-เปิดมาเช้าของวันที่สี่ เหล่านักเรียนได้รับแจกใบบอกตำแหน่งการทดสอบ(แยกย้ายกันไปตามฮอลท์ต่างๆ) โดยที่โซมะได้มาอยู่ที่ฮอลท์A
-โซมะเจอเมงุมิ(กำลังเขียนคันจิที่มือแล้วกินเรียกความมั่นใจ)กับทาคุมิ(ตะโกนท้าโซมะแต่เขาไม่ได้ยิน)อยู่ฮอลท์เดียวกับตัวเองด้วย ในระหว่างที่กำลังเดินไปที่สเตชั่นทำอาหารของตัวเองก็เจอกับเอรินะเข้า
-เอรินะตกใจแล้วก็ซึนๆใส่โซมะพร้อมกับคิดในใจว่าทำไมต้องมาเจอหมอนี้ทุกที ส่วนโซมะเองก็บอกว่าเขาจะได้เห็นการทำอาหารของเอรินะแล้วสินะ ว่าแล้วเอรินะก็ยิ้มแล้วประชดออกไปว่าเธอจะโชว์ให้โซมะได้เห็นกันเลยไปถึงความแตกต่างของอาหารของเธอกับโซมะ แต่โซมะดันคิดว่าเธอจะท้าแข่งก็เลยบอกว่าเอาไว้หลังทดสอบเสร็จก่อนทำเอาเอรินะถึงกับหน้าเสียไปอีกรอบ
-เมื่อพร้อมแล้วโดจิม่าก็แนะนำกรรมการของการทดสอบ ว่าแล้วพวกกรรมการก็เดินเข้ามาทำเอาพวกนักเรียนตกใจเพราะมากันเยอะแถมมีทั้งเด็ก คนแก่มากมายอีกต่างหาก
-โดจิม่าอธิบายให้ฟังว่ากรรมการในรอบนี้คือบรรดาสปอนเซอร์ที่จัดหาวัตถุดิบให้กับโรงแรมโทสึกิรวมถึงครอบครัวแล้วก็ญาติๆของพวกเขาด้วย ซึ่งทุกปีพวกเขาจะได้รับเกียรติมาให้ตัดสิน และแน่นอนว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าธีมของการแข่งขันวันนี้คืออะไร ว่าแล้วก็ตัดภาพไปที่ตาลุงสามคนได้แก่โทคุโซผู้จัดหาไข่ไก่(ชื่อเล่นมุขกับคำว่าใหญ่และดี หมายถึงไข่ไก่ขนาดAA) ผู้จัดหาถั่วเขียวโคสึเกะ(ชื่อเล่นมุขกับตัวเอกในนิยายนักสืบชื่อดัง คินดะอิจิ โคสุเกะ)และผู้จัดหาชีสประเภทต่างๆคิวซาคุ(ชื่อเล่นมุขกับคำว่าวินเทจ(หมายถึงไวน์ที่ทำจากองุ่นแท้ๆ) ซึ่งทุกคนก็กลัวกันหมดมีแต่โซมะที่รู้สึกว่าตาแก่พวกนี้ไม่ธรรมดา
-ว่าแล้วโดจิม่าก็แนะนำกรรมการชุดต่อไป นั้นคือพนักงานของโทสึกิรีสอร์ทนั้นเอง โดยมีคนสำคัญคือหัวหน้าบริการ ซาคุมะ โทคิฮิโกะ(ชื่อเล่นมุขกับคำว่า ให้ตรงเวลา)และผู้ช่วยของเชฟโดจิม่ารองหัวหน้าเชฟแห่งโทสึกิรีสอร์ท เซนะ ฮิโรมิ ว่าแล้วโดจิม่าก็เลยประกาศเงื่อนไขในการสอบผ่านสองข้อ
-ข้อแรกคือต้องทำอาหารให้ทุกคนในที่นี้ยอมรับและอีกข้อคือต้องเสิร์ฟให้ได้200จานขึ้นไป ได้ยินแบบนั้นเหล่านักเรียนก็ต้องโอดครวญ เพราะต้องทำอาหารตั้ง200จานทั้งๆที่ไม่ได้นอนเลย ทาคุมิก็คิดขึ้นมาว่าแขกที่มีหลากหลายทั้งคนแก่ เด็กแล้วก็ปริมาณที่ให้ทำถึง200จานแสดงว่าการทดสอบนี้ตั้งใจจะทำให้เหมือนกับการทำงานจริงๆสินะ ว่าแล้วโดจิม่าก็ประกาศเริ่มการตัดสิน
-ว่าแล้วบรรดาแขกและพนักงานก็เข้ามาดูที่โต๊ะต่างๆทันที เริ่มจากของทาคุมิ มีพนักงานสาวสองคนเข้ามาดูแล้วก็สังเกตว่าอาหารจานไข่ของทาคุมิคือฟริตตาต้า(เคยอธิบายไปแล้วในตอนที่แล้ว ออมเล็ตของคนอิตาเลี่ยนที่จะโรสชีสบนหน้าแล้วเอาเข้าเตาอบให้ชีสละลายตักกินแบบพิซซ่า ซึ่งทั้งสองสาวก็บอกว่านี้มันฟริตตาต้าธรรมดาไม่ใช่เหรอ
-แต่ทาคุมิก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะฟริตตาต้าของเขาต้องกินคู่กับอินซาลาต้า(สลัดภาษาอิตาเลี่ยน)เริ่มจากการยี้ไข่ให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วใส่ผักสลัดลงไป จากนั้นเติมบัลซามิก(น้ำส้มสายชูหมักในถังไม้โอ๊ควัตถุดิบสำคัญของอาหารอิตาเลี่ยนจะออกรสเปรี้ยวฝาดหน่อยๆ)แล้วก็ขูดพาร์เมซานชีส(ชีสที่นิยมใช้ในอาหารอิตาเลี่ยน ปกตินิยมเอามาใส่ผสมลงในพาสต้าไม่ก็รีซอสโต้ หรือโรยหน้าลาซานญ่าเพื่อให้เกิดหน้าไหม้ มีรสชาติค่อนข้างเค็มไม่มีความหนืด)ลงไป เพียงเท่านี้อาหารของทาคุมิ อินซาลาต้าฟริตตาต้า(สลัดไข่)ก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งบริการสองสาวดูจากประทับใจมากเนื่องจากวิธีการกินที่แปลกใหม่แถมมีผักเยอะก็ดีต่อสุขภาพ
-ว่าแล้วทั้งคู่ก็ลองชิมดู แล้วก็ต้องประทับใจกับความอร่อยของมัน ความนุ่มของไข่เข้ากับได้ดีกับความกรุบกรอบของผักสลัดแถมยังมีความสดชื่นจากบัลซามิกอีกด้วย ซึ่งทั้งสองสาวก็ชมทาคุมิว่าไม่เคยกินสลัดที่อร่อยแบบนี้มาก่อน ซึ่งเขาก็ขอบคุณออกไป ตัดไปทางด้านเมงุมิ
-เมงุมิกำลังเสิร์ฟอาหารไข่ของตัวเองอยู่นั่นก็คือ"โอเด้งมื้อเช้า" (โอเด้งคืออาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่งเป็นพวกของตุนในน้ำซุปดาชิกับโชยุ เป็นอาหารกินแก้หนาวอุ่นท้อง) ซึ่งบรรดาคุณลุงที่เป็นสปอนเซอร์จัดหาของให้โรงแรมโทสึกิก็เข้ามาดูอาหารของเมงุมิ แล้วก็เห็นว่าอาหารไข่ของเมงุมิมีไข่นกกระทาเป็นตัวชูโรงด้วย ซึ่งตามกฎก็ไม่ได้บังคับให้ใช้ไข่ไก่ ว่าแล้วทั้งสามคนเลยตัดสินใจลองชิมดูสักหน่อย
-เมื่อทานแล้วพบว่าน้ำซุปไหลซึมเข้าไปถึงในเนื้อไข่ทำให้ได้รสชาติออกมาเต็มๆนอกจากนั้นผักที่ใช้ในโอเด้งเองก็เต็มไปด้วยสีสันแถมมีขนาดพอๆกับไข่ ทำให้คนทานได้เพลิดเพลินไปกับอาหารจานนี้สุดๆ ดูเหมือนว่าลุงคิวซาคุจะประทับใจมากขนาดขอเมงุมิแต่งงานกับหลานชายตัวเองเลย ทำเอาเธอเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ส่วนบรรดานักเรียนคนอื่นก็กำลังเครียดที่อาหารของตัวเองไม่มีใครแลเลย
-ตัดมาทางด้านเอรินะ เธอก็ยกจานอาหารที่ทำให้ทุกคนตกใจออกมา มันคือ "ไข่เบเนเดิกซ์"
-ไข่เบเนดิกซ์ เป็นอาหารเช้าพื้นฐานของคนอเมริกา ส่วนประกอบหลักๆมีมัฟฟิน(ขนมปังหวาน)เบคอน Poached egg(ก่ำกึ่งไข่ลวกกับไข่ต้ม ว่าจริงๆมันคือไข่ต้มในน้ำร้อนไม่ใช่น้ำเดือด เนื่องจากในไทยไม่มีวิธีการทำอาหารแบบนี้ (ในไทยการต้มหมายถึงการเอาของลงไปต้มในน้ำ) แต่สำหรับฝรั่งแล้ว เขาจะเรียกกรรมวิธีการปรุงด้วยการต้มแยกออกเป็นสองแบบหลักๆก็คือ ถ้าต้มในน้ำเดือดจะเรียก Boiled แต่ถ้าต้มในน้ำร้อน(อุณหภูมิประมาณ 70-80 จะเรียกว่า Poached(โพช)) ซึ่งPoached eggนี้ก็เป็นอาหารที่ตอกไข่ใส่ในน้ำร้อนที่ผสมน้ำส้มสายชูลงไปแล้ว น้ำส้มสายชูจะทำให้โปรตีนไข่ขาวแข็งตัวจับเป็นก้อน ไข่ขาวจะแข็งเล็กน้อยแต่ไข่แดงจะยังไม่สุกเหมือนกับไข่ลวก) และโปะหน้าด้วยซอสฮอลแลนด์เดส (เป็นซอสที่มีลักษณะและวิธีทำคล้ายกับมายองเนสออกรสเปรี้ยว แต่ฮอลแลนด์เดสจะใช้เนยเหลวไม่ใช่น้ำมันสลัดแบบมายองเนสและไม่ใช้น้ำส้มสายชูแต่จะใช้ไวน์ขาวที่ต้มรวมกับพวกพริกไทยหอมแดงแทน ลักษณะพิเศษของซอสชนิดก็คือเมื่อเย็นจะแข็งตัวเป็นก้อน) ซึ่งซาคุมะก็ให้ความเห็นว่าไข่เบเนดิกซ์จะเรียกว่าเป็นอาหารที่มีความแปลกใหม่ก็ไม่ได้เพราะเป็นอาหารพื้นฐานของคนอเมริกันแต่ เอรินะทำออกมาได้งดงามน่ากินมาก ว่าแล้วเขาก็เริ่มชิม
-เมื่อทานแล้วก็พบว่ารสชาติของไข่เองก็เข้ากันได้ดีกับเบคอนกรุบๆกรอบๆ มัฟฟินหวานช่วยเติมรสชาติพร้อมกับซอสฮอลแลนด์เดสเองที่เปรี้ยวก็ช่วยชูรสทั้งหมดเป็นอย่างดี แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น รสอร่อยประหลาดที่แฝงอยู่ในอาหารจานนี้ ว่าแล้วซาคุมะก็สังเกตเห็นผงสีทองที่ทาอยู่ในมัฟฟิน...มันคือ...ผงคาราสุมิ(คือไข่ปลากระบอกและไข่ปลาหลายชนิดผสมรวมกันเอาไปแช่เกลือแล้วตากแห้ง ปกติจะเอามาทานเป็นของกินเล่น)
-ว่าแล้วซาคุมะก็เริ่มรู้สึกความย่าสนใจของอาหารจานนี้ ไข่ปลาก็นับเป็นไข่และรสชาติความเค็มเล็กน้อยของผงคาราสุมิเองก็ช่วยดึงให้รสชาติของไข่แดงเด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเดิมทีไข่เบเนดิกซ์ได้รับฉายาว่าเป็นราชีนีแห่งอาหารเช้า อาหารจานนี้ช่างเป็นจานที่เหมาะสมกับราชีนีอย่างเอรินะเหลือเกิน
-เป็นอาหารที่ทานแล้วรู้สึกอยากจะไปรับใช้ เป็นอาหารที่มีพลังทำให้ตกอยู่ในอำนาจของมันแทบจะทันที
-หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไป ทาคุมิเสิร์ฟครบ200ที่ได้สำเร็จแต่เจ้าตัวรู้สึกว่าใช้เวลานานเกินไปก่อนจะหันไปดูโซมะ ส่วนทางด้านเมงุมิเองก็ครบ200ที่แล้วเหมือนกันพร้อมกับหันไปหาโซมะ ก่อนที่ทั้งคู่จะพบว่า
-โซมะยังเสิร์ฟได้ไม่ถึง10จาน...เกิดอะไรขึ้น?
จบตอน
อาทิตย์นี้มาช้ามากเพราะสาเหตุหลักๆคือ ผมลืมครับ...นึกว่าทำไปแล้ว (เพราะปกติจะทำตอนวันพฤหัสไม่ก็ศุกร์ Orz แต่ดูเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านมาจะติดดันรอน(ดันกันรอนปะ)เลยทำให้ลืมไปเลยว่าทำไปแล้ว)
สำหรับตอนนี้อาหารของแต่ละคนเองก็ไม่ได้แตกต่างจากที่คิดนัก (มีเอรินะที่คิดว่าจะทำอะไรหรูกว่านี้ซะอีก) แต่ที่น่าสงสัยคือโซมะทำอะไรกัน ทำไมถึงไม่มีคนกินเลย? ชื่อตอนที่ว่ากับดักนี้คืออะไร? (หรือบางทีอาหารของโซมะอาจจะอร่อยแต่ขาดพลังความน่าดึงดูด หรือไม่ก็ติดกับเอรินะทำให้คนไปกินอาหารของเอรินะกันหมด?)
<Spoil> ยอดนักปรุงโซมะ (Shokugeki no Souma) 30 -หลุมพราง-
-โซมะเจอเมงุมิ(กำลังเขียนคันจิที่มือแล้วกินเรียกความมั่นใจ)กับทาคุมิ(ตะโกนท้าโซมะแต่เขาไม่ได้ยิน)อยู่ฮอลท์เดียวกับตัวเองด้วย ในระหว่างที่กำลังเดินไปที่สเตชั่นทำอาหารของตัวเองก็เจอกับเอรินะเข้า
-เอรินะตกใจแล้วก็ซึนๆใส่โซมะพร้อมกับคิดในใจว่าทำไมต้องมาเจอหมอนี้ทุกที ส่วนโซมะเองก็บอกว่าเขาจะได้เห็นการทำอาหารของเอรินะแล้วสินะ ว่าแล้วเอรินะก็ยิ้มแล้วประชดออกไปว่าเธอจะโชว์ให้โซมะได้เห็นกันเลยไปถึงความแตกต่างของอาหารของเธอกับโซมะ แต่โซมะดันคิดว่าเธอจะท้าแข่งก็เลยบอกว่าเอาไว้หลังทดสอบเสร็จก่อนทำเอาเอรินะถึงกับหน้าเสียไปอีกรอบ
-เมื่อพร้อมแล้วโดจิม่าก็แนะนำกรรมการของการทดสอบ ว่าแล้วพวกกรรมการก็เดินเข้ามาทำเอาพวกนักเรียนตกใจเพราะมากันเยอะแถมมีทั้งเด็ก คนแก่มากมายอีกต่างหาก
-โดจิม่าอธิบายให้ฟังว่ากรรมการในรอบนี้คือบรรดาสปอนเซอร์ที่จัดหาวัตถุดิบให้กับโรงแรมโทสึกิรวมถึงครอบครัวแล้วก็ญาติๆของพวกเขาด้วย ซึ่งทุกปีพวกเขาจะได้รับเกียรติมาให้ตัดสิน และแน่นอนว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าธีมของการแข่งขันวันนี้คืออะไร ว่าแล้วก็ตัดภาพไปที่ตาลุงสามคนได้แก่โทคุโซผู้จัดหาไข่ไก่(ชื่อเล่นมุขกับคำว่าใหญ่และดี หมายถึงไข่ไก่ขนาดAA) ผู้จัดหาถั่วเขียวโคสึเกะ(ชื่อเล่นมุขกับตัวเอกในนิยายนักสืบชื่อดัง คินดะอิจิ โคสุเกะ)และผู้จัดหาชีสประเภทต่างๆคิวซาคุ(ชื่อเล่นมุขกับคำว่าวินเทจ(หมายถึงไวน์ที่ทำจากองุ่นแท้ๆ) ซึ่งทุกคนก็กลัวกันหมดมีแต่โซมะที่รู้สึกว่าตาแก่พวกนี้ไม่ธรรมดา
-ว่าแล้วโดจิม่าก็แนะนำกรรมการชุดต่อไป นั้นคือพนักงานของโทสึกิรีสอร์ทนั้นเอง โดยมีคนสำคัญคือหัวหน้าบริการ ซาคุมะ โทคิฮิโกะ(ชื่อเล่นมุขกับคำว่า ให้ตรงเวลา)และผู้ช่วยของเชฟโดจิม่ารองหัวหน้าเชฟแห่งโทสึกิรีสอร์ท เซนะ ฮิโรมิ ว่าแล้วโดจิม่าก็เลยประกาศเงื่อนไขในการสอบผ่านสองข้อ
-ข้อแรกคือต้องทำอาหารให้ทุกคนในที่นี้ยอมรับและอีกข้อคือต้องเสิร์ฟให้ได้200จานขึ้นไป ได้ยินแบบนั้นเหล่านักเรียนก็ต้องโอดครวญ เพราะต้องทำอาหารตั้ง200จานทั้งๆที่ไม่ได้นอนเลย ทาคุมิก็คิดขึ้นมาว่าแขกที่มีหลากหลายทั้งคนแก่ เด็กแล้วก็ปริมาณที่ให้ทำถึง200จานแสดงว่าการทดสอบนี้ตั้งใจจะทำให้เหมือนกับการทำงานจริงๆสินะ ว่าแล้วโดจิม่าก็ประกาศเริ่มการตัดสิน
-ว่าแล้วบรรดาแขกและพนักงานก็เข้ามาดูที่โต๊ะต่างๆทันที เริ่มจากของทาคุมิ มีพนักงานสาวสองคนเข้ามาดูแล้วก็สังเกตว่าอาหารจานไข่ของทาคุมิคือฟริตตาต้า(เคยอธิบายไปแล้วในตอนที่แล้ว ออมเล็ตของคนอิตาเลี่ยนที่จะโรสชีสบนหน้าแล้วเอาเข้าเตาอบให้ชีสละลายตักกินแบบพิซซ่า ซึ่งทั้งสองสาวก็บอกว่านี้มันฟริตตาต้าธรรมดาไม่ใช่เหรอ
-แต่ทาคุมิก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะฟริตตาต้าของเขาต้องกินคู่กับอินซาลาต้า(สลัดภาษาอิตาเลี่ยน)เริ่มจากการยี้ไข่ให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วใส่ผักสลัดลงไป จากนั้นเติมบัลซามิก(น้ำส้มสายชูหมักในถังไม้โอ๊ควัตถุดิบสำคัญของอาหารอิตาเลี่ยนจะออกรสเปรี้ยวฝาดหน่อยๆ)แล้วก็ขูดพาร์เมซานชีส(ชีสที่นิยมใช้ในอาหารอิตาเลี่ยน ปกตินิยมเอามาใส่ผสมลงในพาสต้าไม่ก็รีซอสโต้ หรือโรยหน้าลาซานญ่าเพื่อให้เกิดหน้าไหม้ มีรสชาติค่อนข้างเค็มไม่มีความหนืด)ลงไป เพียงเท่านี้อาหารของทาคุมิ อินซาลาต้าฟริตตาต้า(สลัดไข่)ก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งบริการสองสาวดูจากประทับใจมากเนื่องจากวิธีการกินที่แปลกใหม่แถมมีผักเยอะก็ดีต่อสุขภาพ
-ว่าแล้วทั้งคู่ก็ลองชิมดู แล้วก็ต้องประทับใจกับความอร่อยของมัน ความนุ่มของไข่เข้ากับได้ดีกับความกรุบกรอบของผักสลัดแถมยังมีความสดชื่นจากบัลซามิกอีกด้วย ซึ่งทั้งสองสาวก็ชมทาคุมิว่าไม่เคยกินสลัดที่อร่อยแบบนี้มาก่อน ซึ่งเขาก็ขอบคุณออกไป ตัดไปทางด้านเมงุมิ
-เมงุมิกำลังเสิร์ฟอาหารไข่ของตัวเองอยู่นั่นก็คือ"โอเด้งมื้อเช้า" (โอเด้งคืออาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่งเป็นพวกของตุนในน้ำซุปดาชิกับโชยุ เป็นอาหารกินแก้หนาวอุ่นท้อง) ซึ่งบรรดาคุณลุงที่เป็นสปอนเซอร์จัดหาของให้โรงแรมโทสึกิก็เข้ามาดูอาหารของเมงุมิ แล้วก็เห็นว่าอาหารไข่ของเมงุมิมีไข่นกกระทาเป็นตัวชูโรงด้วย ซึ่งตามกฎก็ไม่ได้บังคับให้ใช้ไข่ไก่ ว่าแล้วทั้งสามคนเลยตัดสินใจลองชิมดูสักหน่อย
-เมื่อทานแล้วพบว่าน้ำซุปไหลซึมเข้าไปถึงในเนื้อไข่ทำให้ได้รสชาติออกมาเต็มๆนอกจากนั้นผักที่ใช้ในโอเด้งเองก็เต็มไปด้วยสีสันแถมมีขนาดพอๆกับไข่ ทำให้คนทานได้เพลิดเพลินไปกับอาหารจานนี้สุดๆ ดูเหมือนว่าลุงคิวซาคุจะประทับใจมากขนาดขอเมงุมิแต่งงานกับหลานชายตัวเองเลย ทำเอาเธอเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ส่วนบรรดานักเรียนคนอื่นก็กำลังเครียดที่อาหารของตัวเองไม่มีใครแลเลย
-ตัดมาทางด้านเอรินะ เธอก็ยกจานอาหารที่ทำให้ทุกคนตกใจออกมา มันคือ "ไข่เบเนเดิกซ์"
-ไข่เบเนดิกซ์ เป็นอาหารเช้าพื้นฐานของคนอเมริกา ส่วนประกอบหลักๆมีมัฟฟิน(ขนมปังหวาน)เบคอน Poached egg(ก่ำกึ่งไข่ลวกกับไข่ต้ม ว่าจริงๆมันคือไข่ต้มในน้ำร้อนไม่ใช่น้ำเดือด เนื่องจากในไทยไม่มีวิธีการทำอาหารแบบนี้ (ในไทยการต้มหมายถึงการเอาของลงไปต้มในน้ำ) แต่สำหรับฝรั่งแล้ว เขาจะเรียกกรรมวิธีการปรุงด้วยการต้มแยกออกเป็นสองแบบหลักๆก็คือ ถ้าต้มในน้ำเดือดจะเรียก Boiled แต่ถ้าต้มในน้ำร้อน(อุณหภูมิประมาณ 70-80 จะเรียกว่า Poached(โพช)) ซึ่งPoached eggนี้ก็เป็นอาหารที่ตอกไข่ใส่ในน้ำร้อนที่ผสมน้ำส้มสายชูลงไปแล้ว น้ำส้มสายชูจะทำให้โปรตีนไข่ขาวแข็งตัวจับเป็นก้อน ไข่ขาวจะแข็งเล็กน้อยแต่ไข่แดงจะยังไม่สุกเหมือนกับไข่ลวก) และโปะหน้าด้วยซอสฮอลแลนด์เดส (เป็นซอสที่มีลักษณะและวิธีทำคล้ายกับมายองเนสออกรสเปรี้ยว แต่ฮอลแลนด์เดสจะใช้เนยเหลวไม่ใช่น้ำมันสลัดแบบมายองเนสและไม่ใช้น้ำส้มสายชูแต่จะใช้ไวน์ขาวที่ต้มรวมกับพวกพริกไทยหอมแดงแทน ลักษณะพิเศษของซอสชนิดก็คือเมื่อเย็นจะแข็งตัวเป็นก้อน) ซึ่งซาคุมะก็ให้ความเห็นว่าไข่เบเนดิกซ์จะเรียกว่าเป็นอาหารที่มีความแปลกใหม่ก็ไม่ได้เพราะเป็นอาหารพื้นฐานของคนอเมริกันแต่ เอรินะทำออกมาได้งดงามน่ากินมาก ว่าแล้วเขาก็เริ่มชิม
-เมื่อทานแล้วก็พบว่ารสชาติของไข่เองก็เข้ากันได้ดีกับเบคอนกรุบๆกรอบๆ มัฟฟินหวานช่วยเติมรสชาติพร้อมกับซอสฮอลแลนด์เดสเองที่เปรี้ยวก็ช่วยชูรสทั้งหมดเป็นอย่างดี แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น รสอร่อยประหลาดที่แฝงอยู่ในอาหารจานนี้ ว่าแล้วซาคุมะก็สังเกตเห็นผงสีทองที่ทาอยู่ในมัฟฟิน...มันคือ...ผงคาราสุมิ(คือไข่ปลากระบอกและไข่ปลาหลายชนิดผสมรวมกันเอาไปแช่เกลือแล้วตากแห้ง ปกติจะเอามาทานเป็นของกินเล่น)
-ว่าแล้วซาคุมะก็เริ่มรู้สึกความย่าสนใจของอาหารจานนี้ ไข่ปลาก็นับเป็นไข่และรสชาติความเค็มเล็กน้อยของผงคาราสุมิเองก็ช่วยดึงให้รสชาติของไข่แดงเด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเดิมทีไข่เบเนดิกซ์ได้รับฉายาว่าเป็นราชีนีแห่งอาหารเช้า อาหารจานนี้ช่างเป็นจานที่เหมาะสมกับราชีนีอย่างเอรินะเหลือเกิน
-เป็นอาหารที่ทานแล้วรู้สึกอยากจะไปรับใช้ เป็นอาหารที่มีพลังทำให้ตกอยู่ในอำนาจของมันแทบจะทันที
-หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไป ทาคุมิเสิร์ฟครบ200ที่ได้สำเร็จแต่เจ้าตัวรู้สึกว่าใช้เวลานานเกินไปก่อนจะหันไปดูโซมะ ส่วนทางด้านเมงุมิเองก็ครบ200ที่แล้วเหมือนกันพร้อมกับหันไปหาโซมะ ก่อนที่ทั้งคู่จะพบว่า
-โซมะยังเสิร์ฟได้ไม่ถึง10จาน...เกิดอะไรขึ้น?
จบตอน
อาทิตย์นี้มาช้ามากเพราะสาเหตุหลักๆคือ ผมลืมครับ...นึกว่าทำไปแล้ว (เพราะปกติจะทำตอนวันพฤหัสไม่ก็ศุกร์ Orz แต่ดูเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านมาจะติดดันรอน(ดันกันรอนปะ)เลยทำให้ลืมไปเลยว่าทำไปแล้ว)
สำหรับตอนนี้อาหารของแต่ละคนเองก็ไม่ได้แตกต่างจากที่คิดนัก (มีเอรินะที่คิดว่าจะทำอะไรหรูกว่านี้ซะอีก) แต่ที่น่าสงสัยคือโซมะทำอะไรกัน ทำไมถึงไม่มีคนกินเลย? ชื่อตอนที่ว่ากับดักนี้คืออะไร? (หรือบางทีอาหารของโซมะอาจจะอร่อยแต่ขาดพลังความน่าดึงดูด หรือไม่ก็ติดกับเอรินะทำให้คนไปกินอาหารของเอรินะกันหมด?)