สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
มาให้กำลังใจ สู้ ๆ นะ ความกตัญญููจะทำให้เราเจอแต่สิ่งดี ดี .. เมื่อก่อน เราก็คล้ายๆกับคุณ เรามีพี่น้อง 5 คนเราเป็นคนที่ 4 แต่ในพี่น้องไม่มีใครพึ่ง
ได้สักคน เราต้องดูแลพ่อแม่และค่าใช้จ่ายในบ้านคนเดียวหลายปีเอาการ ตลอดจนพ่อแม่เสียหลังจากนั้น เราเจอแต่สิ่งดี ดี อย่างไม่น่าเชื่อทำอะไรก็
เป็นเงินไปหมด .. เราเชื่อว่าความกตัญญูที่ส่งผลให้เรานะ ..
ได้สักคน เราต้องดูแลพ่อแม่และค่าใช้จ่ายในบ้านคนเดียวหลายปีเอาการ ตลอดจนพ่อแม่เสียหลังจากนั้น เราเจอแต่สิ่งดี ดี อย่างไม่น่าเชื่อทำอะไรก็
เป็นเงินไปหมด .. เราเชื่อว่าความกตัญญูที่ส่งผลให้เรานะ ..

ความคิดเห็นที่ 84
อายุใกล้ ๆ กันเลยครับ
แต่ว่าเงินเดือน 15,000 ทำมา 8 ปีแล้วเนี่ย ถือว่าแย่นะครับ
ไม่ได้แย่ที่ได้เท่านี้ แต่แย่ในเรื่องการพัฒนาตัวเอง แสดงว่าคุณไม่ค่อยให้ความสำคัญจุดนี้เลย
ผมเดาว่า คุณคงเป็นคนที่ตื่นเช้าไปทำงานไปวัน ๆ หมดวันก็กลับบ้าน ขาดความกระตือรือร้นในการเติบโตแน่เลย ใช่เปล่าครับ
การไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากมองที่ภาระหน้าที่ของคุณ
ย่าเป็นคนเลี้ยงดูคุณมาตั้งแต่เด็กแล้วใช่เปล่าครับ ดีแล้ว การตอบแทนบุญคุณคนเป็นสิ่งประเสริฐ
เพียงแต่คุณอย่าไปคาดหวังเลยว่า การที่คุณทำดีแล้วคุณจะต้องได้ดี หรือมีใครเห็นใจ หรือถูกหวย ฯลฯ
ชีวิตจะดีขึ้นได้ อยู่ที่ตัวเราเอง 99% ครับ อีก 1% เท่านั้นพอเหลือเผื่อไว้ให้โชคชะตาและโอกาส
หากคุณคิดว่าการที่คุณกตัญญู ทำดี ดูแลย่า จะทำให้ชีวิตคุณต้องได้ดี ผมว่าคุณฝันกลางวันครับ
แต่หากคุณเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง มองคุณค่าในตัวเองให้มากขึ้น ศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ขาดมากขึ้น
กระตือรือร้นมากกว่าที่จะฝันกลางวันถึงชีวิตที่ดี ผมเชื่อว่ามันจะช่วยให้ชีวิตคุณเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้เลย
เงินเดือนคุณ 15,000 ทำมานมนานขนาดนี้ คิดได้แค่ 2 อย่างคือ
1). คุณเป็นคนที่มีมูลค่าในตัวงานต่ำ หาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องจ้างแพง กับ 2). นายจ้างกดขี่ผลตอบแทน
หากเป็นอย่างแรก ผมว่าคุณควรรู้ตัวได้แล้วว่าควรที่จะพัฒนาตัวเองอย่างไร ให้มีมูลค่ามากขึ้น ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนให้มากขึ้น
แต่หากเป็นกรณีหลัง ทำไมคุณถึงไม่คิดจะหางานดี ๆ ที่นายจ้างยุติธรรมกับคุณทำซะใหม่ล่ะครับ?
คุณมีเงิน 15,000
ใน 10-1 คุณบอกว่า คุณเป็นคนดูแลย่า แต่บ้านที่อยู่เป็นของลูกสาวของยาย แสดงว่าคุณอยู่บ้านน้าสาว
แล้วคุณส่งค่าติดจำนอง 3,000 ค่าที่ดินที่ย่าอาศัยอยู่ (บ้านของอา) แสดงว่าคุณไม่ได้อยู่กับย่าหรือครับ
แต่ในหัวข้อกระทู้ คุณบอกว่าย่าเพ้อตลอด อ้าว ตกลงคุณกับย่าอยู่บ้านใครกันแน่ บ้านน้า หรือบ้านอา
แล้วทำไมอาของคุณไม่ส่งซะเองล่ะครับ ทำไมต้องเป็นภาระของคุณ แปลกดีครับ
หากอาคุณยังอยู่ เพราะเค้ามีกรรมสิทธิที่ดินที่คุณผ่อนเดือนละ 3,000 ทำไมเค้าไม่ดูแลย่า ซึ่งเป็นแม่ของตัวเองครับ นี่ก็แปลก
คุณจ่ายเดือนละ 4,000 ดูแลย่า หากลูก ๆ ของย่าไม่ดูแลเลย การที่คุณยอมรับผิดชอบตรงนี้ ถือว่าดีแล้วครับ
ส่วนเรื่องเงินผ่อนที่กู้มาทำห้องปลอดเชื้อ สุดท้ายเงินกู้ก็จะหมดไป คุณก็จะมีเงินคล่องตัวขึ้นอีกเดือนละ 5,000 บาท
เหลือใช้ส่วนตัวเดือนละพันนิด ๆ หากไม่คิดเพิ่มรายได้ ก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ
ผมถึงบอกให้คุณค้นหาคุณค่าของตัวเอง แล้วพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง เพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น
คุณจะให้คนในนี้มาบอกว่าคุณต้องพัฒนาตัวเองแบบไหน ใครจะรู้เล่าครับ นอกจากตัวคุณ
เอาเป็นว่าคุณต้องขยันให้มากขึ้น ทุ่มเทกับงานให้มากขึ้น ศึกษาหาความรู้ให้เต็มที่ เพื่อให้นายจ้างเห็นค่า
หากเค้าไม่เห็นค่าในตัวคุณ คุณก็ควรหางานใหม่ที่ได้รายได้มากกว่า หากถึงเวลาที่คุณพัฒนามาไกลแล้ว
ส่วนที่แย่ที่สุดของคุณคือ คุณเฟ้อฝัน แต่คุณไม่วางแผน และลงมือทำ
แล้วเมื่อไหร่ชีวิตจะได้ดีล่ะเนี่ย
คนในนี้อย่างดีก็ให้กำลังใจ ให้กิ๊ฟ กด + ถูกใจ ซึ้ง ฯลฯ
เค้าช่วยอะไรคุณเป็นรูปธรรมไม่ได้หรอก
หรือว่าคุณคิดว่า คำว่า "ให้กำลังใจนะ" จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นทันตาเห็น?
แต่ว่าเงินเดือน 15,000 ทำมา 8 ปีแล้วเนี่ย ถือว่าแย่นะครับ
ไม่ได้แย่ที่ได้เท่านี้ แต่แย่ในเรื่องการพัฒนาตัวเอง แสดงว่าคุณไม่ค่อยให้ความสำคัญจุดนี้เลย
ผมเดาว่า คุณคงเป็นคนที่ตื่นเช้าไปทำงานไปวัน ๆ หมดวันก็กลับบ้าน ขาดความกระตือรือร้นในการเติบโตแน่เลย ใช่เปล่าครับ
การไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากมองที่ภาระหน้าที่ของคุณ
ย่าเป็นคนเลี้ยงดูคุณมาตั้งแต่เด็กแล้วใช่เปล่าครับ ดีแล้ว การตอบแทนบุญคุณคนเป็นสิ่งประเสริฐ
เพียงแต่คุณอย่าไปคาดหวังเลยว่า การที่คุณทำดีแล้วคุณจะต้องได้ดี หรือมีใครเห็นใจ หรือถูกหวย ฯลฯ
ชีวิตจะดีขึ้นได้ อยู่ที่ตัวเราเอง 99% ครับ อีก 1% เท่านั้นพอเหลือเผื่อไว้ให้โชคชะตาและโอกาส
หากคุณคิดว่าการที่คุณกตัญญู ทำดี ดูแลย่า จะทำให้ชีวิตคุณต้องได้ดี ผมว่าคุณฝันกลางวันครับ
แต่หากคุณเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง มองคุณค่าในตัวเองให้มากขึ้น ศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ขาดมากขึ้น
กระตือรือร้นมากกว่าที่จะฝันกลางวันถึงชีวิตที่ดี ผมเชื่อว่ามันจะช่วยให้ชีวิตคุณเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้เลย
เงินเดือนคุณ 15,000 ทำมานมนานขนาดนี้ คิดได้แค่ 2 อย่างคือ
1). คุณเป็นคนที่มีมูลค่าในตัวงานต่ำ หาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องจ้างแพง กับ 2). นายจ้างกดขี่ผลตอบแทน
หากเป็นอย่างแรก ผมว่าคุณควรรู้ตัวได้แล้วว่าควรที่จะพัฒนาตัวเองอย่างไร ให้มีมูลค่ามากขึ้น ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนให้มากขึ้น
แต่หากเป็นกรณีหลัง ทำไมคุณถึงไม่คิดจะหางานดี ๆ ที่นายจ้างยุติธรรมกับคุณทำซะใหม่ล่ะครับ?
คุณมีเงิน 15,000
ใน 10-1 คุณบอกว่า คุณเป็นคนดูแลย่า แต่บ้านที่อยู่เป็นของลูกสาวของยาย แสดงว่าคุณอยู่บ้านน้าสาว
แล้วคุณส่งค่าติดจำนอง 3,000 ค่าที่ดินที่ย่าอาศัยอยู่ (บ้านของอา) แสดงว่าคุณไม่ได้อยู่กับย่าหรือครับ
แต่ในหัวข้อกระทู้ คุณบอกว่าย่าเพ้อตลอด อ้าว ตกลงคุณกับย่าอยู่บ้านใครกันแน่ บ้านน้า หรือบ้านอา
แล้วทำไมอาของคุณไม่ส่งซะเองล่ะครับ ทำไมต้องเป็นภาระของคุณ แปลกดีครับ
หากอาคุณยังอยู่ เพราะเค้ามีกรรมสิทธิที่ดินที่คุณผ่อนเดือนละ 3,000 ทำไมเค้าไม่ดูแลย่า ซึ่งเป็นแม่ของตัวเองครับ นี่ก็แปลก
คุณจ่ายเดือนละ 4,000 ดูแลย่า หากลูก ๆ ของย่าไม่ดูแลเลย การที่คุณยอมรับผิดชอบตรงนี้ ถือว่าดีแล้วครับ
ส่วนเรื่องเงินผ่อนที่กู้มาทำห้องปลอดเชื้อ สุดท้ายเงินกู้ก็จะหมดไป คุณก็จะมีเงินคล่องตัวขึ้นอีกเดือนละ 5,000 บาท
เหลือใช้ส่วนตัวเดือนละพันนิด ๆ หากไม่คิดเพิ่มรายได้ ก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ
ผมถึงบอกให้คุณค้นหาคุณค่าของตัวเอง แล้วพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง เพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น
คุณจะให้คนในนี้มาบอกว่าคุณต้องพัฒนาตัวเองแบบไหน ใครจะรู้เล่าครับ นอกจากตัวคุณ
เอาเป็นว่าคุณต้องขยันให้มากขึ้น ทุ่มเทกับงานให้มากขึ้น ศึกษาหาความรู้ให้เต็มที่ เพื่อให้นายจ้างเห็นค่า
หากเค้าไม่เห็นค่าในตัวคุณ คุณก็ควรหางานใหม่ที่ได้รายได้มากกว่า หากถึงเวลาที่คุณพัฒนามาไกลแล้ว
ส่วนที่แย่ที่สุดของคุณคือ คุณเฟ้อฝัน แต่คุณไม่วางแผน และลงมือทำ
แล้วเมื่อไหร่ชีวิตจะได้ดีล่ะเนี่ย
คนในนี้อย่างดีก็ให้กำลังใจ ให้กิ๊ฟ กด + ถูกใจ ซึ้ง ฯลฯ
เค้าช่วยอะไรคุณเป็นรูปธรรมไม่ได้หรอก
หรือว่าคุณคิดว่า คำว่า "ให้กำลังใจนะ" จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นทันตาเห็น?
ความคิดเห็นที่ 94
ชื่นชม จขกท. ที่เป็นคนดี กตัญญู ดูแลย่า
หลายๆความคิดที่แนะนำ จขกท.มีแต่สิ่งดีๆ หวังว่าคงจะนำไปปรับใช้นะครับ
ส่วนตัวผมถ้าแนะนำไปก็คงจะซ้ำกับ คห.18 ของคุณ good thinking เพราะคิดเหมือนกันเลย
เพื่อเป็นกำลังใจ ผมขอแชร์ชีวิตส่วนตัวของผม ให้ จขกท. ได้รับฟังดีกว่านะครับ เผื่อจะเป็นแนวทางอะไรให้ จขกท. ได้บ้าง
ผมตอนนี้อายุ 42 ปีแล้ว ทำงานมา 16 ปี พื้นฐานเป็นคนมาจาก อ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ครอบครัวยากจน มีพี่น้อง 8 คน ผมเป็นคนที่ 6
พี่น้องทุกคนมีสิทธิ์ได้เรียนแค่ชั้นประถมศึกษา ตามภาคบังคับเท่านั้น เพราะทางครอบครัวไม่สามารถส่งให้เรียนได้มากกว่านี้
เมื่อผมเรียนจบประถม ผมก็ไม่อยากทำไร่ไถนาเหมือนพี่ๆน้องๆ ผมขอพ่อไปบวชเรียน ค่าใช้จ่ายจะได้ถูก ผมบวชเรียนสอบเทียบจนจบ ม.3 สึกออกมาช่วยทางบ้านทำนา ผมไปเรียน กศน. ทุกวันเสาร์ สอบเทียบได้ ม.6 ผมก็เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อเรียน ม.รามคำแหง
สิ่งที่อยู่ในหัวของผมตอนนั้นคือ ผมต้องหนีความจนให้ได้ ผมต้องหนีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญนี้ให้ได้ ผมสร้างภาพว่าตัวเอง ได้ทำงานตัดต่อภาพยนตร์ (เคยอ่านเจอในหนังสือ) ได้เงินเดือนสูงๆ มีบ้านหลังใหญ่อยู่ มีรถยนต์ขับ อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ ทุกๆเช้าตื่นขึ้นมาผมก็นึกถึงภาพนี้ ก่อนนอนผมก็นึกถึงภาพนี้ ผมฝันถึงภาพนี้ทุกวัน วันละหลายเวลา กลางคืนก็ฝัน กลางวันก็ฝัน ที่เขาเรียกว่าฝันกลางวันนั้นแหละ ภาพนี้มันแจ่มชัดมากในจินตนาการของผม
ผมเข้ามาเรียนรามปี 2534 เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย งานที่ทำก็มีตั้งแต่ เด็กเสิร์ฟ เด็กส่งของ และยึดเป็นหลักเลยคือ รปภ. ผมทำงานและเรียนไปโดยมีภาพเป้าหมายในหัวอยู่เสมอ ผมไม่รู้หลักวิชาการว่า การที่เราจินตนการเห็นภาพเป้าหมายของผมอยู่เสมอ มันทำให้จิตใต้สำนึกของผมฝังความทรงจำลงไป มันกลายเป็นว่า ผมทำงานโดยไม่เหนื่อยไม่ท้อ เรียนโดยไม่เหนื่อย ไม่ท้อ เพราะจิตใต้สำนึกของผมมีเป้าหมายที่ผมจินตนาการเลี้ยงไว้ ให้รู้สึกอิ่มเอิบ ชุ่มชื่น และทำให้มีกำลังใจสู้กับชีวิตเสมอ (มารู้ภายหลัง หลังจากอ่านหนังสือเดอะท็อป พาวเวอร์ ของ ทันตแพทย์ สม สุจีรา)
ตอนอยู่ปี 3 ผมใฝ่ฝันที่จะเข้าทำงานที่กันตนา และตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องเข้าไปทำงานด้านตัดต่อภาพยนตร์ ที่กันตนานี้ให้ได้ เมื่อตั้งเป้าแล้วจะทำยังไงให้ประวัติเราดูดีให้เป็นที่ต้องการของบริษัทใหญ่ ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงาน รปภ.แล้ว เขามีอบรมที่ไหน ที่เกี่ยวกับด้านนี้เราก็ไป ที่ไหนรับเด็กฝึกงาน แม้ไม่ได้ค่าแรงก็ไป ไม่มีค่าแรงผมเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย ผมไปทำงานในร้าน เคเอฟซี ค่าแรง ชม.ละ 23 บาท ทำ 5 ชม.ก็ได้ร้อยกว่าบาท กินอยู่แบบประหยัด ผมอยู่ได้ แม้จะลำบากมากๆในเรื่องการกินการอยู่ แต่ผมคิดว่ามันคือการเดินทาง ถ้าผมเดินทางถึงเป้าหมาย ผมก็จะกินอิ่มอยู่สบาย แล้วภาพเป้าหมาย บ้านหลังใหญ่ อาหารดีๆ มีรถขับ ก็จะมาชะโลมให้ใจอิ่มเอิบ ไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับความเป็นอยู่อันลำบากยากเข็ญของปัจจุบัน
เรียนจบ ผมได้เข้าทำงานที่กันตนา สมกับที่ใฝ่ฝัน เพราะประวัติเราดูดี มีอบรมมาเพียบ การเรียนก็ใช้ได้ เขาจึงรับเข้าทำงาน ผมได้เข้าไปทำในแผนกตัดต่อ เงินเดือน 5,000 บาท แต่สุดท้ายไม่ได้ทำงานด้านตัดต่อ กลับโดนโยกไปทำโพสท์โปรดักชั่นงานโฆษณา ซึ่งผมก็ทำอยู่กันตนา 7 ปี ภาพในหัวของผมก็ยังคงอยู่ ผมยังไปไม่ถึงฝัน ผมจึงออกจากงานไปทำที่บริษัทเล็กๆอีก 5 ปี จากนั้นก็มาตั้งบริษัทของตัวเอง ได้ 4 ปีแล้ว โดยหุ้นกันหลายคน
ปัจจุบันผมมีเงินเดือนหกหลัก ซื้อบ้านเดี่ยวหลังละหกล้านกว่า มีรถคันละล้านกว่าขับ ผมมีภรรยาที่ดี แม้ไม่มีลูกด้วยกันก็ตาม เราอยู่กัน 2 คน อยากไปเที่ยวไหนเราก็ไป ความฝันที่จะขับรถเที่ยว ตอนนี้ก็ไปมาเกือบหมดแล้ว แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังคงใช้ชีวิตธรรมดา ไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชิวิตแบบพอเพียง และหันมาปฏิบัติธรรม เจริญสติภาวนาในชีวิตประจำวัน
ที่เล่ามาไม่ได้โอ้อวดหรือเชิดชูอะไรตัวเอง แต่หวังให้เป็นกำลังใจ ให้ จขกท.ได้สู้ต่อไปครับ
หลายๆความคิดที่แนะนำ จขกท.มีแต่สิ่งดีๆ หวังว่าคงจะนำไปปรับใช้นะครับ
ส่วนตัวผมถ้าแนะนำไปก็คงจะซ้ำกับ คห.18 ของคุณ good thinking เพราะคิดเหมือนกันเลย
เพื่อเป็นกำลังใจ ผมขอแชร์ชีวิตส่วนตัวของผม ให้ จขกท. ได้รับฟังดีกว่านะครับ เผื่อจะเป็นแนวทางอะไรให้ จขกท. ได้บ้าง
ผมตอนนี้อายุ 42 ปีแล้ว ทำงานมา 16 ปี พื้นฐานเป็นคนมาจาก อ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ครอบครัวยากจน มีพี่น้อง 8 คน ผมเป็นคนที่ 6
พี่น้องทุกคนมีสิทธิ์ได้เรียนแค่ชั้นประถมศึกษา ตามภาคบังคับเท่านั้น เพราะทางครอบครัวไม่สามารถส่งให้เรียนได้มากกว่านี้
เมื่อผมเรียนจบประถม ผมก็ไม่อยากทำไร่ไถนาเหมือนพี่ๆน้องๆ ผมขอพ่อไปบวชเรียน ค่าใช้จ่ายจะได้ถูก ผมบวชเรียนสอบเทียบจนจบ ม.3 สึกออกมาช่วยทางบ้านทำนา ผมไปเรียน กศน. ทุกวันเสาร์ สอบเทียบได้ ม.6 ผมก็เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อเรียน ม.รามคำแหง
สิ่งที่อยู่ในหัวของผมตอนนั้นคือ ผมต้องหนีความจนให้ได้ ผมต้องหนีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญนี้ให้ได้ ผมสร้างภาพว่าตัวเอง ได้ทำงานตัดต่อภาพยนตร์ (เคยอ่านเจอในหนังสือ) ได้เงินเดือนสูงๆ มีบ้านหลังใหญ่อยู่ มีรถยนต์ขับ อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ ทุกๆเช้าตื่นขึ้นมาผมก็นึกถึงภาพนี้ ก่อนนอนผมก็นึกถึงภาพนี้ ผมฝันถึงภาพนี้ทุกวัน วันละหลายเวลา กลางคืนก็ฝัน กลางวันก็ฝัน ที่เขาเรียกว่าฝันกลางวันนั้นแหละ ภาพนี้มันแจ่มชัดมากในจินตนาการของผม
ผมเข้ามาเรียนรามปี 2534 เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย งานที่ทำก็มีตั้งแต่ เด็กเสิร์ฟ เด็กส่งของ และยึดเป็นหลักเลยคือ รปภ. ผมทำงานและเรียนไปโดยมีภาพเป้าหมายในหัวอยู่เสมอ ผมไม่รู้หลักวิชาการว่า การที่เราจินตนการเห็นภาพเป้าหมายของผมอยู่เสมอ มันทำให้จิตใต้สำนึกของผมฝังความทรงจำลงไป มันกลายเป็นว่า ผมทำงานโดยไม่เหนื่อยไม่ท้อ เรียนโดยไม่เหนื่อย ไม่ท้อ เพราะจิตใต้สำนึกของผมมีเป้าหมายที่ผมจินตนาการเลี้ยงไว้ ให้รู้สึกอิ่มเอิบ ชุ่มชื่น และทำให้มีกำลังใจสู้กับชีวิตเสมอ (มารู้ภายหลัง หลังจากอ่านหนังสือเดอะท็อป พาวเวอร์ ของ ทันตแพทย์ สม สุจีรา)
ตอนอยู่ปี 3 ผมใฝ่ฝันที่จะเข้าทำงานที่กันตนา และตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องเข้าไปทำงานด้านตัดต่อภาพยนตร์ ที่กันตนานี้ให้ได้ เมื่อตั้งเป้าแล้วจะทำยังไงให้ประวัติเราดูดีให้เป็นที่ต้องการของบริษัทใหญ่ ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงาน รปภ.แล้ว เขามีอบรมที่ไหน ที่เกี่ยวกับด้านนี้เราก็ไป ที่ไหนรับเด็กฝึกงาน แม้ไม่ได้ค่าแรงก็ไป ไม่มีค่าแรงผมเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย ผมไปทำงานในร้าน เคเอฟซี ค่าแรง ชม.ละ 23 บาท ทำ 5 ชม.ก็ได้ร้อยกว่าบาท กินอยู่แบบประหยัด ผมอยู่ได้ แม้จะลำบากมากๆในเรื่องการกินการอยู่ แต่ผมคิดว่ามันคือการเดินทาง ถ้าผมเดินทางถึงเป้าหมาย ผมก็จะกินอิ่มอยู่สบาย แล้วภาพเป้าหมาย บ้านหลังใหญ่ อาหารดีๆ มีรถขับ ก็จะมาชะโลมให้ใจอิ่มเอิบ ไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับความเป็นอยู่อันลำบากยากเข็ญของปัจจุบัน
เรียนจบ ผมได้เข้าทำงานที่กันตนา สมกับที่ใฝ่ฝัน เพราะประวัติเราดูดี มีอบรมมาเพียบ การเรียนก็ใช้ได้ เขาจึงรับเข้าทำงาน ผมได้เข้าไปทำในแผนกตัดต่อ เงินเดือน 5,000 บาท แต่สุดท้ายไม่ได้ทำงานด้านตัดต่อ กลับโดนโยกไปทำโพสท์โปรดักชั่นงานโฆษณา ซึ่งผมก็ทำอยู่กันตนา 7 ปี ภาพในหัวของผมก็ยังคงอยู่ ผมยังไปไม่ถึงฝัน ผมจึงออกจากงานไปทำที่บริษัทเล็กๆอีก 5 ปี จากนั้นก็มาตั้งบริษัทของตัวเอง ได้ 4 ปีแล้ว โดยหุ้นกันหลายคน
ปัจจุบันผมมีเงินเดือนหกหลัก ซื้อบ้านเดี่ยวหลังละหกล้านกว่า มีรถคันละล้านกว่าขับ ผมมีภรรยาที่ดี แม้ไม่มีลูกด้วยกันก็ตาม เราอยู่กัน 2 คน อยากไปเที่ยวไหนเราก็ไป ความฝันที่จะขับรถเที่ยว ตอนนี้ก็ไปมาเกือบหมดแล้ว แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังคงใช้ชีวิตธรรมดา ไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชิวิตแบบพอเพียง และหันมาปฏิบัติธรรม เจริญสติภาวนาในชีวิตประจำวัน
ที่เล่ามาไม่ได้โอ้อวดหรือเชิดชูอะไรตัวเอง แต่หวังให้เป็นกำลังใจ ให้ จขกท.ได้สู้ต่อไปครับ

แสดงความคิดเห็น
เราอายุ30+แต่ยังทำตัวไม่มั่นคงเหมือนเด็กอายุ 20 ต้นๆ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
เงินเดือน 15,000 ทำงานมา 8ปี เพิ่งได้หมื่นห้าตอนรัฐบาลประกาศ
ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ มีมอเตอร์ไซด์เก่าๆคันเดียว
ค่าใช้จ่าย
ส่งที่บ้าน 3,000
ดูแลย่าที่เป็นคนป่วยนอน ค่าผ้าอ้อม ค่ากิน ค่าอาหาร ค่าออกซิเจน 4,000
กู้เงินมาทำห้องปลอดเชื้อทำห้องแอร์ให้ย่าอยู่ ส่งใช้หนี้เดือนละ 5,000
ค่าหมอกับค่าประกันชีวิต เดือนละ 1950
เหลือใช้ส่วนตัวเดือนละ พันนิดๆ
เราเองต้องใช้ชีวิตแบบนี้มาระยะนึงแล้ว
เราอยากถามว่าเราจะมีชีวิตที่มั่นคงได้แบบไหน สอบรับราชการมาหลายครั้งไม่ได้สักครั้ง
ทุกวันต้องกลับบ้านเพื่อดูแลย่าและกลับทำงานสลับกันวันละหลายๆครั้ง กลางคืนนอนไม่เป็นหลับเป็นตื่นเพราะย่าเพ้อตลอด
เราอยากพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เราจะทำแบบไหน จะต้องเดินไปทางไหน ช่วยแนะนำหน่อยเถอะค่ะ ได้โปรด
เราเห็นคนอื่นเค้าว่าเรา ดูถูกเรา ใจจริงเราก็อยากรวย อยากมีรถ มีบ้าน
แต่เราไม่มีปัญญาเลย ใครที่สามารถคิดหาหนทางดีๆได้ ช่วยเราคิดหน่อยเถอะค่ะ ขอร้อง
ขอบคุณทุกท่านที่มาตอบคำถามนะคะ ได้ความคิดดีๆและกำลังใจเยอะเลยค่ะ เราเครียดน่ะค่ะ เลยตั้งกระทู้ถาม
บ้านที่อยู่เป็นบ้านลูกสาวย่าน่ะค่ะ แต่ว่า่เค้าทำงานได้วันละ 300 มีครอบครัวแล้วเลยไม่กล้ารบกวนเค้าเรื่องค่าใช้จ่าย
จริงๆแล้วบ้านนั้นก็ไม่มีมูลค่าเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าปล่อยให้เค้ายึดไปก็จะไม่มีที่อยู่กันน่ะค่ะ เลยต้องส่งเรื่อยมา
เราอาจจะอ่อนแอมากเกินไปค่ะ ขอโทษบางท่านด้วยนะคะ
ขอแสดงรายการนะคะ พอดีมีความเห็นบางท่านถาม
ข้อ 1บ้านติดจำนอง อยู่ 50,000 ค่ะ ญาติห่างๆรับจำนองไว้ เราให้เค้าเดือนละ 3,000 ส่งมา 1 ปีแล้ว เค้าคิดเป็นดอกร้อย
ละ2ต่อเดือนน่ะคะ ตกค่าดอกเดือนละ 1000 ส่งเงินต้น 2000 ตอนนี้หนี้อยู่ ประมาณ26,000 บาทค่ะ
ข้อ2 ค่าผ้าอ้อมเดือนละประมาณ 1,100 ค่ะ ไปซื้อร้านส่งราคา 26 ชี้น 370-399 เดือนนึงใช้ 2 ห่อค่ะ แล้วก็เพิ่มแผ่นรอง
ซึมเดือนละ 2 ห่อห่อละ 30 ชิ้น ราคาห่อ 189 ค่ะ ค่าออกซิเจนถังละ 120 ไปเติมทีละ 5 ถัง(ถังยืมเพื่อนบ้านมาค่ะ) อยู่ได้
สองอาทิตย์ค่ะ เดือนนึงก็ประมาณ 1200 บาทค่ะ ค่ารถไม่มีบางทีอาศัยรถอบต.หรือไม่ก็รถอาเขยค่ะ เวลาไปเติม นอกนั้นเป็น
ค่ากินค่ะ
ข้าวสารเดือนละถัง 420 ปลาเค็ม ผักก็เก็บแถวๆบ้านค่ะ
ข้อสามส่งหนี้เดือนละ 5000
แยกเป็น2 ยอดค่ะ
-อิออนเป็นค่าแอร์กับค่าเครื่องซักผ้า แต่ก่อนเราซักมือค่ะ แต่พอย่าป่วยผ้ามันแห้งไม่ทัน ยอดรวม 24800 ผ่อน 0% 10เดือนค่ะ ส่งมา 2 เดือนแล้ว
-กู้เงินนอกระบบค่ะมาทำห้อง ยอด 50,000 ร้อยละ 5 ค่าดอก 2,500 พอดีค่ะ ยังไม่มีเงินต้น
เรื่องคนช่วยดูแลก็มีอาดูเปลี่ยนบ้างแต่เค้าต้องงานเค้าต้องทำทุกวันกลับบ้านตอนกลางวันไม่ได้ มีเราคอยดูคนเดียวค่ะที่ต้องกลับ
ไปเปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนข้าว
ส่วนกลางคืนอาเราเค้ามีสามีแล้ว มาค้างบ้างวันที่สามีเค้ามาเราก็จะไม่ได้เฝ้าค่ะ
ส่วนเรื่องเงินช่วยเหลือ ตอนนี้ย่าได้เบี้ยยัีงชีพเดือนละ 800 บาท เอามาเป็นค่าซื้อนมบ้าง ซุปไก่บ้าง
อาเราเค้าก็ช่วยออกค่าน้ำค่าไฟฟ้าค่ะ เดือนละเกือบๆ1500 เพราะว่าติดเเอร์แล้วค่าไฟแพงค่ะ บางทีก็ได้กินกับข้าวที่เค้าซื้อมาอยู่ค่ะ