ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีขาวสะอาดตาแห่งนี้นอกจากตัวเขาแล้ว ก็มีเพียงเลขาสาวที่กำลังนั่งทำงานของตนไปเงียบๆ เขาละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ติดตั้งอยู่บนฝาผนังด้านตรงข้ามซึ่งเธอเปิดทิ้งไว้เมื่อบอกให้เขานั่งรอ บนพื้นนอกจากโต๊ะทำงานของเธอ และเก้าอี้ที่เขากำลังนั่งอยู่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
เขาล้วงนาฬิกาพกออกมาเปิดดูเวลา ภายนอกของมันเป็นโลหะสีเงินไร้ลวดลาย แต่ภายใต้ฝานั้นเป็นหน้าปัดทำด้วยกระจกใสเปิดเผยให้เห็นกลไกฟันเฟืองชิ้นเล็กๆ จำนวนมาก หลากรูปแบบ หลายขนาด ขยับหมุนไปมาตามจังหวะที่ถูกกำหนดเอาไว้ในการวัดความยาวของเวลา
'พึ่งผ่านมาแค่สิบนาทีเท่านั้นเอง'
ทั้งๆ ที่เขาคิดว่ามันน่าจะนานสักครึ่งชั่วโมงได้แล้ว เวลาเป็นสิ่งที่เที่ยงตรงมิใช่หรือ แต่ทำไมมันกลับยืดหดได้ด้วยเพียงแค่การคิดคำนึงของแต่ละบุคคลเช่นนี้
“...ทีมสำรวจของผมได้ค้นพบเงื่อนงำสำคัญที่อาจเป็นทางเข้าสู่โบราณสถานเก่าแก่ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ เมฆาปราสาท และคาดว่าจะสามารถหาทางเข้าไปได้ในไม่ช้าครับ”
เสียงพูดคุยจากโทรทัศน์ดึงให้เขากลับไปสนใจอีกครั้ง บนหน้าจอกำลังแสดงภาพของชายผิวคล้ำสวมหมวกแบบนักผจญภัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ดังเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มันปกปิดใบหน้าคมเข้มของเขาไว้บางส่วน ส่วนฉากหลังนั้นเป็นแนวต้นไม้ ตัดกับซากของสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ทำจากหินก้อนใหญ่
“อาจารย์แจ็ค เชื่อเรื่องสมบัติล้ำค่าที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในสถานที่แห่งนั้นหรือเปล่าคะ” ผู้รายงานข่าวสาวเอ่ยถามจากภายในห้องส่งผ่านระบบสนทนาทางไกล
“การค้นพบ โดยตัวของมันเองก็นับเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากแล้ว...” เขาตอบเลี่ยงๆ ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะถูกรบกวนจนพร่าเลือน และหายไปในที่สุด
“สัญญาณภาพขาดหายไปแล้วค่ะ เมื่อครู่นี้เป็นการพูดคุยทางไกลกับ อาจารย์แจ็ค...” เธอก้มมองกระดาษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว “แอนตี้ ไจแอน แจ็ค นักสำรวจชื่อดังจากสถานที่ขุดค้นล่าสุดในบริเวณภูเขาบีน” เธอเงยหน้ามองกล้องสบตากับคนดูนับล้านที่กำลังติดตามข่าวนี้อยู่ “และหากมีความคืบหน้า หรือการค้นพบที่น่าสนใจ ทางเราจะรีบนำเสนอข่าวทันทีค่ะ”
“...คุณทอยคะ” เสียงเรียกของเลขาทำให้เขาสะดุ้ง ละสายตาออกจากหน้าจอ ตอนนี้เธอยืนอยู่ที่ข้างโต๊ะของตัวเองแล้ว เขาพึ่งเห็นว่าชุดเข้ารูปที่เธอสวมใส่อยู่ก็เป็นสีขาวล้วนเช่นกัน “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ฉันเรียกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว”
“ไม่ครับ ผมสบายดี” เขารีบตอบพร้อมพยายามฝืนยิ้ม และทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางโทรทัศน์ “ผมคงตั้งใจฟังข่าวมากไป พอดีเรื่องราวมันน่าสนใจครับ”
“ค่ะ” เธอยิ้มตอบ “ท่านประธานเองก็ดูเหมือนจะสนใจข่าวเรื่องการค้นพบเมฆาปราสาทนี้อยู่เหมือนกัน” เขารีบจดจำข้อมูลนี้เอาไว้ เพราะบางทีมันอาจจะมีประโยชน์บ้างก็เป็นได้
ห้องนี้มีประตูอยู่เพียงสองบาน หนึ่งคือบานที่เขาผ่านเข้ามา ส่วนอีกบานคือประตูที่เธอกำลังเดินนำเขาไป มันไม่มีป้ายใดๆ ติดอยู่บนนั้น ทุกคนที่เข้ามารออยู่ในห้องนี้ต่างรู้ดีว่าพวกเขากำลังจะได้พบกับใคร
“โชคดีนะคะ” เธอกระซิบเบาๆ ขยิบตา ยิ้มให้เขา พร้อมกับเปิดประตูที่ดูธรรมดาบานนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และลืมความกังวลไปชั่วครู่
เขาก้าวเข้าไปในประตูแห่งชะตากรรม พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเสียงที่อบอุ่นจริงใจ เสียงที่ทำให้คุณรู้สึกยินดีอย่างไม่มีเหตุผล เสียงที่คุณจะได้ยินในงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อครอบครัวทั้งหมดมารวมตัวกัน ล้อมวงอยู่รอบโต๊ะพร้อมกับมื้ออาหารแห่งการเฉลิมฉลอง
“สวัสดีคุณทอย เชิญนั่งก่อนสิ”
เขามองสำรวจไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรก และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้
เขียว แดง คือสีหลักของห้อง ตัดกับเครื่องเรือนไม้เก่าแก่ที่มองดูราวกับเป็นฟอสซิวซากดึกดำบรรพ์ เป็นบรรพบุรุษของเครื่องเรือนทั้งหมด มันดิบเถื่อน ไร้การประดับประดาโดยสิ้นเชิง
'แต่สัดส่วน รูปทรง แบบนี้ยังคงให้ความสะดวกสบาย' เขาอดไม่ได้ที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้
“...ครับ คุณครอส”
เขาตอบพร้อมกับเดินเข้าไปจับมือกับชายชราร่างท้วมที่ไว้หนวดเคราขาวก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง ระหว่างทั้งสองมีเพียงโต๊ะทำงานเล็กๆ ขวางกั้นเอาไว้ ชายชราคนนี้สวมใส่ชุดสีแดงแต่ก็ไม่ได้ทำให้มองดูแปลกประหลาด หรือผิดที่ผิดทางแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม เขาไม่อาจจินตนาการถึงชายชราสวมใส่ชุดสีอื่นได้เลย
มันไม่ใช่สีแดงสด ไม่ใช่สีแดงที่ทำให้รู้สึกเบิกบานใจ แต่เป็นสีแดงอันเก่าแก่ สีแดงที่หมายถึงชีวิต สีแดงที่ทำให้มนุษย์นับแต่โบราณกาลทั้งยินดี และหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
สีแดงแห่งเลือด
“ผมขอแนะนำ คุณฟรอส เขาเป็นเสมียนมือดีที่สุดที่เรามี”
คุณครอสผายมือไปทางด้านซ้าย บนเก้าอี้ที่เขามั่นใจมากว่าไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรูสีฟ้า ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องตรงมาที่เขา ดวงตาอันเก่าแก่ที่คุณจะได้พบเห็นเมื่อพยายามจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างในค่ำคืนที่อากาศเหน็บหนาว และรู้ว่าจะได้พบเห็นหยาดน้ำแข็งแสนสวยงามตามสิ่งต่างๆ ในยามเช้าที่จะมาถึง
เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่ฉุกคิดได้ว่า เขาโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ภายในบ้านอันอบอุ่น นอนหลับอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่มสบาย โชคดีแค่ไหนที่เขาไม่ต้องอยู่ข้างนอกนั่น รับรู้ถึงความหนาวเย็นเสียดกระดูก และตระหนักถึงความตายที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ประกายน้ำแข็งอันงดงามเหล่านั้น
นั่นเป็นคำอธิบายถึงสายตาของคุณฟรอสในความคิดของเขา และเขาไม่แปลกใจในการผุดขึ้นอย่างฉับพลันของคนผู้นี้ เขาแค่รับรู้มัน เพิ่มลงไป ก็เท่านั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แต่ดวงตาสีฟ้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลย
“ยินดีเช่นกันครับ” เขาตัดสินใจที่จะไม่ยื่นมือออกไปเพื่อจับทักทาย
“เอาล่ะ เราเริ่มกันเลยดีไหม” คุณครอสเปิดแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า เอกสารใบแรกเป็นใบสมัครที่เขาคุ้นตา แต่รูปบนนั้นไม่ใช่ตัวเขา คุณครอสพลิกหน้าถัดไป เขาจึงได้เห็นรูปของชายร่างผอมสูง สวมแว่นตา ใบหน้าธรรมดาที่จะไม่ทิ้งความทรงจำให้กับผู้คนที่ได้พบเห็น แม้แต่ตัวเขาเองที่ต้องมองดูมันในกระจกทุกเช้าก็ยังรู้สึกประทับใจกับความไม่โดดเด่นนี้
“ดูเหมือนคุณจะไม่เคยมีประสบการณ์ในงานด้านนี้มาก่อน”
“ครับ” เขาไม่แน่ใจว่านั่นจะหมายถึงว่าดี หรือร้ายกันแน่
“แต่งานเก่าที่ผ่านมาของคุณก็...น่าประทับใจไม่น้อยเช่นกัน” ใบหน้าของคุณครอสที่อ่านใบสมัครไม่แสดงความประหลาดใจออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ผิดกับคุณฟรอสที่ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้านั้นจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่ดวงตาก็หรี่เล็กลงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมคุณถึงตัดสินใจเลิกทำงานนั้น ผมคิดว่ามันเป็นงานที่มั่นคงดีทีเดียว”
“ผมรู้สึกเบื่อ และอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ บ้างครับ” เขาพึ่งเคยได้ยินคนบอกว่างานเก่าของเขาเป็นงานที่มั่นคงด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นนี้
“งานขายของเล่นเป็นงานที่หนักมากนะ” คุณครอสปิดแฟ้มเอกสารพร้อมกับทำหน้าจริงจัง
“ครับ ผมคิดว่าผมทำได้” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องแปลกใจ ชายชราคนนี้เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าการเร่ขายของเล่นนั้นหนักหนายิ่งกว่างานเก่าที่เขาเคยผ่านมา
“นี่ไม่เหมือนกับงานที่คุณคุ้นเคย...ใช่ คุณคงไม่ต้องคอยรับฟังคำบ่นจากลูกค้า จากพ่อแม่ที่กำลังโกรธจัดพวกนั้น เรื่องของเล่นไม่ได้คุณภาพบ้าง เรื่องอันตรายที่เกิดจากการเล่นบ้าง เพราะพวกเขาไม่ยอมอ่านคำแนะนำที่พิมพ์ติดเอาไว้ เพราะลูกๆ ของพวกเขาเอามันไปเล่นผิดวิธี”
เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความโกรธของคุณครอส สีแดงเลือดบนชุดนั้นราวกับจะไหลหยาดหยดลงมา มันทำให้เขานึกถึงแท่นบูชาที่มีผู้คนรายล้อม เมื่อฤดูหนาวที่ยาวนานเคี่ยวกรำทรมานผู้คนจนความตายคล้ายจะเป็นความกรุณาที่เย้ายวน เมื่อคนที่ยังเหลือรอดอยู่มารวมตัวกัน ร่วมสวดภาวนาเพื่อเรียกหา แสงอาทิตย์ ความอบอุ่น เพื่อขับไล่ฤดูหนาวให้จากไป
และสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาตัดสินใจทำลงไป ณ แท่นบูชาแห่งนั้น
“คุณครอส ครับ” เสียงเย็นๆ ของคุณฟรอสดังขึ้น
“ขอโทษ ขอโทษ มันเป็นนิสัยเก่าของผมที่ยังเลิกไม่ได้เสียที ผมจะหมายถึงว่า ลูกค้าของคุณคงไม่เคยบ่น ไม่มีโอกาสได้บ่น และนายจ้างของคุณคงไม่เคยตำหนิอะไรคุณแบบรุนแรงมาก่อน ผมหมายถึงพวกเขาอาจไม่แตกต่างจากพ่อแม่ที่โกรธเกรี้ยวพวกนั้น แต่พวกเขาคงไม่ค่อยกล้าออกปากตำหนิผลงานของคุณ”
“ครับ แต่ก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด บางครั้งนายจ้างบางคนก็ไม่ทันนึกหรอกครับ ว่าสักวันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นลูกค้าของผม และผมอาจเพิ่มบริการพิเศษให้กับพวกเขาเป็นการส่วนตัว” เขายักไหล่ “ซึ่งผมก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลย ผมแยกแยะได้ ผมเป็นมืออาชีพพอ”
ทั้งคุณครอส และคุณฟรอส ต่างรู้สึกเย็นวาบกับคำตอบเรียบๆ ที่เขาใช้น้ำเสียงในการทำงานเก่า บางครั้งงานจะสามารถทิ้งความประทับใจลงในร่างกายได้ หากคนผู้นั้นตั้งใจ เข้าใจ และใส่ใจในงานของตนอย่างมาก เขามองเห็นการแลกเปลี่ยนทางสายตาของทั้งสอง แม้จะเพียงชั่วพริบตา มันก็เป็นนิสัยจากงานเก่าที่เขาคงไม่อาจเลิกได้ง่ายๆ เช่นกัน
“เอาล่ะคุณทอย ผมคิดว่าเราได้ข้อมูลมากพอแล้ว เราจะรีบตัดสินใจ แล้วแจ้งผลให้คุณทราบโดยเร็ว”
“ครับ” เขาเก็บซ่อนความเสียใจที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับเข้าทำงานทันทีเอาไว้ เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปจับกับมือหนานุ่มอบอุ่นของคุณครอสอีกครั้ง และตัดสินใจยื่นมันไปเบื้องหน้าคุณฟรอสด้วย คุณฟรอสลังเล แต่ก็ยื่นมือออกมาจับโดยดี
มันเย็นเฉียบอย่างที่เขาคาดไว้
ประตูห้องเก่าแก่นี้ปิดลง พร้อมกับความเงียบ คุณครอสยังรอคอยอยู่อีกครู่ก่อนเอ่ยปากขึ้น
“น่าสนใจ เป็นคนที่น่าสนใจดีทีเดียว”
“แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเหมาะกับการเป็นพนักงานขายของเรา” คุณฟรอสขัดขึ้น
“เขามีประสบการณ์การทำงานที่ดี...ซึ่งมันก็อาจพอจะนับเป็นงานขายได้เหมือนกันนะ” คุณครอสเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง
“การขายสิ่งที่ลูกค้าไม่อาจปฏิเสธได้แบบนั้น ผมไม่นับหรอกครับ” คุณฟรอสพูดด้วยน้ำเสียงเย็น และมันแทบจะจับตัวแข็งในอากาศ
“และเขายังมีหนังสือรับรองผลงานที่โดดเด่นอีกด้วย” คุณครอสพูดต่อ ไม่ใส่ใจคุณฟรอส
เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเลขาสาวก็แง้มประตูเข้ามาพร้อมกับมองสำรวจไปทั่วห้องด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรหรือคุณสโนว” คุณครอสถาม
“เอ่อ คุณทอยอยู่ไหนคะ”
คุณครอส กับคุณฟรอสมองหน้ากัน ครั้งนี้คุณฟรอสเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ “เขากลับไปสักพักหนึ่งแล้ว”
“หรือคะ” เลขาสาวทำหน้าแปลกใจ “...ฉันไม่เห็นตอนที่เขากลับออกไปเลย สงสัยว่าฉันคงตั้งใจทำงานมากเกินไปหน่อยเลยไม่รู้ตัว” แต่ดูเหมือนเธอเองก็ไม่ได้พอใจกับคำอธิบายของตนเองนั้นมากนัก
“อ้อ คุณสโนว แล้วอาจารย์แจ็คติดต่อเข้ามาหรือยัง” คุณครอสเอ่ยถาม
“ยังเลยค่ะ ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องสัญญาณในบริเวณนั้น ดิฉันจะพยายามติดต่อ แล้วแจ้งให้ท่านทราบทันทีค่ะ”
คุณครอสพยักหน้า ก่อนที่เธอจะปิดประตูไว้เหมือนเดิม คุณครอส กับคุณฟรอสมองหน้ากันอีกครั้ง
“คงเป็นเพราะงานเก่าของเขา” คุณครอสพึมพำ
“คงเป็นแบบนั้นแหละครับ” คุณฟรอสเห็นด้วย และในส่วนลึกของหัวใจ เขาก็รู้สึกโล่งอกที่คนอย่างทอยก้าวออกจากงานแบบนั้น เพราะธุรกิจของเล่นนี้ก็มีการแข่งขันที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มีใครมั่นใจได้ว่าการแข่งขันนั้นจะไม่ก้าวเกินไปสู่มุมมืดที่ไม่มีใครอยากเอ่ยถึงนั้น
ทอย (1)
เขาล้วงนาฬิกาพกออกมาเปิดดูเวลา ภายนอกของมันเป็นโลหะสีเงินไร้ลวดลาย แต่ภายใต้ฝานั้นเป็นหน้าปัดทำด้วยกระจกใสเปิดเผยให้เห็นกลไกฟันเฟืองชิ้นเล็กๆ จำนวนมาก หลากรูปแบบ หลายขนาด ขยับหมุนไปมาตามจังหวะที่ถูกกำหนดเอาไว้ในการวัดความยาวของเวลา
'พึ่งผ่านมาแค่สิบนาทีเท่านั้นเอง'
ทั้งๆ ที่เขาคิดว่ามันน่าจะนานสักครึ่งชั่วโมงได้แล้ว เวลาเป็นสิ่งที่เที่ยงตรงมิใช่หรือ แต่ทำไมมันกลับยืดหดได้ด้วยเพียงแค่การคิดคำนึงของแต่ละบุคคลเช่นนี้
“...ทีมสำรวจของผมได้ค้นพบเงื่อนงำสำคัญที่อาจเป็นทางเข้าสู่โบราณสถานเก่าแก่ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ เมฆาปราสาท และคาดว่าจะสามารถหาทางเข้าไปได้ในไม่ช้าครับ”
เสียงพูดคุยจากโทรทัศน์ดึงให้เขากลับไปสนใจอีกครั้ง บนหน้าจอกำลังแสดงภาพของชายผิวคล้ำสวมหมวกแบบนักผจญภัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ดังเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มันปกปิดใบหน้าคมเข้มของเขาไว้บางส่วน ส่วนฉากหลังนั้นเป็นแนวต้นไม้ ตัดกับซากของสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ทำจากหินก้อนใหญ่
“อาจารย์แจ็ค เชื่อเรื่องสมบัติล้ำค่าที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในสถานที่แห่งนั้นหรือเปล่าคะ” ผู้รายงานข่าวสาวเอ่ยถามจากภายในห้องส่งผ่านระบบสนทนาทางไกล
“การค้นพบ โดยตัวของมันเองก็นับเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากแล้ว...” เขาตอบเลี่ยงๆ ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะถูกรบกวนจนพร่าเลือน และหายไปในที่สุด
“สัญญาณภาพขาดหายไปแล้วค่ะ เมื่อครู่นี้เป็นการพูดคุยทางไกลกับ อาจารย์แจ็ค...” เธอก้มมองกระดาษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว “แอนตี้ ไจแอน แจ็ค นักสำรวจชื่อดังจากสถานที่ขุดค้นล่าสุดในบริเวณภูเขาบีน” เธอเงยหน้ามองกล้องสบตากับคนดูนับล้านที่กำลังติดตามข่าวนี้อยู่ “และหากมีความคืบหน้า หรือการค้นพบที่น่าสนใจ ทางเราจะรีบนำเสนอข่าวทันทีค่ะ”
“...คุณทอยคะ” เสียงเรียกของเลขาทำให้เขาสะดุ้ง ละสายตาออกจากหน้าจอ ตอนนี้เธอยืนอยู่ที่ข้างโต๊ะของตัวเองแล้ว เขาพึ่งเห็นว่าชุดเข้ารูปที่เธอสวมใส่อยู่ก็เป็นสีขาวล้วนเช่นกัน “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ฉันเรียกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว”
“ไม่ครับ ผมสบายดี” เขารีบตอบพร้อมพยายามฝืนยิ้ม และทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางโทรทัศน์ “ผมคงตั้งใจฟังข่าวมากไป พอดีเรื่องราวมันน่าสนใจครับ”
“ค่ะ” เธอยิ้มตอบ “ท่านประธานเองก็ดูเหมือนจะสนใจข่าวเรื่องการค้นพบเมฆาปราสาทนี้อยู่เหมือนกัน” เขารีบจดจำข้อมูลนี้เอาไว้ เพราะบางทีมันอาจจะมีประโยชน์บ้างก็เป็นได้
ห้องนี้มีประตูอยู่เพียงสองบาน หนึ่งคือบานที่เขาผ่านเข้ามา ส่วนอีกบานคือประตูที่เธอกำลังเดินนำเขาไป มันไม่มีป้ายใดๆ ติดอยู่บนนั้น ทุกคนที่เข้ามารออยู่ในห้องนี้ต่างรู้ดีว่าพวกเขากำลังจะได้พบกับใคร
“โชคดีนะคะ” เธอกระซิบเบาๆ ขยิบตา ยิ้มให้เขา พร้อมกับเปิดประตูที่ดูธรรมดาบานนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และลืมความกังวลไปชั่วครู่
เขาก้าวเข้าไปในประตูแห่งชะตากรรม พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเสียงที่อบอุ่นจริงใจ เสียงที่ทำให้คุณรู้สึกยินดีอย่างไม่มีเหตุผล เสียงที่คุณจะได้ยินในงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อครอบครัวทั้งหมดมารวมตัวกัน ล้อมวงอยู่รอบโต๊ะพร้อมกับมื้ออาหารแห่งการเฉลิมฉลอง
“สวัสดีคุณทอย เชิญนั่งก่อนสิ”
เขามองสำรวจไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรก และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้
เขียว แดง คือสีหลักของห้อง ตัดกับเครื่องเรือนไม้เก่าแก่ที่มองดูราวกับเป็นฟอสซิวซากดึกดำบรรพ์ เป็นบรรพบุรุษของเครื่องเรือนทั้งหมด มันดิบเถื่อน ไร้การประดับประดาโดยสิ้นเชิง
'แต่สัดส่วน รูปทรง แบบนี้ยังคงให้ความสะดวกสบาย' เขาอดไม่ได้ที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้
“...ครับ คุณครอส”
เขาตอบพร้อมกับเดินเข้าไปจับมือกับชายชราร่างท้วมที่ไว้หนวดเคราขาวก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง ระหว่างทั้งสองมีเพียงโต๊ะทำงานเล็กๆ ขวางกั้นเอาไว้ ชายชราคนนี้สวมใส่ชุดสีแดงแต่ก็ไม่ได้ทำให้มองดูแปลกประหลาด หรือผิดที่ผิดทางแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม เขาไม่อาจจินตนาการถึงชายชราสวมใส่ชุดสีอื่นได้เลย
มันไม่ใช่สีแดงสด ไม่ใช่สีแดงที่ทำให้รู้สึกเบิกบานใจ แต่เป็นสีแดงอันเก่าแก่ สีแดงที่หมายถึงชีวิต สีแดงที่ทำให้มนุษย์นับแต่โบราณกาลทั้งยินดี และหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
สีแดงแห่งเลือด
“ผมขอแนะนำ คุณฟรอส เขาเป็นเสมียนมือดีที่สุดที่เรามี”
คุณครอสผายมือไปทางด้านซ้าย บนเก้าอี้ที่เขามั่นใจมากว่าไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรูสีฟ้า ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องตรงมาที่เขา ดวงตาอันเก่าแก่ที่คุณจะได้พบเห็นเมื่อพยายามจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างในค่ำคืนที่อากาศเหน็บหนาว และรู้ว่าจะได้พบเห็นหยาดน้ำแข็งแสนสวยงามตามสิ่งต่างๆ ในยามเช้าที่จะมาถึง
เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่ฉุกคิดได้ว่า เขาโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ภายในบ้านอันอบอุ่น นอนหลับอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่มสบาย โชคดีแค่ไหนที่เขาไม่ต้องอยู่ข้างนอกนั่น รับรู้ถึงความหนาวเย็นเสียดกระดูก และตระหนักถึงความตายที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ประกายน้ำแข็งอันงดงามเหล่านั้น
นั่นเป็นคำอธิบายถึงสายตาของคุณฟรอสในความคิดของเขา และเขาไม่แปลกใจในการผุดขึ้นอย่างฉับพลันของคนผู้นี้ เขาแค่รับรู้มัน เพิ่มลงไป ก็เท่านั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แต่ดวงตาสีฟ้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลย
“ยินดีเช่นกันครับ” เขาตัดสินใจที่จะไม่ยื่นมือออกไปเพื่อจับทักทาย
“เอาล่ะ เราเริ่มกันเลยดีไหม” คุณครอสเปิดแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า เอกสารใบแรกเป็นใบสมัครที่เขาคุ้นตา แต่รูปบนนั้นไม่ใช่ตัวเขา คุณครอสพลิกหน้าถัดไป เขาจึงได้เห็นรูปของชายร่างผอมสูง สวมแว่นตา ใบหน้าธรรมดาที่จะไม่ทิ้งความทรงจำให้กับผู้คนที่ได้พบเห็น แม้แต่ตัวเขาเองที่ต้องมองดูมันในกระจกทุกเช้าก็ยังรู้สึกประทับใจกับความไม่โดดเด่นนี้
“ดูเหมือนคุณจะไม่เคยมีประสบการณ์ในงานด้านนี้มาก่อน”
“ครับ” เขาไม่แน่ใจว่านั่นจะหมายถึงว่าดี หรือร้ายกันแน่
“แต่งานเก่าที่ผ่านมาของคุณก็...น่าประทับใจไม่น้อยเช่นกัน” ใบหน้าของคุณครอสที่อ่านใบสมัครไม่แสดงความประหลาดใจออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ผิดกับคุณฟรอสที่ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้านั้นจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่ดวงตาก็หรี่เล็กลงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมคุณถึงตัดสินใจเลิกทำงานนั้น ผมคิดว่ามันเป็นงานที่มั่นคงดีทีเดียว”
“ผมรู้สึกเบื่อ และอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ บ้างครับ” เขาพึ่งเคยได้ยินคนบอกว่างานเก่าของเขาเป็นงานที่มั่นคงด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นนี้
“งานขายของเล่นเป็นงานที่หนักมากนะ” คุณครอสปิดแฟ้มเอกสารพร้อมกับทำหน้าจริงจัง
“ครับ ผมคิดว่าผมทำได้” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องแปลกใจ ชายชราคนนี้เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าการเร่ขายของเล่นนั้นหนักหนายิ่งกว่างานเก่าที่เขาเคยผ่านมา
“นี่ไม่เหมือนกับงานที่คุณคุ้นเคย...ใช่ คุณคงไม่ต้องคอยรับฟังคำบ่นจากลูกค้า จากพ่อแม่ที่กำลังโกรธจัดพวกนั้น เรื่องของเล่นไม่ได้คุณภาพบ้าง เรื่องอันตรายที่เกิดจากการเล่นบ้าง เพราะพวกเขาไม่ยอมอ่านคำแนะนำที่พิมพ์ติดเอาไว้ เพราะลูกๆ ของพวกเขาเอามันไปเล่นผิดวิธี”
เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความโกรธของคุณครอส สีแดงเลือดบนชุดนั้นราวกับจะไหลหยาดหยดลงมา มันทำให้เขานึกถึงแท่นบูชาที่มีผู้คนรายล้อม เมื่อฤดูหนาวที่ยาวนานเคี่ยวกรำทรมานผู้คนจนความตายคล้ายจะเป็นความกรุณาที่เย้ายวน เมื่อคนที่ยังเหลือรอดอยู่มารวมตัวกัน ร่วมสวดภาวนาเพื่อเรียกหา แสงอาทิตย์ ความอบอุ่น เพื่อขับไล่ฤดูหนาวให้จากไป
และสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาตัดสินใจทำลงไป ณ แท่นบูชาแห่งนั้น
“คุณครอส ครับ” เสียงเย็นๆ ของคุณฟรอสดังขึ้น
“ขอโทษ ขอโทษ มันเป็นนิสัยเก่าของผมที่ยังเลิกไม่ได้เสียที ผมจะหมายถึงว่า ลูกค้าของคุณคงไม่เคยบ่น ไม่มีโอกาสได้บ่น และนายจ้างของคุณคงไม่เคยตำหนิอะไรคุณแบบรุนแรงมาก่อน ผมหมายถึงพวกเขาอาจไม่แตกต่างจากพ่อแม่ที่โกรธเกรี้ยวพวกนั้น แต่พวกเขาคงไม่ค่อยกล้าออกปากตำหนิผลงานของคุณ”
“ครับ แต่ก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด บางครั้งนายจ้างบางคนก็ไม่ทันนึกหรอกครับ ว่าสักวันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นลูกค้าของผม และผมอาจเพิ่มบริการพิเศษให้กับพวกเขาเป็นการส่วนตัว” เขายักไหล่ “ซึ่งผมก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลย ผมแยกแยะได้ ผมเป็นมืออาชีพพอ”
ทั้งคุณครอส และคุณฟรอส ต่างรู้สึกเย็นวาบกับคำตอบเรียบๆ ที่เขาใช้น้ำเสียงในการทำงานเก่า บางครั้งงานจะสามารถทิ้งความประทับใจลงในร่างกายได้ หากคนผู้นั้นตั้งใจ เข้าใจ และใส่ใจในงานของตนอย่างมาก เขามองเห็นการแลกเปลี่ยนทางสายตาของทั้งสอง แม้จะเพียงชั่วพริบตา มันก็เป็นนิสัยจากงานเก่าที่เขาคงไม่อาจเลิกได้ง่ายๆ เช่นกัน
“เอาล่ะคุณทอย ผมคิดว่าเราได้ข้อมูลมากพอแล้ว เราจะรีบตัดสินใจ แล้วแจ้งผลให้คุณทราบโดยเร็ว”
“ครับ” เขาเก็บซ่อนความเสียใจที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับเข้าทำงานทันทีเอาไว้ เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปจับกับมือหนานุ่มอบอุ่นของคุณครอสอีกครั้ง และตัดสินใจยื่นมันไปเบื้องหน้าคุณฟรอสด้วย คุณฟรอสลังเล แต่ก็ยื่นมือออกมาจับโดยดี
มันเย็นเฉียบอย่างที่เขาคาดไว้
ประตูห้องเก่าแก่นี้ปิดลง พร้อมกับความเงียบ คุณครอสยังรอคอยอยู่อีกครู่ก่อนเอ่ยปากขึ้น
“น่าสนใจ เป็นคนที่น่าสนใจดีทีเดียว”
“แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเหมาะกับการเป็นพนักงานขายของเรา” คุณฟรอสขัดขึ้น
“เขามีประสบการณ์การทำงานที่ดี...ซึ่งมันก็อาจพอจะนับเป็นงานขายได้เหมือนกันนะ” คุณครอสเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง
“การขายสิ่งที่ลูกค้าไม่อาจปฏิเสธได้แบบนั้น ผมไม่นับหรอกครับ” คุณฟรอสพูดด้วยน้ำเสียงเย็น และมันแทบจะจับตัวแข็งในอากาศ
“และเขายังมีหนังสือรับรองผลงานที่โดดเด่นอีกด้วย” คุณครอสพูดต่อ ไม่ใส่ใจคุณฟรอส
เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเลขาสาวก็แง้มประตูเข้ามาพร้อมกับมองสำรวจไปทั่วห้องด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรหรือคุณสโนว” คุณครอสถาม
“เอ่อ คุณทอยอยู่ไหนคะ”
คุณครอส กับคุณฟรอสมองหน้ากัน ครั้งนี้คุณฟรอสเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ “เขากลับไปสักพักหนึ่งแล้ว”
“หรือคะ” เลขาสาวทำหน้าแปลกใจ “...ฉันไม่เห็นตอนที่เขากลับออกไปเลย สงสัยว่าฉันคงตั้งใจทำงานมากเกินไปหน่อยเลยไม่รู้ตัว” แต่ดูเหมือนเธอเองก็ไม่ได้พอใจกับคำอธิบายของตนเองนั้นมากนัก
“อ้อ คุณสโนว แล้วอาจารย์แจ็คติดต่อเข้ามาหรือยัง” คุณครอสเอ่ยถาม
“ยังเลยค่ะ ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องสัญญาณในบริเวณนั้น ดิฉันจะพยายามติดต่อ แล้วแจ้งให้ท่านทราบทันทีค่ะ”
คุณครอสพยักหน้า ก่อนที่เธอจะปิดประตูไว้เหมือนเดิม คุณครอส กับคุณฟรอสมองหน้ากันอีกครั้ง
“คงเป็นเพราะงานเก่าของเขา” คุณครอสพึมพำ
“คงเป็นแบบนั้นแหละครับ” คุณฟรอสเห็นด้วย และในส่วนลึกของหัวใจ เขาก็รู้สึกโล่งอกที่คนอย่างทอยก้าวออกจากงานแบบนั้น เพราะธุรกิจของเล่นนี้ก็มีการแข่งขันที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มีใครมั่นใจได้ว่าการแข่งขันนั้นจะไม่ก้าวเกินไปสู่มุมมืดที่ไม่มีใครอยากเอ่ยถึงนั้น