เกริ่น ยาวมาก....
น้องชายเราคบกับแฟนได้ 5 เดือนแล้ว และมีแผนจะแต่งงานกันปลายปี
ย้อนกลับไปตอนที่คบกันใหม่ๆ
น้องชายเป็นคนไปจีบฝ่าย ญ ก่อน และไปมาหาสู่ที่บ้าน ญ เป็นประจำ ด้วยการไปช่วยงานเล็กๆน้อยที่บ้าน ญ ซึ่งเป็นร้านอาหารเล็กๆในต่างอำเภอ เปิดขายตอนเย็น แต่ก็ไม่ได้อยู่จนดึกดื่นมากนัก และไม่เคยนอนค้างที่บ้านเขา ทุกอย่างอยู่ในสายตาพ่อแม่เขาหมด เพราะที่บ้านฝ่าย ญ ทำงานร่วมกันเป็นครอบครัว
ประมาณ 1 เดือนต่อมา แม่ฝ่าย ญ บอกน้องชายเรา ไปบอกแม่มาสู่ขอลูกสาวเขา
ตอนแรกน้องชายเราก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเขาพูดบ่อยเข้า ด้วยความที่น้องชายเรารัก ญ มาก และเริ่มเกรงใจแม่ฝ่าย ญ ด้วย
น้องชายตัดสินใจมาบอกแม่ ขอให้แม่มา"หมั้น" ญ ให้
ทางแม่เรา เขาไม่เคยเห็นฝ่าย ญ เลยสักครั้งเดียว แค่พอรู้คราวๆว่าลูกชายกำลังคบหากับใครอยู่ เท่านั้น แม่จึงปฏิเสธ ไม่ยอมไปสู่ขอให้ เพราะเห็นว่ามันเร็วเกินไป ญาติผู้ใหญ่ทางบ้านเรา ก็ไม่มีใครเห็นด้วย จนกระทั่งน้องชายเราพา ญ มาพบแม่ เพื่อทำความรู้จักกัน และหลังจากนั้น ก็อ้อนวอนแม่หลายครั้งให้ไปสู่ขอให้ จนแม่ต้อง(จำใจ) ไปสู่ขอให้ โดยคิดเอาไว้ว่า ที่ไปคุยกับฝ่าย ญ คือจะขอหมั้นไว้ก่อน
ปรากฏว่า แม่ฝ่าย ญ ไม่ยอม จะให้กำหนดวันแต่งเลย พร้อมกับกำหนดค่าสินสอดจำนวน 400,000 บาท + ทอง 2 บาท (ทางแม่เราเสนอไปว่า 300,000 บาท +ทอง3บาท แต่ทางแม่ฝ่าย ญ ต่อรอง) ส่วนวันแต่งก็คือเดือน 11 ของปีนี้ โดยตกลงเป็นที่เข้าใจกันว่า น้องชายเรากับ ญ จะเป็นคนช่วยหันหาเงินให้ครบและให้ทันก่อนวันแต่งงาน
ด้วยความที่ ญาติทั้ง 2 ฝ่ายเยอะมาก แม่เราไม่กล้าทำอะไรหักหน้าเขา จึงจำต้องเออออ ประกอบกับพ่อของฝ่าย ญ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย นอนพะงาบ ตัวเหลือง อยู่ในกลางวง ในขณะเจรจาสู่ขอ (เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทางบ้าน ญ เร่งรัด)
เข้าเรื่องสักที ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้....
มีแต่น้องชายเรา ที่เป็นคนเก็บเงินอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ฝ่าย ญ ไม่ได้ช่วยเก็บอย่างที่ตกลงไว้
เงินเก็บน้องชายมีอยู่ประมาณ แสนกว่าบาท และเงินเดือนได้เดือนละ 13,000 บาท กัดลิ้นเก็บเดือน ละ 10,000 บาท ใช้ 3,000 บาท เรามองว่า เก็บให้ตายยังไงก็ไม่ได้ครบถึง 400,000 แน่ เพราะระยะเวลาก็สั้นๆ
น้องชายมาปรึกษาเราว่า จะกู้เงินมาแต่งดีมั้ย ซึ่งเราบอกไปตามความคิดเราตรงๆว่า "อย่ากู้" เก็บเงินได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม เราทำดีที่สุดแล้ว และเขาก็กดดันเรื่องเวลาแต่งด้วย แถม ญ ก็ไม่เคยช่วยเก็บเงินเลย (ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจมากๆเลย ว่า ญ จะรีบไปทำไมนักหนา คบกันยังไม่ทันไร แม่ฝ่าย ญ ก็แปลก แต่เขาก็อ้างว่าทำเพื่อพ่อ แต่พ่อเขาก็เสียไปแล้วเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว) เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเงินได้ในเวลาแค่นี้ ด้วยเงินเดือนแค่นี้ เราสอนน้องชายให้พูดกับเขาว่า "ถึงเวลาแต่ง มีเท่าไหร่ ก็แต่งเท่านั้น ถ้าจะเอา 400,000 ก็ขอเวลาเก็บเงินเพิ่ม" ซึ่งก็ถือว่าน้องชายเราไม่สามารถทำตามที่ตกลงได้ แต่ทำไงได้ จะให้กู้เงินมาแต่ง เราก็ไม่ยอมให้น้องชายเรา(โง่)ทำแบบนั้นเหมือนกัน
เรารู้เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก เพราะคนเป็นพ่อแม่ก็อยากให้ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา ค่าดองสูงๆ แต่เขาไม่คิดถึงหลักความเป็นจริงของคนธรรมดา มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะทำตามที่เขาบอกได้
พูดตรงๆว่า วันนั้น ถ้าพ่อเขาไม่ใกล้ตาย แม่เราก็คงไม่ยอมเหมือนกัน
หลายๆคนที่มองเรื่องนี้ ต่างแอบกระซิบเราว่า "ฝ่าย ญ เขาจับน้องชายเราหรือเปล่า" ใจลึกๆเรากับแม่ก็คิดอย่างนั้น แต่ด้วยความที่น้อยชายเรารักเขามาก เราจึงได้แต่เก็บเงียบ
ใครคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง เราแส่เรื่องน้องชายมากไปมั้ย มันเป็นการเสี้ยมให้น้องชายเราแข็งข้อกับเขาเกินไปมั้ย หรือคิดต่างกันยังไง ขอคำปรึกษาด้วยค่ะ
ในฐานนะพี่...เราแทรกแซงชีวิตน้องชายเกินไปหรือเปล่า
น้องชายเราคบกับแฟนได้ 5 เดือนแล้ว และมีแผนจะแต่งงานกันปลายปี
ย้อนกลับไปตอนที่คบกันใหม่ๆ
น้องชายเป็นคนไปจีบฝ่าย ญ ก่อน และไปมาหาสู่ที่บ้าน ญ เป็นประจำ ด้วยการไปช่วยงานเล็กๆน้อยที่บ้าน ญ ซึ่งเป็นร้านอาหารเล็กๆในต่างอำเภอ เปิดขายตอนเย็น แต่ก็ไม่ได้อยู่จนดึกดื่นมากนัก และไม่เคยนอนค้างที่บ้านเขา ทุกอย่างอยู่ในสายตาพ่อแม่เขาหมด เพราะที่บ้านฝ่าย ญ ทำงานร่วมกันเป็นครอบครัว
ประมาณ 1 เดือนต่อมา แม่ฝ่าย ญ บอกน้องชายเรา ไปบอกแม่มาสู่ขอลูกสาวเขา
ตอนแรกน้องชายเราก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเขาพูดบ่อยเข้า ด้วยความที่น้องชายเรารัก ญ มาก และเริ่มเกรงใจแม่ฝ่าย ญ ด้วย
น้องชายตัดสินใจมาบอกแม่ ขอให้แม่มา"หมั้น" ญ ให้
ทางแม่เรา เขาไม่เคยเห็นฝ่าย ญ เลยสักครั้งเดียว แค่พอรู้คราวๆว่าลูกชายกำลังคบหากับใครอยู่ เท่านั้น แม่จึงปฏิเสธ ไม่ยอมไปสู่ขอให้ เพราะเห็นว่ามันเร็วเกินไป ญาติผู้ใหญ่ทางบ้านเรา ก็ไม่มีใครเห็นด้วย จนกระทั่งน้องชายเราพา ญ มาพบแม่ เพื่อทำความรู้จักกัน และหลังจากนั้น ก็อ้อนวอนแม่หลายครั้งให้ไปสู่ขอให้ จนแม่ต้อง(จำใจ) ไปสู่ขอให้ โดยคิดเอาไว้ว่า ที่ไปคุยกับฝ่าย ญ คือจะขอหมั้นไว้ก่อน
ปรากฏว่า แม่ฝ่าย ญ ไม่ยอม จะให้กำหนดวันแต่งเลย พร้อมกับกำหนดค่าสินสอดจำนวน 400,000 บาท + ทอง 2 บาท (ทางแม่เราเสนอไปว่า 300,000 บาท +ทอง3บาท แต่ทางแม่ฝ่าย ญ ต่อรอง) ส่วนวันแต่งก็คือเดือน 11 ของปีนี้ โดยตกลงเป็นที่เข้าใจกันว่า น้องชายเรากับ ญ จะเป็นคนช่วยหันหาเงินให้ครบและให้ทันก่อนวันแต่งงาน
ด้วยความที่ ญาติทั้ง 2 ฝ่ายเยอะมาก แม่เราไม่กล้าทำอะไรหักหน้าเขา จึงจำต้องเออออ ประกอบกับพ่อของฝ่าย ญ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย นอนพะงาบ ตัวเหลือง อยู่ในกลางวง ในขณะเจรจาสู่ขอ (เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทางบ้าน ญ เร่งรัด)
เข้าเรื่องสักที ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้....
มีแต่น้องชายเรา ที่เป็นคนเก็บเงินอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ฝ่าย ญ ไม่ได้ช่วยเก็บอย่างที่ตกลงไว้
เงินเก็บน้องชายมีอยู่ประมาณ แสนกว่าบาท และเงินเดือนได้เดือนละ 13,000 บาท กัดลิ้นเก็บเดือน ละ 10,000 บาท ใช้ 3,000 บาท เรามองว่า เก็บให้ตายยังไงก็ไม่ได้ครบถึง 400,000 แน่ เพราะระยะเวลาก็สั้นๆ
น้องชายมาปรึกษาเราว่า จะกู้เงินมาแต่งดีมั้ย ซึ่งเราบอกไปตามความคิดเราตรงๆว่า "อย่ากู้" เก็บเงินได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม เราทำดีที่สุดแล้ว และเขาก็กดดันเรื่องเวลาแต่งด้วย แถม ญ ก็ไม่เคยช่วยเก็บเงินเลย (ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจมากๆเลย ว่า ญ จะรีบไปทำไมนักหนา คบกันยังไม่ทันไร แม่ฝ่าย ญ ก็แปลก แต่เขาก็อ้างว่าทำเพื่อพ่อ แต่พ่อเขาก็เสียไปแล้วเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว) เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเงินได้ในเวลาแค่นี้ ด้วยเงินเดือนแค่นี้ เราสอนน้องชายให้พูดกับเขาว่า "ถึงเวลาแต่ง มีเท่าไหร่ ก็แต่งเท่านั้น ถ้าจะเอา 400,000 ก็ขอเวลาเก็บเงินเพิ่ม" ซึ่งก็ถือว่าน้องชายเราไม่สามารถทำตามที่ตกลงได้ แต่ทำไงได้ จะให้กู้เงินมาแต่ง เราก็ไม่ยอมให้น้องชายเรา(โง่)ทำแบบนั้นเหมือนกัน
เรารู้เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก เพราะคนเป็นพ่อแม่ก็อยากให้ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา ค่าดองสูงๆ แต่เขาไม่คิดถึงหลักความเป็นจริงของคนธรรมดา มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะทำตามที่เขาบอกได้
พูดตรงๆว่า วันนั้น ถ้าพ่อเขาไม่ใกล้ตาย แม่เราก็คงไม่ยอมเหมือนกัน
หลายๆคนที่มองเรื่องนี้ ต่างแอบกระซิบเราว่า "ฝ่าย ญ เขาจับน้องชายเราหรือเปล่า" ใจลึกๆเรากับแม่ก็คิดอย่างนั้น แต่ด้วยความที่น้อยชายเรารักเขามาก เราจึงได้แต่เก็บเงียบ
ใครคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง เราแส่เรื่องน้องชายมากไปมั้ย มันเป็นการเสี้ยมให้น้องชายเราแข็งข้อกับเขาเกินไปมั้ย หรือคิดต่างกันยังไง ขอคำปรึกษาด้วยค่ะ