นโยบายโครงการจำนำข้าว ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังนำประเทศที่มีฐานความมั่นคงอาหารอย่างข้าว เข้าสู่ภาวะวิกฤติ โดยการบริหารจัดการที่ล้มเหลว ที่ล่าสุดรัฐบาลกลับลำยืนราคาเดิม รับจำนำข้าวไว้ที่ราคา 1.5 หมื่นต่อตัน ถึงวันที่ 15 ก.ย. หลังจากที่ประสบสภาวะขาดทุนจนต้องประกาศปรับลดราคา จนนำมาสู่การเคลื่อนไหวตอบโต้ของกลุ่มชาวนาจากทั่วประทศ
ขณะที่ฤดูกาลต่อไปนั้น รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนถึงราคา โดยกล่าวอ้างว่าจะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสม และภาวการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ ราคาข้าวในตลาดโลก ฐานะการคลัง แนวทางการระบายข้าว อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการพิจารณาทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ข้อมูลในขณะนั้นว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร เพื่อให้ราคาสอดคล้องกับความน่าจะเป็น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังเล่นการเมืองบนผลประโยชน์เรื่องข้าว ปั่นหัวชาวนาโดยใช้พวกเขาเป็นตัวประกันเพื่อสนองผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะความชั่วร้ายจากวิธีคิดเอาแต่ได้ ตกเขียวล่วงหน้าชาวนา เพื่อผลประโยชน์คะแนนเสียง ด้วยการมัดชาวนาไว้กับราคาข้าวตันละ 15,000 บาท
หลักเกณฑ์ถูกปรับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โดยรัฐบาลแลกกับความเสียหายมหาศาลในระยะยาว ทั้งด้านความเชื่อมั่นและงบประมาณ ละเลยปัญหาใหญ่นั้นคือการกวาดล้างการทุจริตคอรัปชั่น ที่เป็นปัญหาใหญ่อย่างแท้จริง มากกว่าการพยายามปรับลดราคา การเร่งระบายข้าว และพัฒนาคุณภาพข้าว
มาตรการสำคัญอย่าง ระบบบริหารจัดการ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เน้นลดต้นทุนการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้อย่างยั่งยืน ไม่เคยถูกกล่าวถึง หากเทียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศเวียดนาม ที่วันนี้ผงาดแซงไทยขึ้นเป็นคู่แข่งสำคัญของอินเดียแทน
โดยเฉพาะมาตรการสำคัญของประเทศเวียดนาม ที่น่าสนใจนั้นคือ 3 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดปริมาณเมล็ดให้เหมาะสมต่อพื้นที่เพาะปลูก, ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช เพิ่มผลผลิต, เพิ่มคุณภาพ และเพิ่มกำไร ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว ทำให้ชาวนาเวียดนามมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15-20
ขณะเดียวกัน ต้องจับตามาตรการโซนนิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่กำลังหาทางออกสำคัญวิกฤติข้าวเพื่อลอยตัวในอนาคต ด้วยการอ้างเหตุเพื่อจะมีการพัฒนาคุณภาพข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด จัดระบบการปลูกข้าวในพื้นที่ชลประทาน แต่ความจริงแล้ว คือการจำกัดไม่ให้ชาวนาปลูกข้าว ต้นเหตุจากความผิดพลาดนโยบายโครงการรับจำนำข้าวที่ทุจริตมโหฬาร ส่งผลให้ทำลายอู่ข้าวฐานการผลิตเลี้ยงชีวิตคนไทยให้

ทั้งประเทศ!
ที่มา:
http://www.thaipost.net/news/020713/75824
ปล.นี่แหล่ะนักการเมือง ไม่สนใจว่าเสียหายเท่าไหร่ ไม่ใช่เงินตรู...เอิ๊ก ๆ ๆ
ข้าว การเมือง อิบอ๋าย!
ขณะที่ฤดูกาลต่อไปนั้น รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนถึงราคา โดยกล่าวอ้างว่าจะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสม และภาวการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ ราคาข้าวในตลาดโลก ฐานะการคลัง แนวทางการระบายข้าว อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการพิจารณาทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ข้อมูลในขณะนั้นว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร เพื่อให้ราคาสอดคล้องกับความน่าจะเป็น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังเล่นการเมืองบนผลประโยชน์เรื่องข้าว ปั่นหัวชาวนาโดยใช้พวกเขาเป็นตัวประกันเพื่อสนองผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะความชั่วร้ายจากวิธีคิดเอาแต่ได้ ตกเขียวล่วงหน้าชาวนา เพื่อผลประโยชน์คะแนนเสียง ด้วยการมัดชาวนาไว้กับราคาข้าวตันละ 15,000 บาท
หลักเกณฑ์ถูกปรับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โดยรัฐบาลแลกกับความเสียหายมหาศาลในระยะยาว ทั้งด้านความเชื่อมั่นและงบประมาณ ละเลยปัญหาใหญ่นั้นคือการกวาดล้างการทุจริตคอรัปชั่น ที่เป็นปัญหาใหญ่อย่างแท้จริง มากกว่าการพยายามปรับลดราคา การเร่งระบายข้าว และพัฒนาคุณภาพข้าว
มาตรการสำคัญอย่าง ระบบบริหารจัดการ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เน้นลดต้นทุนการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้อย่างยั่งยืน ไม่เคยถูกกล่าวถึง หากเทียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศเวียดนาม ที่วันนี้ผงาดแซงไทยขึ้นเป็นคู่แข่งสำคัญของอินเดียแทน
โดยเฉพาะมาตรการสำคัญของประเทศเวียดนาม ที่น่าสนใจนั้นคือ 3 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดปริมาณเมล็ดให้เหมาะสมต่อพื้นที่เพาะปลูก, ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช เพิ่มผลผลิต, เพิ่มคุณภาพ และเพิ่มกำไร ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว ทำให้ชาวนาเวียดนามมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15-20
ขณะเดียวกัน ต้องจับตามาตรการโซนนิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่กำลังหาทางออกสำคัญวิกฤติข้าวเพื่อลอยตัวในอนาคต ด้วยการอ้างเหตุเพื่อจะมีการพัฒนาคุณภาพข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด จัดระบบการปลูกข้าวในพื้นที่ชลประทาน แต่ความจริงแล้ว คือการจำกัดไม่ให้ชาวนาปลูกข้าว ต้นเหตุจากความผิดพลาดนโยบายโครงการรับจำนำข้าวที่ทุจริตมโหฬาร ส่งผลให้ทำลายอู่ข้าวฐานการผลิตเลี้ยงชีวิตคนไทยให้
ที่มา:http://www.thaipost.net/news/020713/75824
ปล.นี่แหล่ะนักการเมือง ไม่สนใจว่าเสียหายเท่าไหร่ ไม่ใช่เงินตรู...เอิ๊ก ๆ ๆ