ธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ต้องเข้ากันได้กับเรื่องไม่ให้ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง

กระทู้สนทนา
พระพุทธเจ้าได้ทรงสรุปคำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์ไว้ในประโยคที่ว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน-ของตน"

อธิบายได้ว่า เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันไม่เที่ยง ดังนั้นสิ่งทั้งหลายจึงไม่สามารถเป็นไปตามที่เราอยากจะให้เป็นได้เสมอไป เมื่อเราอยากจะให้สิ่งใดเป็นไปตามที่เราอยากจะให้เป็น แล้วมันเป็นไปตามที่เราอยาก เราก็พอจะมีความสุข

แต่ว่าเพราะความไม่เที่ยง ดังนั้นจึงต้องมีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่เราอยากจะให้เป็นเกิดขึ้นมาเสมอๆ เช่น ร่างกายแก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งรัก ประสบกับสิ่งไม่รัก และความผิดหวัง จึงทำให้จิตโง่ที่ยึดถือนั้นเกิดความเศร้าโศกเสียใจหรือเป็นทุกข์ขึ้นมา

สาเหตุที่สิ่งทั้งหลาย(โดยเฉพาะขันธ์ ๕ ที่รวมตัวกันเกิดเป็นร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกว่าเป็นเรานี่เอง)ไม่เที่ยงก็เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยของมัน(ตามกฏสูงสุดของธรรมชาติที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา) ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลาย จึงหาตัวตนที่แท้จริง(อัตตา) ที่เป็นอมตะ (ไม่ตายหรือมีอยู่ไปชั่วนิรันดร) ไม่มี (ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าอนัตตาที่แปลว่า ไม่ใช่อัตตา)

เมื่อจิตใดมีปัญญา(คือเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า "แท้จริงมันไม่ได้มีตัวตนที่เป็นเราและใครๆอยู่จริง")และสมาธิ(คือจิตที่บริสุทธ์-ตั้งมั่น-อ่อนโยน)เพียงพอ จิตนี้ก็จะไม่ยึดถือสิ่งใดๆว่าเป็นตัวตน-ของตน แล้วจิตนี้ก็จะไม่มีทุกข์(ความรู้สึกที่ทนได้ยากมาก) เมื่อจิตไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น หรือที่เราสมมติเรียกกันว่า นิพพาน ที่หมายถึง ความสงบเย็นของจิตใจ

นี่คือการสรุปคำสอนเรื่องการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งธรรมะหรือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า จะมาสรุปอยู่ในเรื่องอริยสัจ ๔ นี้ทั้งสิ้น ถ้าคำสอนใดที่เข้ากันไม่ได้กับหลักคำสอนนี้ คำสอนนั้นจัดว่าไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า อย่างเช่นเรื่องการมีตัวตน(อัตตา)เกิดมาใหม่เพื่อรับผลกรรมในชาติหน้า รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า รวมทั้งเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อน เป็นต้นด้วย อย่างที่ช่าวพุทธในปัจจุบันกำลังเข้าใจผิดกันอยู่ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่