เกร็ดสามก๊ก ๑ ก.ค.๕๖

กระทู้สนทนา
เกร็ดสามก๊ก

ผลัดแผ่นดิน

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อได้เล่าถึงการขบถระหว่างขุนนาง ซึ่งแย่งอำนาจกันเองในแผ่นดินพระเจ้า โจมอแห่งวุยก๊ก ทั้งสองครั้งแล้ว ก็เลยจะเล่าถึงการขบถ ที่ขุนนางกระทำต่อฮ่องเต้ ทั้งที่เป็นการเปลี่ยนฮ่องเต้ และทำเพื่อยกตนเองให้เป็นฮ่องเต้แทน ซึ่งมีอยู่หลายครั้ง เว้นแต่จ๊กก๊กซึ่งมีฮ่องเต้ได้เพียงสององค์ คือพระเจ้าเล่าปี่ และพระเจ้าเล่าเสี้ยน ก็เสียแผ่นดินให้แก่วุยก๊กด้วยความอ่อนแอของตนเอง

ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๗๓๓ ตั๋งโต๊ะเป็นใหญ่อยู่ในราชธานีลกเอี๋ยง มีความเห็นว่า หองจูเปียน ซึ่งเป็นฮ่องเต้สืบราชสมบัติจากพระเจ้าเลนเต้พระราชบิดา โดยถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีนั้น ไม่เหมาะสมคิดจะถอดออกเสีย

ตั๋งโต๊ะก็ปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า

“…… บัดนี้เราเห็นหองจูเหียบมีสติปัญญาหลักแหลมกล้าหาญ เราจะให้ถอดหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข……”

เต๊งหงวนเจ้าเมืองเก๊งจิ๋ว ก็ลุกขึ้นคัดค้านว่า

“……..หองจูเปียนนั้นเป็นพระราชบุตรเอก พระเจ้าเลนเต้จึงยกราชสมบัติให้ แล้วหองจูเปียนมิได้มีความผิด ตัวคิดอ่านทั้งนี้จะเป็นขบถหรือ…….”

ตั๋งโต๊ะถูกขัดขวาง ก็ดำเนินแผนการให้ลิโป้ลูกเลี้ยงของเต๊งหงวน ฆ่าบิดาเลี้ยงของตนเสีย แล้วก็เสนอเรื่องขึ้นมาใหม่ว่า

“……หองจูเปียนนั้นหาสติปัญญามิได้ จะให้ถอดเสีย เราจะตั้งให้หองจูเหียบซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลม ขึ้นเสวยราชสมบัติ ถ้าผู้ใดมิลงใจพร้อมด้วย เราจะฆ่าเสีย………”

อ้วนเสี้ยวก็ลุกขึ้นมาคัดค้านเช่นเดียวกับที่เต๊งหงวนพูด ตั๋งโต๊ะก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวก็เป็นทหารมีฝีมืออยู่ จึงชักกระบี่ออกจะต่อสู้ แต่มีขุนนางช่วยกันห้ามเสียทั้งสองฝ่าย จึงแยกกันไป อ้วนเสี้ยวเห็นท่าจะอยู่ไม่เป็นสุข จึงพาทหารที่เป็นพรรคพวกออกไปอยู่เมืองกิจิ๋ว

ตั๋งโต๊ะก็ยังไม่เลิกล้มความพยายาม คราวนี้เมื่อพระเจ้าหองจูเปียนเสด็จออก ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้า ตั๋งโต๊ะก็ถอดกระบี่ออกประกาศว่า

“…….ทุกวันนี้อาญาสิทธิ์ก็อยู่แก่เรา เราเห็นว่าหองจูเปียนสติปัญญาน้อย ไม่ควรที่จะอยู่ในราชสมบัติ เราเห็นหองจูเหียบนั้นกล้าหาญ สติปัญญาก็หลักแหลม ควรจะว่าราชการบ้านเมืองได้ เราจะตั้งให้เป็นเจ้าแผ่นดิน……..”

คราวนี้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขันที อุ้มหองจูเปียนฮ่องเต้อายุสิบสี่ปี ลงจากบัลลังก์ แล้วยกหองจูเหียบอายุเก้าปี ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ถวายพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ส่วนตนเองก็ตั้งตัวเป็นเซียงก๊ก หรืออัครมหาเสนาบดี ผู้สำเร็จราชการบ้านเมือง สมความปรารถนา

พระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชบัลลังก์อยู่นานสามสิบปี ถึง พ.ศ.๗๖๓ โจผีบุตรชายของโจโฉมหาอุปราชต่อจากตั๋งโต๊ะ ก็หลงเชื่อขุนนางสอพลอว่า ตนมีบุญญาธิการพอที่จะเป็นฮ่องเต้ได้ แล้วก็ยกพวกขุนนางผู้ใหญ่สี่สิบคน พากันไปบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละราชสมบัติให้แก่โจผี เมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมก็ขู่ว่า

“…….เป็นประเพณีมาแต่โบราณ ที่ดีกลับเป็นชั่ว ที่ชั่วกลับเป็นดีก็มี เหมือนหนึ่งบ้านเมืองมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่แล้ว เกิดศึกกลับยับเยินไปก็มี ที่ยับเยินแล้วกลับมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่เย็นเป็นสุขไปก็มี สมบัติซึ่งได้สืบต่อแต่ต้นวงศ์ของพระองค์มาช้านานถึงสี่ห้าร้อยปีแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าวงศ์ของพระองค์จะขาดแล้ว ขอให้พระองค์สละราชสมบัติมอบให้โจผีเถิด ถ้าพระองค์จะขัดขืนไป เห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง……..”

พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่มีพรรคพวกที่จะช่วยเหลือ นอกจากนางโจฮองเฮามเหสีองค์สุดท้าย ซึ่งเป็นบุตรีของโจโฉ และเป็นน้องสาวของโจผีเองเท่านั้น จึงต้องจำยอมยกบัลลังก์ให้แก่ผู้ที่อยากได้ แล้วตนเองกับภรรยาคู่ยากก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่บ้านนอกไกลลิบ

พระเจ้าโจผีตั้งราชวงศ์วุย และมีฮ่องเต้สืบต่อไปอีกสองพระองค์คือ พระเจ้า โจยอย ต่อมาถึงพระเจ้าโจฮอง บุตรบุญธรรมอายุแปดขวบของพระเจ้าโจยอย ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.๗๘๓ อยู่ในราชสมบัติสิบสี่ปีจนถึง พ.ศ.๗๙๗ คิดจะกำจัดสุมาสูมหาอุปราชทายาทของ สุมาอี้ จึงทรงปรึกษากับขุนนางสามคนคือ แฮเฮาเหียน ลิฮอง และตันอิบบิดานางเตียวฮองเฮาซึ่งเป็นมเหสี ว่าทุกวันนี้สุมาสูดูถูกพระองค์เหมือนเด็กน้อย ดูถูกขุนนางทั้งปวงเหมือนหญ้าแพรก เห็นว่าอีกไม่ช้าราชสมบัติก็คงจะเป็นของสุมาสู

ลิฮองเสนอว่าขอตรารับสั่งของฮ่องเต้ ออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองหาคนดีมีฝีมือ เข้ามากำจัดสุมาสู แฮเฮาเหียนก็ว่าแฮหัวป๋าพี่ชายอยู่ด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนเมืองเสฉวน จะไปขอให้มาช่วย พระเจ้าโจฮองเปลื้องเสื้อซับในออก แล้วกัดนิ้วมือเอาโลหิตเขียนรับสั่งลงในเสื้อ ส่งให้ ตันอิบ แล้วก็กลัวว่าการทั้งนี้จะไม่สำเร็จ เหมือนเมื่อครั้งโจโฉปู่ทวดของพระองค์ ฆ่าตังสินเมื่อครั้งก่อนโน้น

ขุนนางทั้งสามนายก็ให้สัตย์สาบานว่า จะไม่แพร่งพรายความลับ แล้วก็ทูลลาออกมานอกวัง ก็เจอเข้ากับสุมาสูอย่างจัง สุมาสูนั้นได้ระแคะระคายอยู่แล้ว จึงพาทหารห้าร้อยถืออาวุธมาดักคอย และคาดคั้นขุนนางทั้งสาม จนแฮเฮาเหียนอดโทสะไม่ได้จึงโพล่งออกไปว่า พวกตนต้องการกำจัดสุมาสูที่คิดจะชิงราชสมบัติ สุมาสูจึงสั่งให้ทหารจับตัวขุนนางทั้งสามนั้น แฮเฮาเหียนก็เข้าต่อสู้กับสุมาสูด้วยมือเปล่า จึงถูกจับทั้งสามคน เมื่อค้นตัวได้รับสั่งฮ่องเต้ซ่อนอยู่ในเสื้อตันอิบ ก็สั่งให้เอาขุนนางทั้งสามไปฆ่าเสียที่กลางตลาด สิ้นทั้งสามโคตร

แล้วสุมาสูก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง ต่อว่าฮ่องเต้ที่คิดกำจัดตนผู้มีคุณทำนุบำรุงแผ่นดินมาตลอดทั้งตระกูล ฮ่องเต้ปฏิเสธว่าพระองค์ไม่ได้ทำ ก็โดนยันด้วยรับสั่งในผ้าแพรนั้น ฮ่องเต้ก็คุกเข่าย่อพระองค์ลงขอโทษต่อมหาอุปราช สุมาสูก็ว่า

“……..พระองค์เป็นหลักแผ่นดิน ข้าพเจ้าหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ เชิญพระองค์นั่งในที่เถิด……”

แล้วก็เอากระบี่ชี้หน้านางเตียวฮองเฮาแล้วว่า นางคนนี้เป็นลูกเตียวอิบ จะต้องฆ่าเสียให้ตายตามบิดา แม้ฮ่องเต้จะทรงพระกรรแสงอ้อนวอนขอชีวิตมเหสี สุมาสูก็ไม่ฟัง ให้ทหารเอาผ้าแพรพันคอแล้วฉุดคนละข้าง จนนางขาดใจตาย

สุมาสูก็ไปเฝ้านางกวยทายเฮาพระมารดาของฮ่องเต้ สั่งให้ถอดโจฮองออกจากราชสมบัติ แล้วไปเอาโจมอหลานของพระเจ้าโจผี มายกให้เป็นฮ่องเต้แทน

พระเจ้าโจมอครองราชสมบัติอยู่ได้ประมาณห้าปี สุมาสูถึงแก่ความตายไปด้วยโรคตา สุมาเจียวก็ใหญ่คับบ้านเมือง ไม่เคารพยำเกรงฮ่องเต้ พระเจ้าโจมอคิดแค้นสุมาเจียว จึงพาขุนนางและทหารประมาณสามร้อยเศษยกไปบ้านสุมาเจียว เพื่อจะแสดงอำนาจปลดมหาอุปราชด้วยพระองค์เอง แม้ขุนนางผู้หวังดีจะทูลว่า ซึ่งจะยกพลเพียงสามร้อยไปรบกับสุมาเจียวนั้น เหมือนหนึ่งต้อนแพะเข้าไปในปากยิ้ม็ไม่ทรงฟัง จึงถูกนายทหารของสุมาเจียว ปลงพระชนม์เสียด้าวดิ้นอยู่ที่กลางถนน หน้าบ้านของสุมาเจียวนั้นเอง

ขุนนางพรรคพวกของสุมาเจียว ก็คิดจะเชิญสุมาเจียวขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่สุมาเจียวยังมีความอายอยู่ จึงบอกว่า เมื่อโจโฉเป็นใหญ่ถึงวุยอ๋องนั้น ก็หาได้ครองราชสมบัติไม่ ตนจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเหมือนโจโฉนั้น จึงยังไม่ยอมรับ แล้วไปคว้าเอาโจฮวนผู้เป็นหลานของโจโฉ มายกให้เป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๘๐๓

ต่อมาสุมาเจียวได้ยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนของจ๊กก๊ก สามารถยึดครองได้โดย เด็ดขาด จึงมีความชอบมาก ได้เลื่อนเป็นจีนอ๋องยศศักดิ์เสมอกับโจโฉเมื่อก่อนตาย แต่อยู่มาไม่นาน ก็มีคนลือว่ามีผู้วิเศษพยากรณ์ว่า จะมีการเปลี่ยนฮ่องเต้ ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข สุมาเจียวก็ดีใจว่าคงจะเป็นวาสนาของตน แต่อาจจะเป็นเพราะชรามากแล้ว เลยลมจับจุกแน่นพูดไม่ออก และไม่ทันจะมีผู้ใดช่วยแก้ไข ก็ขาดใจตายไปในทันใดนั้นเอง

สุมาเอี๋ยนบุตรชายคนโตก็ได้เป็นจีนอ๋องแทนบิดา อยู่มาอีกห้าปี ถึง พ.ศ.๘๐๘ จีนอ๋องก็ปรึกษากับขุนนางพวกพ้องของบิดาว่า โจโฉกับบิดาของตนนั้นข้างไหนจะดีกว่ากัน พวกขุนนางพลอยพยัก ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สุมาอี้ปู่ของท่านได้ทำการมามากหนักหนา ถึง สุมาเจียวบิดาท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงยิ่งนัก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้น เห็นไกลกันมาก

สุมาเอี๋ยนจีนอ๋องจึงว่า แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านทำการกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เป็นของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาสมบัติของพระเจ้าโจฮวนเหมือนกระนั้นบ้าง จะไม่ได้เจียวหรือ ขุนนางก็ว่าท่านคิดฉะนี้ ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว เหมือนกับช่วยแก้แค้นแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้นั่นเอง

ว่าแล้วก็ช่วยกันบังคับพระเจ้าโจฮวน ให้ยกราชสมบัติให้สุมาเอี๋ยนเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าซีโจบู๊ แล้วก็เนรเทศโจฮวนให้ไปอยู่บ้านนอกอีกตามเคย ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ตั้งตนเป็นราชวงศ์จิ้น แล้วก็คิดการจะรวมแคว้นกังตั๋งเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้

ทางฝ่ายเมืองกังตั๋งของง่อก๊กนั้น เมื่อพระเจ้าซุนกวนต้นวงศ์ ซึ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๗๗๒ นั้น ได้สิ้นพระชนม์ลงเมื่อ พ.ศ.๗๙๕ พระเจ้าซุนเหลียง พระราชบุตรองค์โตได้สืบราชสมบัติอยู่ จนถึง พ.ศ.๘๐๑ ก็มีเรื่องขัดเคืองกับซุนหลิมมหาอุปราช ซึ่งเป็นญาติทางพระราชมารดา จึงถูกหาว่าฮ่องเต้ไม่เอาใจใส่ว่ากิจการบ้านเมือง มัวเมาไปด้วยสตรี และถูกเนรเทศไปอยู่บ้านนอกจนได้ แล้วซุนหลิมก็ยกเอาซุนฮิว พระราชบุตรองค์ที่หกของพระเจ้าซุนกวน ขึ้นครองราชย์

แต่พระเจ้าซุนฮิวก็ไม่ไว้พระทัยซุนหลิม คิดระมัดระวังพระองค์อยู่ตลอดเวลา จนถึงวันประสูติของฮ่องเต้ ซุนหลิมแต่งข้าวของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมเป็นอันมาก ฮ่องเต้คิดรังเกียจอยู่ก็มิได้เสวย ให้ส่งคืนออกมา ซุนหลิมก็โกรธ เอาโต๊ะและข้าวของทั้งปวงกลับมาบ้าน แล้วเชิญเตียวปอขุนนางผู้ใหญ่มาปรึกษาว่า

“………เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงทำความผิด เราเนรเทศเสียนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัครให้เราเป็นเจ้า เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน จึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ บัดนี้เป็นวันประสูติเราแต่งของเข้าไปถวายตามธรรมเนียม ก็มิยอมรับ ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ให้ท่านดูไปเถิด ไม่นานก็จะเห็นเป็นมั่นคง…….”

เตียวปอก็มิได้ขัดคอหรือสนับสนุนแต่ประการใด พอได้เวลาเข้าเฝ้าก็ทูลเนื้อความที่ซุนหลิมว่านั้นทุกประการ ฮ่องเต้ก็ทรงพระวิตกนัก และขุนนางกรมแสงก็เข้ามาทูลว่า ซุนหลิมกับพรรคพวกตระเตรียมทหาร และมาเบิกเอาเครื่องอาวุธในคลังไปเป็นอันมาก กับให้นายทหารคุมพลหมื่นห้าพัน ออกไปตั้งอยู่ที่ตำบลบู๊เฉียงนอกเมืองกังตั๋ง เห็นจะคิดร้ายต่อฮ่องเต้เป็นแน่ เตียวปอจึงแนะให้ฮ่องเต้หาตัวเตงฮอง นายทหารผู้ใหญ่ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าซุนกวน มาปรึกษาหาทางป้องกันอันตราย

เตงฮองก็วางอุบายให้พระเจ้าซุนฮิว จัดโต๊ะเลี้ยงขุนนางในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันตรุษขึ้นปีใหม่ แล้วให้คนสนิทไปเชิญซุนหลิมมากินโต๊ะในตำหนัก พอขันทีไปถึงตึกซุนหลิมคำนับแล้วบอกว่า มีรับสั่งฮ่องเต้ให้มาเชิญไปกินโต๊ะในพระราชวัง ซุนหลิมลุกขึ้นยืนจะแต่งตัวก็กลับล้มลง โดยไม่ได้เป็นอะไร พอดีขันทีอีกคนหนึ่งเข้ามาเร่งว่า ขุนนางมาพร้อมกันแล้ว ฮ่องเต้คอยท่าอยู่ให้เร่งเชิญท่านไปโดยเร็ว ซุนหลิมก็แต่งตัวทรงเครื่องตามตำแหน่งมหาอุปราช คนใช้ที่ช่วยแต่งตัวก็ทักว่า ซึ่งรับสั่งให้หาท่านนั้นขอให้ดำริให้ควรก่อน ซุนหลิมก็ว่า

“……..ตัวเราเป็นมหาอุปราช พี่น้องก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ถึงห้าคน ผู้ใดจะบังอาจคิดร้ายต่อเรา ถึงมาตรว่าจะมีศัตรูคิดร้ายต่อเราจริง เราก็มิได้กลัว จะเอาแต่เพลิงจุดขึ้น ทหารเราก็จะยกเข้ามาช่วย……..”

แล้วซุนหลิมก็ขึ้นรถเข้าไปในวัง พระเจ้าซุนฮิวก็ออกมารับถึงประตูตำหนัก จูงมือซุนหลิมเข้าไปกินโต๊ะข้างใน ขณะเมื่อซุนหลิมเสพสุราอยู่นั้น ก็มีเสียงอื้ออึงขึ้นภายนอก จึงขยับตัวจะลูกออกมาดู ฮ่องเต้ก็ยึดมือไว้และว่า พวกข้างนอกมันเมาแล้วทุ่มเถียงกันเท่านั้น

แต่ทันใดนั้นเตียวปอก็ถือกระบี่พาทหารประมาณสามสิบคนเข้ามา ร้องว่ารับสั่งให้จับอ้ายขบถให้จงได้ ซุนหลิมได้ฟังก็ตกใจจะวิ่งหนีแต่ก็ไม่ทัน ทหารทั้งปวงก็รุมกันจับเอาตัวไว้ได้
แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ซุนหลิมเป็นขบถรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ท่านทั้งปวงไม่รู้เห็นด้วย อย่าวิตกวุ่นวายไปเลย ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ประหารชีวิต ซุนหลิมและพี่น้องสมัครพรรคพวกประมาณร้อยเศษ จนหมดสิ้นทั้งตระกูล

เมื่อพระเจ้าซุนฮิวกำจัดซุนหลิมลงได้แล้ว ก็ครองราชสมบัติด้วยความสบายพระทัยอยู่ตลอดเจ็ดปี จนถึง พ.ศ.๘๐๘ จึงสิ้นพระชนม์ลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่