ้ว เจ้าเมืองอ้วนเซีย จนเตียวเจถึงแก่ความตาย ทิ้งภรรยา ชื่อนางเจ๋าซือไว้เป็นแม่ม่ายทรงเครื่องมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองอ้วนเซีย ในฐานะอาสะใภ้ของเจ้าเมือง
จนเวลาล่วงไปเมื่อจัดราชการในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว โจโฉจึงยกกองทัพจะมาตีเมืองอ้วนเซีย ที่ยังไม่ยอมอยู่ในความปกครอง แต่กาเซี่ยงแนะนำให้เตียวสิ้วยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉ เพื่อสงวนชีวิตทหารไว้ก่อน ซึ่งโจโฉก็ยอมรับ และไม่ยกกองทหารเข้าไปอยู่ในเมือง แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้
เมื่อโจโฉได้ยินกิตติศัพท์ของนางเจ๋าซือ จึงให้หลานชายไปพานางมาหาในค่ายของตนที่นอกเมือง นางไม่กล้าขัดขืนจึงยอมอยู่ปรนนิบัติโจโฉ ตามบัญชาของท่านผู้สำเร็จราชการ เตียวสิ้วก็คิดแค้นที่โจโฉดุหมิ่นตน จึงปรึกษากับกาเซี่ยง วางแผนลอบโจมตีค่ายทหารของโจโฉ ในเวลาที่โจโฉมัวเมาอยู่กับนางเจ๋าซือ จนพ่ายแพ้อย่างยับเยินต้องสูญเสีย องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ และหลานชายตัวการ กับลูกชายคนโตไปพร้อมกันในคราวนี้ ยังความเจ็บแค้นให้แก่โจโฉเป็นอันมาก
ภายหลังที่โจโฉรบกับ อ้วนสุด น้องอ้วนเสี้ยว อยู่ทางเมืองลำหยง ก็ได้ข่าวว่า เตียวสิ้วร่วมมือกับเล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ยกทัพมาตีเมืองซงหยงกับเมืองกังเหล็ง ที่เป็นหัวเมืองขึ้น จึงล่าทัพจากเมืองลำหยงหันมาจะเล่นงานเตียวสิ้ว คู่อาฆาตเก่าที่เมืองซงหยง เตียวสิ้วก็เข้าไปยึดเมืองซงหยงปิดประตูตั้งป้อมรักษาเชิงเทินให้มั่นคงจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด
การรบคราวนี้ โจโฉทำอุบายจะเผากำแพงเมืองด้านตะวันตก โดยหลอกให้เตียวสิ้วป้องกัน แล้วจะได้ยกทหารไปตีด้านอื่น กาเซี่ยงจึงบอกว่า
“................ซึ่งโจโฉให้ทำการครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉทำกลอุบาย ข้าพเจ้าจะคิดซ้อนกลโจโฉ ให้เสียทีแก่เราให้จงได้........”
เตียวสิ้วถามว่าจะทำประการใด กาเซี่ยงก็บอกว่า
“........ข้าพเจ้าเห็นโจโฉขึ้นดูบนหอคอยถึงสามเวลา เห็นผู้คนซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตะวันออกนั้นเบาบาง โจโฉจึงให้ขนเอาไม้แลหญ้าไปไว้ข้างตะวันตก จะให้เราจัดแจงป้องกันระวังด้านตะวันตก แล้วโจโฉจะคิดการข้างตะวันออกในเวลากลางคืนเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะให้ชาวเมืองแต่งตัวปลอมเป็นทหารขึ้นรักษาหน้าที่ฝ่ายด้านตะวันตก แล้วจะยกทหารนั้นมาซุ่มไว้หน้าที่ตะวันออก ถ้าโจโฉยกมาทำการเมื่อใด จึงให้จุดประทัดสัญญาณ แล้วยกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้น ตีกระหนาบ เห็นโจโฉจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง......”
ในการรบครั้งนี้โจโฉก็ทำตามแผนของกาเซี่ยงที่วางซ้อนกลไว้ ในเวลาสองยามเศษ แต่ผลของการเข้าตีปรากฏว่าฝ่ายโจโฉต้องแตกพ่าย ถอยไปเข้าค่าย เตียวสิ้วก็คุมทหารติดตามไปตีค่ายแตกอีกด้วย ทหารเอกของโจโฉก็ถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บไปสองคน ทหารเลวบาดเจ็บล้มตายไปเป็นหมื่น แต่สามารถควบคุมทหารที่เหลือถอยทัพมาได้อย่างเป็นระเบียบ และตั้งแนวดักรับทหารของเตียวสิ้วที่ตามไปในเวลากลางคืน จึงถูกทหารของโจโฉล้อมกรอบสังหาร จนต้องแตกกลับไปบ้าง
เมื่อโจโฉยกทัพกลับไปใกล้จะถึงถึงเมืองฮูโต๋แล้ว เตียวสิ้วก็รวมกำลังกับกองทัพเล่าเปียวจะยกทัพไปตีโจโฉตอบแทนบ้าง กาเซี่ยงก็ห้ามปรามไว้ แต่เล่าเปียวนั้นไม่ฟัง ชวนเตียวสิ้วยกตามไปตีโจโฉแต่โจโฉเตรียมการตั้งรับไว้แล้ว จึงยันทัพทั้งสองเสียหายกลับมา เตียวสิ้วจึงขอโทษกาเซี่ยงที่ไม่เชื่อคำแนะนำ
แต่กาเซึ่ยงกลับแนะนำว่า
“.......บัดนี้ขอให้ท่านยกตามโจโฉไปอีก เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง ถ้าไม่สมคำข้าพเจ้า ท่านจงตัดศีรษะข้าพเจ้าเสีย.......”
เตียวสิ้วก็เชื่อคำกาเซี่ยง ชวนเล่าเปียวยกทหารไปอีกครั้ง แต่เล่าเปียวเข็ดเสียแล้ว เตียวสิ้วจึงยกไปกองเดียว โจโฉกำลังประมาทนึกว่าเตียวสิ้วเลิกทัพไปแล้ว จึงถูกเตียวสิ้วตีแตกพ่ายไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้ว เล่าเปียวก็ถามกาเซี่ยงว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น กาเซี่ยงก็ตอบว่า
“........ท่านเคยทำศึกมามากก็จริง แต่ความคิดท่านไม่รู้ถึงโจโฉ เมื่อแรกโจโฉยกไปนั้น หมายว่ากองทัพเราจะตามไป จึงให้ทหารมาอยู่ป้องกันข้างท้ายล้วนมีฝีมือกว่าทหารเรา เราจึงแตกมา ครั้งหลังโจโฉประมาทมิได้ตระเตรียมทหารไว้ตามกระบวนทัพ แล้วก็กังวลอยู่จะรีบไปเมืองฮูโต๋ เราจึงตีแตกโดยง่าย..........”
เล่าเปียวกับเตียวสิ้ว ก็สรรเสริญความคิดกาเซี่ยง ว่ามีสติปัญญาหาผู้เสมอยาก.
ต่อมาเมื่อโจโฉได้รับความร่วมมือจากเล่าปี่ ช่วยกันตีเมืองชีจิ๋วจับลิโป้มาประหารเสียได้ และเล่าปี่ขออาสาโจโฉไปรบกับอ้วนสุด จนอ้วนสุดพ่ายแพ้และถึงแก่ความตายไป โจโฉก็จับได้ว่าเล่าปี่เคยลงนามร่วมมือกับตังสินพี่ชายของนางตังกุยฮุย สนมเอกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพื่อกำจัดโจโฉ ซึ่งโจโฉจับมาประหารเสียหมดทั้งโคตรแล้วนั้น จึงจะยกทัพไปปราบเล่าปี่ ซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วแทนลิโป้ และกำลังร่วมมือกับอ้วนเสี้ยวจะยกทหารมารบโจโฉอยู่
ที่ปรึกษาก็แนะนำ ให้โจโฉเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้วไว้เป็นพวก ก่อนที่จะไปเข้าด้วยอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงส่ง เล่าหัว ให้ถือหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว พอดีกับอ้วนเสี้ยวก็ส่งทหารไปหาเตียวสิ้วด้วยเหมือนกัน กาเซี่ยงก็ฉีกหนังสือของอ้วนเสี้ยวทิ้ง และแนะนำให้เตียวสิ้วเข้าเป็นพวกโจโฉ รบกับอ้วนเสี้ยวแทน เตียวสิ้วก็สงสัยเพราะโจโฉเป็นข้าศึกเก่า เคยรบพุ่งกันมาหลายครั้งแล้ว ถ้าอ้วนเสี้ยวยกทัพมาจะทำอย่างไร กาเซี่ยงจึงอธิบายว่า
“............ถ้าท่านเกรงอยู่ดังนั้น เราจำจะเข้าทำการด้วยโจโฉ ถึงอ้วนเสี้ยวจะยกมาทำร้าย โจโฉก็จะได้ช่วย......”
เตียวสิ้วก็ว่า แม้โจโฉจะเป็นมหาอุปราช แต่ก็มีทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวหลายเท่า ทั้งเคยรบพุ่งกับเรามาแต่ก่อน คงจะพยาบาทเราอยู่ไม่หาย แล้วจะมาช่วยเราหรือ กาเซี่ยงก็อธิบายว่า
“.........ซึ่งจะกลัวโจโฉพยาบาทนั้น ท่านอย่าวิตกเลย ถ้าจะไปเข้าด้วยโจโฉ ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยสามประการ.....”
แล้วก็แถลงรายละเอียดว่า
ประการหนึ่ง โจโฉได้เป็นมหาอุปราช แม้จะทำการสิ่งใด ก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ
ประการหนึ่ง ถึงโจโฉมีทหารน้อย แต่มีสติปัญญากว้างขวาง จะทำการสงครามแห่งใด ก็ย่อมมีชัยชนะมากกว่าแพ้ อ้วนเสี้ยวซึ่งมีทหารมากนั้น อุปมาเหมือนคนมีทรัพย์มาก ท่านจะเอาทรัพย์ไปให้ จะไม่มีความยินดี อันโจโฉนั้นเหมือนคนไร้ทรัพย์ เอาทรัพย์ไปให้แต่น้อย ก็มีความยินดีเป็นอันมาก
ประการหนึ่ง โจโฉทำการครั้งนี้ มีใจโอบอ้อมอารีต่อทหารทั้งปวง มิได้มีพยาบาทแก่ผู้ใด คิดเอาราชการเป็นประมาณ
เตียวสิ้วก็เห็นชอบด้วย จึงยกทหารไปคำนับโจโฉที่เมืองฮูโต๋ โจโฉก็ต้อนรับเตียวสิ้วกับ กาเซี่ยงด้วยความยินดี เชิญนั่งในที่อันสมควรแล้วกล่าวว่า
“...........ก่อนนั้นเราได้ประมาทมีความผิดต่อท่านนั้น ท่านจงอดโทษเสีย อย่ามีความพยาบาทเราเลย......”
แล้วก็แต่งตั้งให้เตียวสิ้วเป็นนายทหารผู้ใหญ่ และให้กาเซี่ยงเป็นที่ปรึกษา รับราชการอยู่ในเมืองฮูโต๋ต่อไปอีกนาน
จนโจโฉสิ้นชีวิตไปด้วยโรคในสมอง และโจผีบุตรชายคนโตก็ได้ตำแหน่งวุยอ๋อง แทนบิดา กาเซี่ยงก็รับราชการเป็นที่ปรึกษาของวุยอ๋อง จนกระทั่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดจะถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชบัลลังก์ แล้วยกโจผีจากตำแหน่งวุยอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน กาเซี่ยงก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนประมาณสี่สิบคน ที่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เมืองฮูโต๋ แล้วกราบทูลว่า
“........โจผีเป็นวุยอ๋องแทนบิดานั้นมีบุญมาก แล้วก็มีสติปัญญารู้รอบคอบโอบอ้อมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุข ข้าพเจ้าขุนนางทั้งปวง แลทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ปรึกษาพร้อมกันเห็นสมควรแล้ว ที่จะปกป้องรักษาแผ่นดินสืบไปได้ ขอให้พระองค์มอบราชสมบัติให้แก่โจผีเถิด ..............”
พระเจ้าเหี้ยนเต้จะปฏิเสธบ่ายเบี่ยงหรือผัดผ่อนอย่างไร พวกขุนนางทั้งนั้นก็ชวนกันข่มขู่ฮ่องเต้ และสรุปว่า
“........เป็นประเพณีมีมาแต่โบราณ ที่ดีกลับเป็นชั่ว ที่ชั่วกลับเป็นดีก็มี เหมือนหนึ่งบ้านเมืองมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่แล้ว กลับเกิดศึกยับเยินไปก็มี ที่ยับเยินไปแล้วกลับมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่เย็นเป็นสุขไปก็มี สมบัติซึ่งได้สืบต่อแต่ต้นวงศ์ของพระองค์มาช้านาน ประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้ว....ขอให้พระองค์ละราชสมบัติมอบให้โจผีเถิด ถ้าพระองค์จะขัดขืนไป เห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง.....”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่เห็นผู้ใดจะเข้าข้างพระองค์เลย จึงไม่สามารถขัดขืนได้ ต้องยอมตกลงที่จะมอบราชสมบัติให้โจผี เพื่อรักษาชีวิตไว้ก่อน แม้นางโจเฮามเหสีซึ่งเป็นบุตรีของ โจโฉ จะได้ออกมาด่าว่าและทวงบุญทวงคุณขุนนางทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่เป็นผล จึงจำใจต้องทำหนังสือมอบราชสมบัติให้ โจผี แต่กาเซี่ยงก็แนะนำให้คืนไปก่อน จนส่งมาเป็นครั้งที่สามจึงยอมรับ
แล้วขุนนางก็ถวายพระนามว่า พระเจ้าอ้วยโซ่ ฮ่องเต้ใหม่ก็ตั้งให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ หรือนามเดิม หองจูเหียบ เป็นที่ ซันเอียงก๋ง ให้ไปอยู่ตำบลซันเอี๋ยง และไม่ต้องมาเฝ้า ไม่มีเบี้ยหวัดผ้าปี
ซันเอียงก๋งก็กราบถวายบังคมลา พาภรรยาเดินทางจากเมืองหลวงไปตามรับสั่ง แล้วก็เงียบหายสาบสูญไปไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย