"การบินไทย" อ่วม รายได้ไตรมาสที่ 2 ปี 56 ทรุด เจอพิษค่าเงินผันผวนเล่นงาน เร่งปรับแผนรุกตลาด เพิ่มยอดขายครึ่งปีหลัง

การบินไทยทรุด ผลประกอบการ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 แย่กว่าทุกปี เหตุเจอวิกฤตค่าเงิน ทั้งเงินสกุล บาท, ดอลลาร์, ยูโร และ เยน เฉพาะเส้นทางญี่ปุ่น รายได้ค่าตั๋วหายวับไป 17% ปรับแผนการตลาด 6 เดือนหลังใหม่ ชูญี่ปุ่นให้เป็นตลาดหลักของลูกค้าเกรดพรีเมี่ยม คาดยกเลิกวีซ่าหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่ม ต.ค.นี้ เตรียมเปิดรู้ทบินญี่ปุ่นที่เมือง เซนได และ เมือง ฮิโรชิม่า เพิ่มขึ้นอีก ส่วนจีนจะเปิดเส้นทางไปเมืองฉางซา และ เมืองฉงชิ่ง มั่นใจรายได้ทั้งปี 56 ยังโตได้ 11% ตามเป้าหมาย


       
       นายสรจักร เกษมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยจะมีการปรับแผนธุรกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2556 ใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีปัญหาจาก ค่าเงินยูโร ค่าเงินดอลลาร์ และ เงินเยนอ่อน รวมถึงจำนวนที่นั่งของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอีก 9% จากการรับมอบเครื่องบินใหม่จำนวน 17 ลำภายในปีนี้เพื่อให้รายได้ปี 2556 ยังคงเติบโต 11% จากปีก่อน โดยเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 224,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แผนธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด ของ 6 เดือนหลังนี้จะต้องสามารถทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งนายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการพาณิชย์ จะเป็นผู้ดำเนินการพร้อมกับประสานกับทุกฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนแผนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและบรรลุเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้

       
       นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการพาณิชย์ การบินไทย กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2556 ซึ่งเป็นช่วง Low Season อยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ในเดือนพฤษภาคม ปี 56 ถือว่าลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดย Cabin Factor เส้นทางระหว่างประเทศเฉลี่ย 66.1% เส้นทางในประเทศ 72.6% ขณะที่ Cabin Factor รวมของ 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค. 56) เฉลี่ย 76.3% ใกล้เคียงปี 55 ที่มีเฉลี่ย 76.9% แต่ผลประกอบการไตรมาส 2/56 ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้รายได้ที่เป็นเงินเยนลดลงประมาณ 17% ดังนั้นภายใน 1 สัปดาห์นี้จะต้องเร่งทำแผนธุรกิตเชิงรุกเพื่อทำให้รายได้และกำไรของปี 2556 ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยอย่างน้อยต้องเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการไตรมาส 2/56 ให้ได้ประมาณ 10-15%
       


       “ผลประกอบการไตรมาส 2/56 คาดว่า น่าจะปริ่มๆ ไม่ถึงกับขาดทุน ซึ่งปกติเป็นช่วงที่ต่ำของทุกปีอยู่แล้ว แต่ว่าปีนี้ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงจากค่าเงินที่ผันผวน โดยการบินไทยมีรายได้เป็นเงินบาท 30% เงินเยน 20% ยูโร 30% ดอลลาร์สหรัฐ 10% สกุลอื่นๆ 10% ซึ่งความเสี่ยงที่จะกระทบต่อผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังคือความผันผวนของเงินยูโรเพราะยุโรปยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ และ ธุรกิจสายการบินที่จะแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีสายการบินใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกหลายสาย” นายโชคชัยกล่าว
       



       นายโชคชัยกล่าวว่า ใน 6 เดือนหลังจะเน้นกลยุทธ์ “บุกหนัก” ทั้งด้านบริการ การเพิ่มจำนวนผู้โดยสารเพื่อให้เกิดผลตอบแทนทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม โดยมุ่งเป้าหมายประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตลาดหลัก และคาดว่าจะมีการตอบสนองที่ดีเนื่องจากมีการยกเว้นวีซ่าทำให้การเดินทางสะดวก และค่าเงินเยนอ่อน จะทำให้ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง 17-20% ส่วนการที่โลว์คอสต์แอร์ไลน์ อย่างแอร์เอเชีย จะเปิดเส้นทางบินไปญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบเพราะญี่ปุ่นเราเป็นตลาดพรีเมี่ยม


       

       โดยในเดือนตุลาคมจะเปิดบินไปประเทศญี่ปุ่น 2 เมือง คือ เมือง เซนได และ เมือง ฮิโรชิม่า 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ และเพิ่มเป็น 5-7 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ในเดือนมกราคม 2557 ส่วนประเทศจีนจะเปิดเส้นทางบินเพิ่มไปที่ เมืองฉางซา และ เมืองฉงชิ่ง ขณะที่ยุโรปนั้น ถึงแม้เศรษฐกิจจะยังไม่ค่อยดี แต่เป็นตลาดที่มีความแข็งแรง โดยเฉพาะประเทศในแถบกลุ่มสแกนดิเนเวีย และ รัสเซีย จะเพิ่มเที่ยวบินไปมอสโก ซึ่งแผนธุรกิจจะเพิ่มสัดส่วนรายได้เส้นทางภูมิภาคปีนี้จาก 45% เป็น 50% ส่วนยุโรปลดจาก 45% เหลือ 40% ในประเทศคงเดิมที่ 10% โดยเชื่อว่าเส้นทางบินของการบินไทย ไทยสมายล์ และ นกแอร์ จะครอบคลุมตลาด โดยการบินไทยจะบินเส้นทางในประเทศหลัก คือ ภูเก็ต, เชียงใหม่, กระบี่, สมุย เพราะจะเชื่อมเครือข่ายทำให้การต่อเครื่องมีความสะดวก ส่วนไทยสมายล์ให้บินในเส้นทางย่อย
       


       อย่างไรก็ตาม นายสรจักรได้ตั้งคณะกรรมการฝ่ายบริหารชุดเล็กขึ้นมาเพื่อติดตามประเมินสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยจะมีการประชุมร่วมกันทั่วโลกเพื่อปรับเปลี่ยนได้ทันเวลา ซึ่งการปรับแผน 6 เดือนหลังเพื่อให้กำไรที่ 6,000 ล้านบาทของปีนี้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนเครื่องบินใหม่ 17 ลำที่จะรับมอบจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงลง 3-4% ต่อปี จากปัจจุบันที่มีค่าใช้จ่ายน้ำมันอยู่ประมาณ 8.2 หมื่นล้านบาทต่อปี








        http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000081114

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่