เส้นทางอันโลดโผนของราชินีนักบู๊ “เปิ้ล จารุณี”

เป็นบทความเก่านิดนึงแต่เจอพอดีเลยอยากแบ่งปันชีวิตของนักสู้ชีวิตคนนี้ดู
เครดิต จาก ผู้จัดการ

“เปิ้ล จารุณี สุขสวัสดิ์” ที่เมื่อเอ่ยชื่อนี้ใครๆ ก็จะจำภาพของเธอได้กับบทบาทนางเอกสาวนักบู๊ ความกล้าบ้าบิ่นที่เจ้าตัวเคยฝากผลงานไว้กับภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ในอดีต ซึ่งผลงานภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้เจ้าตัวเป็นเรื่องแรกนั่นก็คือเรื่อง “สวัสดีคุณครู” และมาเป็นนางเอกเต็มตัวในเรื่องที่สอง "รักแล้วรอหน่อย" คู่กับ “สรพงศ์ ชาตรี” ส่วนภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและทำรายได้อย่างสูงคือภาพยนตร์ “บ้านทรายทอง” เมื่อปี2523 ซึ่งทำเงินไปถึง 7 ล้านบาท นับว่าเป็นนางเอกที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์ไทย และทำให้เจ้าตัวเป็นที่ต้องการของบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์ในทันที อีกทั้งจุดเด่นของ "เปิ้ล จารุณี" นั้นขึ้นชื่อได้ว่าเป็นนางเอกที่สามารถเล่นได้ทุกบทบาท ทั้งแนวดราม่า บทบู๊ บทนางเอกแก่นแก้ว จนเป็นที่ถูกอกถูกใจกับแฟนๆ ละครในสมัยนั้น
       
       ทั้งนี้ทาง “รายการเปิดหมดเปลือก” ทางช่อง Super บันเทิง จึงขอย้อนเส้นทางชีวิตวัยเด็กก่อนจะโด่งดังเป็น “ราชินีนักบู๊” ที่กว่าจะมายืนจุดสูงสุดของวงการบันเทิงได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเคยเจออุบัติเหตุหนักๆถึง 2 ครั้งซ้อนจนทำให้หวิดเป็นอัมพาตตลอดชีวิต
       
       “นับตั้งแต่เราเขียนจดหมายไปสมัครงานเราอยากได้งาน เพื่อที่จะมาช่วยครอบครัวเรา เพราะตอนนั้นครอบครัวเรายากจนก็เลยได้เขียนใบสมัคร บวกกับความคะนองและอายุก็ยังน้อย ตอนนั้นเรามีเพื่อนหลายคนและรูปที่เรามีก็เป็นรูปรวมเราก็เอามาตัดแบ่ง และก็เอารูปนี้ไปสมัคร ไม่มีการไปถ่ายในสตูเหมือนตอนนี้เลย และสมัยก่อนมันยากมากต้องวิ่งหารูปจากเพื่อนๆที่เขาได้รูปมา เพราะเราไม่มีกล้องก็เลยต้องไปขอตัดแบ่งมา”
       
       “และเราก็ได้ส่งรูปไปเขาก็จะเห็นหน้าเราไม่ค่อยชัดและคนที่เป็นเจ้าของสังกัดก็ตามไปดูประวัติของเรา พอเขาดูแล้วเขาก็ทิ้ง แต่พอเขาเลือกทั้งหมดใน2พันกว่าคนที่ส่งเข้าไป มันก็ไม่มีคนที่เขาต้องการ เขาก็เลยกลับมาหาคนที่เขียนประวัติมาว่าเตะต่อยได้ เราเขียนบอกไปเลย และนี่ก็อาจจะเป็นที่มาของฉายาราชินีนักบู๊ก็ได้ และเราก็ได้โชว์เขาด้วยว่าเตะต้นกล้วยขาดเลย แต่เราก็ไม่เชิงเป็นสาวห้าวนะเพราะสมัยก่อนจะมีแต่หนังเตะต่อยแบบนี้เยอะ และเราเองถ้ามีโอกาสดูหนังกลางแปลง ก็จะเป็นอารมณ์แบบพระเอกควงปืนประมาณนี้ แล้วเราก็ยังเด็กเวลาดูเราก็จำมาแบบนั้น”
       
       “พอเจ้าของสังกัดเขาจำได้ว่ามีเด็กที่มีความสามารถเตะต่อยได้ เขาก็ไปรื้อประวัติและก็เรียกมาเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนั้นก็มีคนอื่นมานั่งรออยู่หลายคนเหมือนกัน เขาก็ให้เราไปกับช่างภาพ ก็ให้เรายิ้ม ให้ดูทั้งด้านหน้าและด้านข้างให้ทำหน้าโมโห และเขาก็ให้กลับ เราก็คิดว่า เรียกมาแค่นี้เองเหรอสงสัยไม่ได้แน่เลย เราก็ถอดใจไปแล้ว และต่อมาอีกเดือนนึงก็มีจดหมายมาและบอกว่า เที่ยวนี้ให้พาผู้ปกครองไปด้วย เพราะตอนนั้นเรายังอายุไม่ถึง15 วันนั้นเราก็พายายนั่งรถสองแถวไปและก็ไปนั่งที่เดิม และคนที่มาสัมภาษณ์เราก็พูดว่า บริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องปั้นหน้าของคนสัมภาษณ์เขาดุมากเลยนะ และเขาก็บอกรายละเอียดว่าหนังเรื่องนี้จะใช้เวลาถ่ายทำ4เดือน และเราจะได้เงินสี่หมื่นบาท พอได้ยินเราก็ตาโตเลย เพราะเราผ่านงานลำบากมาตลอด และก็ได้อย่างเต็มที่เลยเดือนละ700บาท”
       
       “และเมื่อก่อนเงิน700บาทเราแบ่งเป็นสามส่วน เป็นค่าเช่าบ้านช่วยแม่ เก็บไว้เรียนหนังสือ และก็ใช้ของตัวเอง แต่พอเรามาได้1หมื่นบาทใน4เดือน เงินมันเยอะมาก เราก็ดีใจและรีบบอกให้ยายเซ็นก็เลยมาเป็นการเริ่มต้นกับงานแสดงในหนังเรื่อง สวัสดีคุณครู”
       
       ผลงานแจ้งเกิดคือเรื่องสวัสดีคุณครู บอกเป็นนางเอกคนแรกๆ ที่แหวกแนวไม่เรียบร้อย
       
       “ถ้าพูดถึงเรื่องที่แจ้งเกิดเลยก็น่าจะเป็นเรื่องสวัสดีคุณครู เป็นเรื่องแรกเลย แต่ไม่ได้พูดถึงรายได้ ถ้ารายได้เยอะจริงๆ ก็จะเป็นเรื่องบ้านทรายทอง เป็นเรื่องที่ทำรายได้สูงสุดในตอนนั้น และนางเอกสมัยนั้นก็จะเปรียบเหมือนโอชินในหนังเกาหลี ที่ผู้หญิงจะต้องเป็นช้างเท้าหลัง จะต้องยอมตลอดเวลาจะเป็นมาตั้งแต่คุณเพชรา เชาวราษฎร์ คุณอรัญญา นามวงศ์ จนกระทั่งก่อนหน้าเราคือคุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ซึ่งก่อนหน้าเราก็ยังจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นคุณเนาวรัตน์ก็จะเล่นเรื่องแผ่นดินของเรา จะเล่นแบบถูกกดขี่ทางอารมณ์ที่ผู้หญิงจะเป็นผู้รองรับ และต่อมาอยู่ๆ ก็จะเป็นเราเข้ามาซึ่งดูแปลกตาไป ก็จะเป็นบทที่แก่นแก้วขึ้นมา”
       
       “สำหรับเปิ้ลคิดว่าปีแรกเหมือนมีเราที่เป็นนักแสดงวัยรุ่นขึ้นมามันเป็นบทที่ร่าเริงสดใส จากนั้นประมาณปีกว่าหรือสองปี น่าจะเป็นปี2522 เราก็ได้รับบทที่แตกต่างออกไปรวมไปถึง รับบทพจมานในเรื่องบ้านทรายทองด้วย และสมัยก่อนนางเอกที่เป็นลูกครึ่งมีน้อยเลยเป็นที่แปลกตา และเราก็ได้รับบทสลักจิตในภาพสาวลูกครึ่ง และในปีเดียวกันเราก็มาเล่นเรื่องเสือภูเขา คนก็จะเห็นว่าคนนี้เล่นสลักจิตมาก่อน ที่เป็นบทเศร้าๆ ดราม่า และอยู่ดีๆ ไม่นานก็กลับมาควงมีดวิ่งข้ามภูเขา และก็เล่นละครบ้านทรายทองรับบทเป็นผู้หญิงหยิ่งทะนงรักศักดิ์ศรี รักความยุติธรรม ใครห้ามมาเอาเปรียบ ทั้งนี้ก็เลยเรียกว่าเราปฏิวัติความเป็นหญิงขึ้นมา จากโศกเศร้ากลับกลายเป็นสู่เพื่อตัวเองขึ้นมา อันนี้ก็อาจไปโดนความในใจของผู้หญิงหลายๆ คน”

                            
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่